วันนี้มหานครเสียนหยาง เมืองหลวงของ ต้าเซี่ย มีงานมงคลเกิดขึ้นจึงคึกคักไปครึ่งเมืองเพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ปราบกบฏองค์ชายรองผ่านไปเมื่อเกือบสองปีเมืองเสียนหยางก็แทบไม่มีงานมงคลจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกเช่นนี้บ่อยนัก
แต่วันนี้กลับมีงานมงคลของสองตระกูลใหญ่แล้วยังจัดขึ้นมาอย่างเอิกเกริกอีกด้วยขึ้นมาชาวบ้านชาวเมืองจึงตื่นตาตื่นใจไปตามๆ กัน นั่นคงเพราะจวนที่แต่งสะใภ้ คือจวนเว่ยกั๋วกง หยวนเค่อเจียง สกุลหยวนที่เป็นสกุลเดิมของอดีตหยวนฮองเฮาผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของฉางตี้ฮ่องเต้กับชินอ๋อง จึงไม่แปลกที่งานแต่งวันนี้ยิ่งใหญ่ เพราะไม่ใช่เพียงฝ่ายเจ้าบ่าวที่เป็นสกุลใหญ่
ฝ่ายเจ้าสาวเองก็ไม่ธรรมดา สกุลจี นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าเซี่ยมาเกินสิบเจ็ดรุ่น จนมาถึงรุ่นของ จีม่อชง ผู้นำตระกูลจีคนปัจจุบันคือรุ่นที่สิบแปด นอกจากตำแหน่งแม่ทัพเขายังได้ดำรงตำแหน่งเป็นจีไท่เว่ย แม่ทัพใหญ่ปกป้องมหานครเสียนหยางหรือหน่วยอวี้หลินที่นับเป็นหน่วยทหารกล้าที่ขึ้นตรงต่อฉางตี้ฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียวขณะนี้
ซึ่งน้อยคนนักจะได้นั่งตำแหน่งไท่เว่ยตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบอีกด้วย ซึ่งจีไท่เว่ยผู้นี้นับว่าเขาเป็นกำลังหลักในการช่วยฉางตี้ฮ่องเต้กับชินอ๋องซ่างกวนไท่นั้นร่วมมือกันปราบกบฏองค์ชายรองที่ปลิดชีพอดีตฮ่องเต้กับอดีตฮองเฮาแล้วยังเคียงข้างจนปีศาจดำที่ขณะนั้นยังเป็นองค์ไท่จื่อจนขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่เช่นนี้เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นจีไท่เว่ย ไปเมื่อสองปีก่อน
ไหนจะยังมีแม่ทัพเช่นซานจี (จีคนที่สาม) เจียงจวินที่ติดตามชินอ๋องซ่างกวนไท่ไปรบอยู่ชายแดนเป่ยฉีอีกด้วย ดังนั้นสกุลจีย่อมเป็นสกุลที่มีอำนาจอยู่ในราชสำนักไม่น้อยไปกว่าสกุลหยวนดังนั้นวันนี้เจ้าสาวที่เป็นน้องสาวคนเล็กของสองแม่ทัพคนสำคัญย่อมไม่ธรรมดา
เสียงประทัด เสียงเครื่องสาย คึกคักอย่างยิ่งขบวนเจ้าสาวนี้แค่สินเดิมก็มากมายยาวราวสามลี้ชาวบ้านจึงออกมาดูชมจนสองข้างถนนคึกคักยิ่ง เจ้าสาวตัวอวบอมยิ้มจนปวดแก้ม ปีนี้คุณหนูลิ่วจี จีเมี่ยวหลัว นามรองว่าลิ่วจีอายุสิบแปดปีแล้ว หลังหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่ของจวนเว่ยกั๋วกงตั้งแต่อายุสิบสองปี สมัยบิดาของนางยังมีชีวิตอยู่แต่ช่วงนั้นนายท่านจีก็เจ็บป่วยร่างกายแทบไม่ไหวแล้วเนื่องจากเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ออกรบแล้วบาดเจ็บหนักกลับมา
แต่เพราะห่วงบุตรสาวคนเดียวบิดาจึงตัดสินใจให้หมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของสหายรุ่นน้องเช่นเว่ยกั๋วกง พอจัดการหมั้นหมายได้ไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำบิดาของนางก็จากไปจริงๆ ความจริงสัญญาหมั้นหมายดังกล่าวคือรอให้จีเมี่ยวหลัวครบสิบห้าปีก็แต่งเข้าสกุลหยวนได้เลย
แต่เพราะช่วงนั้นกลับมีเหตุการณ์กบฏองค์ชายรองขึ้นมาเสียก่อนงานแต่งจึงต้องรอไปก่อน เนื่องจากบ้านเมืองไม่สงบหากจัดงานแต่งก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนักยิ่งต้าเกอและซานเกอพี่ชายทั้งสองของจีเมี่ยวหลัวนั้นเป็นกำลังสำคัญด้วยแล้วจึงยิ่งไม่สมควรจัดงานมงคล ได้แต่รอให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปสักครึ่งปี นางเองก็ไม่คิดมากเชื่อฟังผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายด้วยดี
ทว่าพอครบครึ่งปีสมควรแก่เวลางานมงคลสามารถจัดได้อย่างสะดวก หยวนเค่อเจวี๋ยก็มาคุกเข่าขอให้นางช่วยเห็นใจเขา เพราะสหายรักของเขานั้นเอาชีวิตปกป้องเขาจากโจรร้าย จนถึงแก่ความตายตอนที่บ้านของสหายรักผู้นั้น นอกจากมารดาที่แก่เฒ่ายังคงมีภรรยาที่ตั้งครรภ์แก่จวนเจียนจะคลอด
หยวนเค่อเจวี๋ยรับปากสหายก่อนตายไปแล้วว่าจะช่วยดูแลครอบครัวที่เหลือของสหายคนนั้นทำให้เขาไม่อาจผิดคำพูดได้ หากแต่งงานกับนางในขณะนั้นคงยากที่จะได้ดูแลทั้งมารดาและภรรยาของสหายครรภ์แก่ได้เต็มที่จึงวิงวอนให้จีเมี่ยวหลัวเห็นใจ
นางฟังแล้วจึงรู้สึกเห็นใจจริงๆ งานแต่งของนางกับเขาช้าออกไปอีกสักหน่อยคงไม่เป็นอันใด จึงถามหยวนเค่อเจวี๋ยไปว่าเขาจะให้นางรอไปอีกนานเท่าใด พอเขาตอบขอเวลาสามปี ถึงยามนี้บุตรของสหายคงคลอดแล้วและภรรยาผู้โชคร้ายของสหายผู้นั้นก็คงพอจะดูแลตนเองกับลูกน้อยได้แล้ว
ว่าที่สามีของนางช่างเป็นคนดีมีคุณธรรมจริงๆ …
แน่นอนว่าจีเมี่ยวหลัวย่อมสนับสนุนว่าที่สามีอยู่แล้วดังนั้นงานแต่งของนางกับเขาจึงเพิ่งจัดขึ้นเอาในวันนี้เพราะครบสามปีตามสัญญา คิดแล้วนางก็อดจะแอบแย้มผ้าม่านมองดูเจ้าบ่าวของตนเองเสียมิได้
นางเกิดและเติบโตมาสิบแปดปี แต่ตลอดวัยสาวคือสามปีจีเมี่ยวหลัวไม่เคยมองบุรุษอื่นเพราะจิตใจของนางคิดเสมอว่าตนเองมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วถึงไม่เคยรู้จักรความรักมาก่อน แต่ถึงจะอย่างตั้งแต่สามปีก่อนในใจของนางหยวนเค่อเจวี๋ยคือสามีนับเขาคุกเข่าให้นางแล้ว ดังนั้นนอกจากตั้งใจศึกษาวิชาแพทย์จนแตกฉานและสอบเข้าเป็นหวู่โจว (นักชันสูตรยุคโบราณ) จนได้รับคัดเลือกสมดังใจจีเมี่ยวหลัวล้วนไม่เคยคิดจะชายตาแลบุรุษใดอีก
พอวันนี้กำลังจะแต่งให้กับบุรุษที่ตนปีกใจว่าคือสามีอย่างครบถ้วนและถูกต้องทุกทางแล้วนางย่อมยินดีอย่างยิ่ง ซึ่งตลอดเวลาสามปีที่นางต้องรอคอยหยวนเค่อเจวี๋ยจีเมี่ยวหลัวก็มิได้ใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ นางสอบได้ตำแหน่งหวู่โจวแล้วก็ไปรับราชการอยู่ต่างเมืองมาโดยตลอด จนสามเดือนก่อนจึงได้ย้ายกลับมาเสียนหยางเพื่อเตรียมงานแต่ง
ถูกต้องแล้ว ถึงนางจะเป็นสตรีแต่สามปีก่อนนางก็สามารถสอบเป็นขุนนางได้หลังจากจบการศึกษาวิชาแพทย์หลวง ถึงตำแหน่งจะไม่โดดเด่น แต่หวู่โจว (แพทย์ชันสูตรยุคโบราณ) อาชีพที่นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่จำความได้ก็ควรค่าสำหรับนางแล้ว
ดังนั้นต่อให้หัวใจของจีเมี่ยวหลัวยังไม่เคยรู้สึกรักใคร่เจ้าบ่าวในวันนี้แต่นางก็รู้สึกขอบคุณหยวนเค่อเจวี๋ยอยู่มากที่อีกฝ่ายยอมรับอาชีพของนางได้ แถมยังยอมให้นางรับราชการต่อไปได้จนกว่านางจะพอใจ เขาช่างเป็นสามีที่ประเสริฐยิ่งสำหรับนางจริงๆ ...
ประเสริฐกับมารดามันนะสิ!
หลังจากพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและบิดามารดากับบรรพชนแล้ว เจ้าสาวจึงถูกส่งเข้าห้องหอรอคอยผู้เป็นเจ้ามาร่วมผูกผมและดื่มสุรามงคลร่วมกันจึงเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีต่อจากนั้นก็รอเพียงฤกษ์เข้าแท้จริง
ทว่าแทนที่จีเมี่ยวหลัวจะได้สุขสันต์แสนชื่นมื่นประกอบพิธีสุดท้ายแล้วเตรียมตัวอาบน้ำและรอฤกษ์เข้าหอนางกลับต้องมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้องหอโดยที่ตรงหน้ามีหนึ่งสตรีกับสองเด็กน้อยคนหนึ่งวัยราวสามขวบกับอีกผู้วัยราวหนึ่งขวบพร้อมถาดน้ำชาอยู่ตรงหน้านี้มันเรื่องบัดซบอันใดกัน?!
จากสุรามงคลเหตุใดจึงกลายเป็นน้ำชารับอี้เหนียงและบุตรชายทั้งที่นางกับสามียังไม่ทันได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเลยด้วยซ้ำ!
"ลิ่วจี เจ้าโปรดเห็นใจพวกเราเถิดนะ"
เห็นใจ?!
นางต้องเห็นใจสตรีที่จะมาเป็นอนุภรรยาไม่พอยังต้องรับบุตรชายของอีกฝ่ายมาเป็นบุตรของตนเอง ยังมิทันเข้าหอนางกลับมีบุตรออกมาถึงสองคนมารดามันเถอะ!
"สามปี สามปีที่เจ้าขอเวลาจากข้า ขอเวลาไปดูแลภรรยากับมารดาและบุตรของสหายผู้มีพระคุณสูงส่งเทียมฟ้า ดูแลกันอย่างดีเสียจริง ดีจนได้ลูกชายมาเพิ่มอีกคนแล้ว ข้าขอถามเจ้าสักหลายคำหน่อยเถิดนะเจิ้งไห่ เจ้าดูแลกันอย่างไร? ดูแลกันท่าใด? "
จีเมี่ยวหลัวปกติย่อมทราบตนเองไม่ใช่สตรีเฉลียวฉลาดและมีรูปโฉมล่มปฐพี แต่พอวันนี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองโง่เขลาจนเขาบนศีรษะนั้นงอกออกมายาวกว่ากระบือไปเสียแล้ว โกรธจนอยากสังหารคนเป็นอย่างไรนางเพิ่งกระจ่าง
ปลายจมูกโด่งของซ่างกวนโทวกดลงจุมพิตที่ท้ายทอยหลังจากเขาจับเส้นผมนุ่มและผอมของจีเมี่ยวหลัวหลบไปด้านข้างเปิดเผยหลังลำคอขาวสะอาด“เขาหอกันเถิดภรรยาของข้า”เขากระซิบกระซาบแล้วจึงใช้เรียวปากแกร่งสัมผัสกับใบหูของนางจนจีเมี่ยวไคร้ตัวสั่นสะท้าน เขินอายย่อมีมากแต่ระหว่างนางกับซ่างกวนโทวต่างก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยและสาวน้อยแล้ว ต่างคนต่างอยู่ในวัยของผู้ใหญ่แล้วทั้งคู่ ดังนั้นเขินอายอย่างไรจีเมี่ยวหลัวย่อมไม่คิดปฏิเสธสามีของนางร่างอรชรหันกลับมาเผชิญหน้ากับเรือนกายสูงใหญ่ด้วยใบหน้าเขินอายสามส่วน มุ่งมั่นเสียเจ็ดส่วน ซ่านุ่มนิ่มโทวถึงกับหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ นี่แหละภรรยาของเขา จีเมี่ยวหลัวสำหรับเขาแต่ไหนแต่ไรมาจีเมี่ยวหลัวนั้นก็เป็นสตรีเช่นนี้ หากไม่ใช่นางเป็นเช่นนี้จะดึงสายตาของเขาให้หยุดอยู่ที่นางได้จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรนางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วใช้สองแขนของตนเองคล้องลำคอแกร่งจึงดึงให้ใบหน้าหล่อเหลาของท่านปีศาจดำโน้มลงมาหาตนเองโดยที่นางเอกก็เผยอเรียวปากนุ่มนิ่มขึ้นไปหาเขาเช่นกันปัง! ปัง! ปัง!ช่วงจังหวะที่เรียวปากของทั้งสองลงมาบรรจบกัน พลันนั้นดอกไม้ไฟก็ถูกจุดขึ้นมาพอดิบพอดี แสงสว่างวูบวาบกับภาพดอ
ใครจะคาดสตรีที่รูปโฉมไม่นับว่างดงามสะท้านแผ่นดินจะครอบครองดวงใจของปีศาจดำแห่งต้าเซี่ยได้ คราวแรกทุกคนที่ได้พบเห็นล้วนแปลกใจ ทว่าพอสืบกันไปลึกซึ้ง ตั้งแต่สมัยจีเมี่ยวหลัวไปอยู่แคว้นอิ๋งโจวจนถึงคดีสังหารคนยากไร้ขโมยอวัยวะภายในไปขาย ล้วนเป็นสตรีผู้นี้คอยให้การช่วยเหลือ ทุกคนจึงไม่แปลกใจอีกต่อไป สตรีบางคนโฉมงามเกินไปนอกจากจะอาภัพแล้วบางคนยังนำภัยมาสู่คนใกล้ตัวไปจนถึงชีวิตของตนเองและพอวันเวลาผ่านไปรูปโฉมที่เคยงดงามย่อมโรยราแต่สตรีที่มีสติปัญญา ยิ่งวันเวลาเนิ่นนานพวกนางจะยิ่งเฉลียวฉลาดดังคำว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คล้ายกับต้นอู่ถงยิ่งวันเวลาเพิ่มขึ้นเนื้อไม้จะยิ่งกล้าแกร่งสูงค่า ฉางตี้ฮ่องเต้คงมองเห็นความงามจากภายใน งดงามด้วยสติปัญญามิใช่งดงามด้วยรูปโฉมภายนอกกระมังจึงได้รักปักใจจนมีข่าวลือออกมาในช่วงแรกถึงขนาดที่เขาจะยินดีเป็นเขยแต่งเข้าทั้งที่หากจะกล่าวถึงฐานะ แค่ฉางตี้ฮองเต้นั้นกระดิกนิ้วสะบัดพู่กันเขียนราชโองการออกมาเขาก็สมหวังแล้ว ไม่ต้องมาตกแต่งไฟทั้งเมือง หรือแม้แต่สร้างหอชมเมืองเพื่อนาง ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อจะพาคุณหนูลิ่วจีขึ้นไปขอแต่งงานบนนั้นยังจะมีบุรุษใดคลั่งรักได้ยิ่งใหญ่เช่นฉางตี้
และบนศีรษะของจีเมี่ยวหลัวบัดนี้ประดับด้วยปิ่นทองสิบสองชิ้นครบตามธรรมเนียมของสตรีที่เตรียมตัวจะรับตำแหน่งฮองเพริศพริ้งฮาซึ่งบนศีรษะนอกจากปิ่นทองยังมีใบทับทิม ที่เหล่าฮูหยินจีกับซูหมัวมัวแซมเอาไว้ระหว่างปิ่นทองและเส้นผมที่ถูกเกล้างดงาม เรียกว่ากว่าจะเสร็จสิ้นจีเมี่ยวหลัวก็หนักไปหมดทั้งศีรษะและร่างกาย"งดงามมากเลยมากจริงๆ"ซูหมัวมัวพึมพำออกมาราวกับคนสติไม่ครบสมบูรณ์ อย่าว่าจะซูหมัวมัว แม้แต่นางกำนัลอาวุโสที่มาจากวังหลวงก็ยังตื่นตะลึงพอได้เห็นภาพของจีเมี่ยวหลัวหลังจากนางแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศของเจ้าสาวชั้นสูงเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา"เมี่ยวเมี่ยวมาเถอะ พวกเราไปทำพิธีกัน"หลังจากแต่งการครบเครื่อง ก็ถึงเวลาไปกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษในหอบรรพชนสกุลจี ซึ่งคนที่จะพาจีเมี่ยวหลัวทำพิธีดังกล่าวปกติต้องเป็นบิดา ทว่าบิดาของนางจากไปแล้ว ผู้ทำหน้าที่ผู้นำย่อมเป็นจีม่อชง เมื่อสามปีก่อน เขาเองก็เป็นทำหน้าที่นี้ แต่ในวันนั้นกับวันนี้ความรู้สึกของจีม่อชงและทุกคนในสกุลจีไม่เว้นแม้แต่จีเมี่ยวหลัวเองก็รู้สึกแตกต่างจากคราวนั้นไปไกลโขพอกราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงค่อยออกไปร่วมรับประท
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ชาวเมืองเสียนหยางและเมืองรอบข้างที่สามารถจนท้องฟ้าของมหานครเสียนหยางนั้นเห็นแสงสว่างไสวของพลุและดอกไม้ไฟ ต่างกล่าวขานในเวลาออกไปในเวลาไม่ถึงสิบวันเรื่องที่ฉางตี้ฮองเต้จัดแจงทุกสิ่งเพื่อจะขอสตรีนางหนึ่งแต่งงานก็ดังไปทั่วดินแดนต้าเซี่ยและอาณาจักรใกล้เคียงรวมไปถึงชนเผ่าน้อยใหญ่และเป็นราตรีนั้นที่หยวนเค่อเจวี๋ยได้ทราบเช่นกันว่าเขาทำของดีหลุดมือไปแล้วจริงๆ สามปีแต่แรกเขายังคิดว่าตนเองจะสามารถหวนคืนกลับไปคืนดีและขอสตรีเช่นจีเมี่ยวหลัวแต่งงานได้อีกครั้งจนมาถึงราตรีดังกล่าวความจริงก็ตีแสกหน้าของหยวนเค่อเจวี๋ยว่าตลอดมาเขาหลอกตนเอง เขาหลอกตนเองว่าสุดท้ายจีเมี่ยวหลัวจะต้องหวนคืนมาอภัยให้เขาได้ แต่บัดนี้นางกำลังจะก้าวไปเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย แค่ฮูหยินเอกของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งจีเมี่ยวหลัวนั้นจะชายตาแลได้อย่างไร!ยิ่งผู้คนทั้งหลายต่างอยากเห็นสตรีผู้นั้นว่าจะโฉมงามสะท้านแผ่นดินเพียงใด แล้วยิ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมากลับเป็นฝ่ายของฉางตี้ฮ่องเต้ก็ได้จัดการส่งพ่อสื่อไปเจรจาตกลงสิ้นสอดซึ่งก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโม่กงกงหรือโม่อี้หวายญาติและขันทีคู่พระทัยของเขานั่นเ
"เราจะไปที่ใดกันเพคะ"วันนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นัดแนะกับท่านหัวหน้าลิ่วจี แต่เขานั้นไม่ได้บอกว่าจะพานางไปที่ใดดังนั้นเมื่อขึ้นรถม้าแล้วจีเมี่ยวหลัวย่อมเอ่ยปากถาม ผ่านเหตุการณ์คดีค้าอวัยวะมนุษย์มาได้สามเดือนเศษแต่งานของทั้งซ่างกวนโทวและของจีเมี่ยวหลัวก็ยังมีมากจนล้นมือไม่เปลี่ยน ทว่าระหว่างนางกับเขาก็หาช่วงเวลาว่างตรงกันอยู่น้อยเจ็ดวันออกไปท่องเที่ยวด้วยกันหนึ่งครั้ง"หอชมเมือง"ผ่านมาจนถึงวันนี้ซ่างกวนโทวไม่อยากรออีกแล้วเขาจัดการเก็บกวาดจนวังหลังสะอาดสะอ้าน ราชสำนักเองเขาก็เข้มงวดกวดขันเอาขุนนางตรงฉินเป็นใหญ่เพื่อจะควบคุมขุนนางกังฉินไม่ให้เหิมเกริมได้แล้ว เนื่องจากการคิดจะกำจัดคนเลวออกไปจนสิ้นซากนั้นยากจะเป็นความจริงไปได้ ทุกคนมีส่วนดีและเลวทั้งสิ้นแต่การเลือกเอาความดีควบคุมความเลวอันนี้น่าจะเป็นจริงได้มากกว่าจึงถึงเวลาขอสตรีใจดวงใจแต่งงานเสียที เข้าใกล้จะสามสิบแล้วปีนี้ยี่สิบแปดอีกไม่กี่เดือนก็เต็มยี่สิบเก้าปี และเดือนก่อนทางซ่างกวนไท่ก็แจ้งข่าวดีมาแล้วว่าเจี่ยอวี้หลันเพิ่งตั้งครรภ์ ก็ถึงเวลาของเขาบ้างแล้ว เหน็ดเหนื่อยและยากเย็นจนผ่านมาร่วมแปดปี รวมไปถึงเขาเป็นมังกรเดียวดายมานานกว่าแปดปี
ส่วนซ่างกวนโทวนั้นกลับวังหลวงเพราะออกมาถึงสี่วันสี่คืนแล้ว เรียกว่าเขาแจกจ่ายงานแล้วก็กลับวังหลวงทันที เพราะเขาเองก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องกลับไปจัดการสานต่อเช่นกันยิ่งเขาอยากแต่งภรรยามากเท่าใดก็ต้องรีบจัดการเก็บกวาดวังหลังให้สะอาดหมดจดเร็วเท่านั้น"ฝ่าบาท ฉวนซูเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"แค่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมจะพักผ่อน โม่กงกงก็เข้ามารายงานว่าสตรีที่เขายังไม่ทันได้‘จัดการ’กำจัดออกไปก็เสนอหน้ามารบกวนกันเสียแล้ว"ไล่กลับไป ข้าจะพักผ่อน"อดนอนมาสี่วันสี่คืนความอดทนอดกลั้นของเขาไม่ได้มากเช่นในยามปกติ ขับไล่ไปจึงเป็นวิธีง่ายกว่าในยามนี้เขายังหาเหตุปลดสตรีสกุลฉวนออกไปได้ และที่เก็บเอาไม่ใช่รักใคร่หรือมีจิตพิศวาส ทว่าเพราะเขาทราบสตรีแซ่ฉวนทั้งสองไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งสตรีที่ยังเหลือภายในวังหลังก็ล้วนเป็นสตรีประเภทเดียวกับสตรีสกุลฉวนน้าสาวกับหลานสาวที่อายุใกล้เคียงกันนี้ก็ไม่ต่างกัน"ฝ่าบาทไม่ได้พลิกป้ายมาร่วมเดือนแล้วหากยังขับไล่นางไปอาจไม่ใช่เรื่องดี"โม่กงกงเตือน เพราะการพลิกป้ายนี้มันช่วยลดปัญหาวุ่นวายของสตรีวังหลังได้ ส่วนพลิกแล้วซ่างกวนโทวจะไปร่วมหลับนอนกับพวกนางหรือไม่ก็ล้วนเป็นตัวของ