โครม!
เสียงของหนักตกลงมายังไม่ชวนเสียขวัญเท่าหลังคารถม้าหรูหราทะลุลงมาพร้อมกับร่างหนึ่งของสตรีในอาภรณ์สีแดงเจิดจ้าปักลวดลายนกยวนยางคู่ แต่ที่ชวนเสียขวัญยิ่งกว่าก็คือรถม้าคันนี้นั้นดันเป็นรถม้าที่ผู้โดยสารด้านในคือฉางตี้ฮ่องเต้!
"ปกป้องฝ่าบาท"
"!!!"
ผู้ที่กระโดดลงมายังไม่ทันจะหายจุกเสียด กลับถูกดาบนับสิบชี้คมมาลุมล้อมพร้อมสังหารในทันใด ก็คิดว่าตนเองนี้ช่างกระโดดได้ดีเสียจริง ที่ตั้งมากมายนางกลับไม่เลือกกระโดดแต่ดันกระโดดลงมาตกใส่รถม้าคันที่ไม่สมควรเข้าเสียแล้ว
ต้องดวงซวยเพียงใดกันเล่า?!
"กุ้ยไป๋ เฉินซั่ว ช้าก่อน คล้ายกับนางจะเป็นเจ้าสาวน่ะ"
ซ่างกวนโทว หรือฉางตี้ฮ่องเต้ รีบเอ่ยปากห้ามองครักษ์ทั้งสองของตนเองก่อนที่ กุ้ยไป๋ กับ เฉินซั่ว นั้นจะแทงดาบทะลุร่างที่เขาคุ้นตาเพราะไปเป็นแขก พิเศษ ในพิธีแต่งงานเมื่อครู่ใหญ่นั่นเอง
"เจ้าสาวกระโดดกำแพงหนีไปแล้ว! "
ยังไม่ทันได้สอบถามอันใดสักเพียงครึ่งคำ เสียงเอะอะโวยจาก จวนสกุลใหญ่ก็ดังขึ้น สตรีที่ยังนอนสิ้นสภาพคล้ายกบตัวหนึ่งนั้นนอนอยู่บนพื้นรถม้าค่อยๆ เงยหน้าและยันกายลุกขึ้น
นางยังอยู่ในชุดเจ้าสาวเกือบเต็มยศ ขาดไปก็เพียงพัดและมงกุฎกับเครื่องประดับเท่านั้น อย่างอื่นมองแล้วนางคงยังไม่ได้ถอดอันใดออกจากกายแม้แต่ชิ้นเดียว
บรรยากาศขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเขาล้วนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผู้หนึ่งมาเป็นประธานในงานแต่งด้วยฐานะฮ่องเต้ที่เป็นญาติฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนอีกฝ่ายคือเจ้าสาวของวันนี้ที่บังเอิญยิ่งนัก ดันกระโดดกำแพงลงมาตกโครมบนหลังคารถม้าและด้วยน้ำหนักที่ค่อนไปทางมาก หลังคาจึงพังไปเจ็ดส่วน
เจ็บนั้นมาก แต่ขายหน้าก็ไม่น้อยเลยทีเดียว...
"ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าสาวอยู่ที่นี่"
ซ่างกวนโทวตัดสินใจตะโกนออกไป ไม่นานก็มีสาวใช้ตัวโตเตรียมจะมาช่วยกันแบกเจ้าสาวกลับเข้าจวนไป หากแต่ตัวเจ้าสาวที่คงจะหายจุกเสียดแล้วกลับตรงเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"ฝ่าบาท ช่วยเมี่ยวหลัวด้วยเพคะ ช่วยเมี่ยวหลัวด้วย"
นางรู้ว่าเขาคือผู้ใด?!
แต่คิดอีกทีนางคงจำได้ถึงเขาจะนั่งอยู่ไกลพอสมควรก็ตาม ที่ซ่างกวนโทวตกใจมิใช่นางจำเขาได้ แต่ที่ตกใจคือนางขวัญกล้าเกินไปแล้ว ขวัญกล้าถึงขนาดพุ่งเข้ามากอดแข้งกอดขาของปีศาจดำเช่นเขา
สตรีผู้นี้ไม่รู้จักกลัวความตายอย่างนั้นหรือ?!
"คุณหนูลิ่วจีลงมาเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้รูปร่างกำยำเกินสตรีของต้าเซี่ยสายเลือดแท้ร้องเรียกอยู่ด้านล่างรถม้าด้วยสีหน้าไม่ดี
"ไม่! เจ้าเร่งไปตามต้าเกอกับท่านแม่ของข้ามา บอกพวกเขาว่าคุณหนูลิ่วจีเกิดเรื่องแล้ว"
เจ้าสาวตัวอวบตะโกนตอบสาวใช้ที่ดูแล้วคนนี้คงเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของเจ้าสาวเป็นแน่
"คุณหนูลิ่วจี (คุณหนูจีคนที่หก) ปล่อยมือออกจากขาของเจิ้นก่อนดีหรือไม่" บุรุษที่คนทั้งใต้หล้าหวาดหวั่นเอ่ยขึ้นมาหลังจากฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมปล่อยแข้งขาของเขาเสียที นางเอาแต่เหลียวไปตะโกนคุยกับสาวใช้ดูไม่หวาดกลัวอย่างที่ยากนักจะพบเจอ
"ฝ่าบาทสัญญามาก่อนเพคะ" นางหันขวับกลับมาต่อรองกับเขาอย่างไม่มีวี่แววหวาดกลัวทันที
สตรีผู้นี้นี่...
ซ่างกวนโทวเกิดมายี่สิบห้าปีเพิ่งเคยพบเคยเห็นสตรีหน้าหนาเป็นครั้งแรกนอกจากนางจะหน้าหนาไม่พอนางยังไม่กลัวปีศาจดำเช่นเขา ใต้หล้ายังมีสตรีเช่นนี้อยู่อีกหรือ ไม่สิแม้แต่บุรุษปกติทั่วไปยังหวาดกลัวเขาถึงเจ็ดส่วน
"สัญญาอันใด"
นานทีจะพบเจอคนไม่หวาดหวั่นปีศาจดำ เอาเถอะช่วงนี้เขากำลังเบื่ออยู่พอดีอยู่ล้อเล่นกับนางหน่อยก็ได้ ซ่างกวนโทวคิดในใจ
"สัญญาว่าฝ่าบาทจะช่วยเป็นพยานให้เมี่ยวหลัวหย่าขาดจากไอ้ตัวบัดซบเพคะ!"
อ่อ...
จากเจ้าบ่าวกลายเป็นไอ้ตัวบัดซบไปเสียแล้ว แต่ไอ้ตัวบัดซบที่นางเพิ่งด่าออกไป เป็นบุตรชายคนโตของเว่ยกั๋วกงเชียวนะ อนาคตไม่เกินปีหน้า หยวนเค่อเจวี๋ย หรือเจิ้งไห่ ก็คงขึ้นเป็นเว่ยกั๋วกงแทนบิดาไม่ผิดแน่
"คุณหนูลิ่วจีเพิ่งแต่งงานยังไม่ทันเข้าหอแต่เจ้ากลับจะหย่าขาด คงมีเหตุผลที่ดีกระมัง"
ถามออกไปด้วยอยากังเหตุผลของนางอย่างจริงใจ เนื่องจากต้าเซี่ยถึงแม้จะอิสระเสรี ทว่าสตรีที่เพิ่งผ่านพิธีแต่งงานแต่ยังไม่ข้ามวันก็หย่าเสียแล้วอนาคตคงไม่ดีเท่าใดนัก
"แน่นอนเพคะ"
"ได้ เจิ้นรับปาก!"
พอเห็นว่าเจ้าสาวตัวอวบนั้นกล้าเอ่ยปากขอ ดังนั้นปีศาจดำก็รับปากช่วยสตรีแปลกหน้าโดยง่าย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในเวลาเช่นนี้ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังต่างไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ แถมสตรีคนดังกล่าวยังมีฐานะเป็นสะใภ้ใหม่ของพระญาติสนทฝ่ายมารดาของปีศาจดำอีกด้วยนี่ไม่ใช่เพียงยากจะเชื่อหากทว่ามันช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว...
ปลายจมูกโด่งของซ่างกวนโทวกดลงจุมพิตที่ท้ายทอยหลังจากเขาจับเส้นผมนุ่มและผอมของจีเมี่ยวหลัวหลบไปด้านข้างเปิดเผยหลังลำคอขาวสะอาด“เขาหอกันเถิดภรรยาของข้า”เขากระซิบกระซาบแล้วจึงใช้เรียวปากแกร่งสัมผัสกับใบหูของนางจนจีเมี่ยวไคร้ตัวสั่นสะท้าน เขินอายย่อมีมากแต่ระหว่างนางกับซ่างกวนโทวต่างก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยและสาวน้อยแล้ว ต่างคนต่างอยู่ในวัยของผู้ใหญ่แล้วทั้งคู่ ดังนั้นเขินอายอย่างไรจีเมี่ยวหลัวย่อมไม่คิดปฏิเสธสามีของนางร่างอรชรหันกลับมาเผชิญหน้ากับเรือนกายสูงใหญ่ด้วยใบหน้าเขินอายสามส่วน มุ่งมั่นเสียเจ็ดส่วน ซ่านุ่มนิ่มโทวถึงกับหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ นี่แหละภรรยาของเขา จีเมี่ยวหลัวสำหรับเขาแต่ไหนแต่ไรมาจีเมี่ยวหลัวนั้นก็เป็นสตรีเช่นนี้ หากไม่ใช่นางเป็นเช่นนี้จะดึงสายตาของเขาให้หยุดอยู่ที่นางได้จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรนางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วใช้สองแขนของตนเองคล้องลำคอแกร่งจึงดึงให้ใบหน้าหล่อเหลาของท่านปีศาจดำโน้มลงมาหาตนเองโดยที่นางเอกก็เผยอเรียวปากนุ่มนิ่มขึ้นไปหาเขาเช่นกันปัง! ปัง! ปัง!ช่วงจังหวะที่เรียวปากของทั้งสองลงมาบรรจบกัน พลันนั้นดอกไม้ไฟก็ถูกจุดขึ้นมาพอดิบพอดี แสงสว่างวูบวาบกับภาพดอ
ใครจะคาดสตรีที่รูปโฉมไม่นับว่างดงามสะท้านแผ่นดินจะครอบครองดวงใจของปีศาจดำแห่งต้าเซี่ยได้ คราวแรกทุกคนที่ได้พบเห็นล้วนแปลกใจ ทว่าพอสืบกันไปลึกซึ้ง ตั้งแต่สมัยจีเมี่ยวหลัวไปอยู่แคว้นอิ๋งโจวจนถึงคดีสังหารคนยากไร้ขโมยอวัยวะภายในไปขาย ล้วนเป็นสตรีผู้นี้คอยให้การช่วยเหลือ ทุกคนจึงไม่แปลกใจอีกต่อไป สตรีบางคนโฉมงามเกินไปนอกจากจะอาภัพแล้วบางคนยังนำภัยมาสู่คนใกล้ตัวไปจนถึงชีวิตของตนเองและพอวันเวลาผ่านไปรูปโฉมที่เคยงดงามย่อมโรยราแต่สตรีที่มีสติปัญญา ยิ่งวันเวลาเนิ่นนานพวกนางจะยิ่งเฉลียวฉลาดดังคำว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คล้ายกับต้นอู่ถงยิ่งวันเวลาเพิ่มขึ้นเนื้อไม้จะยิ่งกล้าแกร่งสูงค่า ฉางตี้ฮ่องเต้คงมองเห็นความงามจากภายใน งดงามด้วยสติปัญญามิใช่งดงามด้วยรูปโฉมภายนอกกระมังจึงได้รักปักใจจนมีข่าวลือออกมาในช่วงแรกถึงขนาดที่เขาจะยินดีเป็นเขยแต่งเข้าทั้งที่หากจะกล่าวถึงฐานะ แค่ฉางตี้ฮองเต้นั้นกระดิกนิ้วสะบัดพู่กันเขียนราชโองการออกมาเขาก็สมหวังแล้ว ไม่ต้องมาตกแต่งไฟทั้งเมือง หรือแม้แต่สร้างหอชมเมืองเพื่อนาง ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อจะพาคุณหนูลิ่วจีขึ้นไปขอแต่งงานบนนั้นยังจะมีบุรุษใดคลั่งรักได้ยิ่งใหญ่เช่นฉางตี้
และบนศีรษะของจีเมี่ยวหลัวบัดนี้ประดับด้วยปิ่นทองสิบสองชิ้นครบตามธรรมเนียมของสตรีที่เตรียมตัวจะรับตำแหน่งฮองเพริศพริ้งฮาซึ่งบนศีรษะนอกจากปิ่นทองยังมีใบทับทิม ที่เหล่าฮูหยินจีกับซูหมัวมัวแซมเอาไว้ระหว่างปิ่นทองและเส้นผมที่ถูกเกล้างดงาม เรียกว่ากว่าจะเสร็จสิ้นจีเมี่ยวหลัวก็หนักไปหมดทั้งศีรษะและร่างกาย"งดงามมากเลยมากจริงๆ"ซูหมัวมัวพึมพำออกมาราวกับคนสติไม่ครบสมบูรณ์ อย่าว่าจะซูหมัวมัว แม้แต่นางกำนัลอาวุโสที่มาจากวังหลวงก็ยังตื่นตะลึงพอได้เห็นภาพของจีเมี่ยวหลัวหลังจากนางแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศของเจ้าสาวชั้นสูงเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา"เมี่ยวเมี่ยวมาเถอะ พวกเราไปทำพิธีกัน"หลังจากแต่งการครบเครื่อง ก็ถึงเวลาไปกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษในหอบรรพชนสกุลจี ซึ่งคนที่จะพาจีเมี่ยวหลัวทำพิธีดังกล่าวปกติต้องเป็นบิดา ทว่าบิดาของนางจากไปแล้ว ผู้ทำหน้าที่ผู้นำย่อมเป็นจีม่อชง เมื่อสามปีก่อน เขาเองก็เป็นทำหน้าที่นี้ แต่ในวันนั้นกับวันนี้ความรู้สึกของจีม่อชงและทุกคนในสกุลจีไม่เว้นแม้แต่จีเมี่ยวหลัวเองก็รู้สึกแตกต่างจากคราวนั้นไปไกลโขพอกราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงค่อยออกไปร่วมรับประท
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ชาวเมืองเสียนหยางและเมืองรอบข้างที่สามารถจนท้องฟ้าของมหานครเสียนหยางนั้นเห็นแสงสว่างไสวของพลุและดอกไม้ไฟ ต่างกล่าวขานในเวลาออกไปในเวลาไม่ถึงสิบวันเรื่องที่ฉางตี้ฮองเต้จัดแจงทุกสิ่งเพื่อจะขอสตรีนางหนึ่งแต่งงานก็ดังไปทั่วดินแดนต้าเซี่ยและอาณาจักรใกล้เคียงรวมไปถึงชนเผ่าน้อยใหญ่และเป็นราตรีนั้นที่หยวนเค่อเจวี๋ยได้ทราบเช่นกันว่าเขาทำของดีหลุดมือไปแล้วจริงๆ สามปีแต่แรกเขายังคิดว่าตนเองจะสามารถหวนคืนกลับไปคืนดีและขอสตรีเช่นจีเมี่ยวหลัวแต่งงานได้อีกครั้งจนมาถึงราตรีดังกล่าวความจริงก็ตีแสกหน้าของหยวนเค่อเจวี๋ยว่าตลอดมาเขาหลอกตนเอง เขาหลอกตนเองว่าสุดท้ายจีเมี่ยวหลัวจะต้องหวนคืนมาอภัยให้เขาได้ แต่บัดนี้นางกำลังจะก้าวไปเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย แค่ฮูหยินเอกของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งจีเมี่ยวหลัวนั้นจะชายตาแลได้อย่างไร!ยิ่งผู้คนทั้งหลายต่างอยากเห็นสตรีผู้นั้นว่าจะโฉมงามสะท้านแผ่นดินเพียงใด แล้วยิ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมากลับเป็นฝ่ายของฉางตี้ฮ่องเต้ก็ได้จัดการส่งพ่อสื่อไปเจรจาตกลงสิ้นสอดซึ่งก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโม่กงกงหรือโม่อี้หวายญาติและขันทีคู่พระทัยของเขานั่นเ
"เราจะไปที่ใดกันเพคะ"วันนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นัดแนะกับท่านหัวหน้าลิ่วจี แต่เขานั้นไม่ได้บอกว่าจะพานางไปที่ใดดังนั้นเมื่อขึ้นรถม้าแล้วจีเมี่ยวหลัวย่อมเอ่ยปากถาม ผ่านเหตุการณ์คดีค้าอวัยวะมนุษย์มาได้สามเดือนเศษแต่งานของทั้งซ่างกวนโทวและของจีเมี่ยวหลัวก็ยังมีมากจนล้นมือไม่เปลี่ยน ทว่าระหว่างนางกับเขาก็หาช่วงเวลาว่างตรงกันอยู่น้อยเจ็ดวันออกไปท่องเที่ยวด้วยกันหนึ่งครั้ง"หอชมเมือง"ผ่านมาจนถึงวันนี้ซ่างกวนโทวไม่อยากรออีกแล้วเขาจัดการเก็บกวาดจนวังหลังสะอาดสะอ้าน ราชสำนักเองเขาก็เข้มงวดกวดขันเอาขุนนางตรงฉินเป็นใหญ่เพื่อจะควบคุมขุนนางกังฉินไม่ให้เหิมเกริมได้แล้ว เนื่องจากการคิดจะกำจัดคนเลวออกไปจนสิ้นซากนั้นยากจะเป็นความจริงไปได้ ทุกคนมีส่วนดีและเลวทั้งสิ้นแต่การเลือกเอาความดีควบคุมความเลวอันนี้น่าจะเป็นจริงได้มากกว่าจึงถึงเวลาขอสตรีใจดวงใจแต่งงานเสียที เข้าใกล้จะสามสิบแล้วปีนี้ยี่สิบแปดอีกไม่กี่เดือนก็เต็มยี่สิบเก้าปี และเดือนก่อนทางซ่างกวนไท่ก็แจ้งข่าวดีมาแล้วว่าเจี่ยอวี้หลันเพิ่งตั้งครรภ์ ก็ถึงเวลาของเขาบ้างแล้ว เหน็ดเหนื่อยและยากเย็นจนผ่านมาร่วมแปดปี รวมไปถึงเขาเป็นมังกรเดียวดายมานานกว่าแปดปี
ส่วนซ่างกวนโทวนั้นกลับวังหลวงเพราะออกมาถึงสี่วันสี่คืนแล้ว เรียกว่าเขาแจกจ่ายงานแล้วก็กลับวังหลวงทันที เพราะเขาเองก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องกลับไปจัดการสานต่อเช่นกันยิ่งเขาอยากแต่งภรรยามากเท่าใดก็ต้องรีบจัดการเก็บกวาดวังหลังให้สะอาดหมดจดเร็วเท่านั้น"ฝ่าบาท ฉวนซูเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"แค่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมจะพักผ่อน โม่กงกงก็เข้ามารายงานว่าสตรีที่เขายังไม่ทันได้‘จัดการ’กำจัดออกไปก็เสนอหน้ามารบกวนกันเสียแล้ว"ไล่กลับไป ข้าจะพักผ่อน"อดนอนมาสี่วันสี่คืนความอดทนอดกลั้นของเขาไม่ได้มากเช่นในยามปกติ ขับไล่ไปจึงเป็นวิธีง่ายกว่าในยามนี้เขายังหาเหตุปลดสตรีสกุลฉวนออกไปได้ และที่เก็บเอาไม่ใช่รักใคร่หรือมีจิตพิศวาส ทว่าเพราะเขาทราบสตรีแซ่ฉวนทั้งสองไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งสตรีที่ยังเหลือภายในวังหลังก็ล้วนเป็นสตรีประเภทเดียวกับสตรีสกุลฉวนน้าสาวกับหลานสาวที่อายุใกล้เคียงกันนี้ก็ไม่ต่างกัน"ฝ่าบาทไม่ได้พลิกป้ายมาร่วมเดือนแล้วหากยังขับไล่นางไปอาจไม่ใช่เรื่องดี"โม่กงกงเตือน เพราะการพลิกป้ายนี้มันช่วยลดปัญหาวุ่นวายของสตรีวังหลังได้ ส่วนพลิกแล้วซ่างกวนโทวจะไปร่วมหลับนอนกับพวกนางหรือไม่ก็ล้วนเป็นตัวของ