ตอนที่ 13 ความเชื่อใจ
หรงผิงและลูกทั้งสองตื่นแต่เช้า เพื่อทำกิจวัตรประจำวัน
เด็ก ๆ จะมีหน้าที่ช่วยงานบ้านเท่าที่จะช่วยได้ และยังต้องหัดเขียนหนังสือที่ลานหน้าบ้านในตอนเช้าของทุกวันอีกด้วยเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในมิติฟาร์มยังมีสมุดหนังสือและดินสอที่สามารถนำออกมาใช้งานได้ เลยปล่อยให้ลูกทั้งสองคนเขียนหนังสืออยู่ที่ลานหน้าบ้านก่อน ส่วนตัวเธออ้างว่าต้องการไปเข้าห้องน้ำ แต่ความจริงแล้วเธอเข้ามาในมิติฟาร์ม
หรงผิงเคยได้รับบทเรียนมาจากโลกเดิมแล้วว่า... ความลับบางอย่างก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ เธอยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่เชื่อใจใครเลยสักคน ชาติที่แล้วตายเพราะญาติที่คิดว่าดีแสนดี ชาตินี้จะไม่มีทางทำเหมือนเดิมอีกเป็นอันขาด!!
"คิดถึงกลิ่นนี้มากกก... " หรงผิงลากเสียงยาวทันทีที่เข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนจะค่อย ๆ หาดินสอและหยิบสมุดเล่มเล็กตามที่ตัวเองตั้งใจมาเอาตั้งแต่แรก
"ในนี้ทุกอย่างจะคงสภาพไม่เน่าไม่เสีย... ในครัวเรามีตู้ใส่อาหาร!! " เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ตัวเองจะตายมีเสบียงหลงเหลืออยู่ในครัว จึงรีบเข้าไปตรวจสอบ เพราะในมิติฟาร์มทุกอย่างจะคงสภาพไม่เน่าไม่เสีย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
"อ่าา... หายหมด... แต่ไม่เป็นไร แค่ตามมาก็ดีแล้ว" เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรหลงเหลือเลย จึงได้แต่ปลอบใจตัวเอง
เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา หรงผิงจึงเดินไปที่ลานเกษตร เพื่อตรวจสอบดูว่าต้นกล้าโตขึ้นบ้างไหม พอมาถึงก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับยิ้มกว้างออกมา เพราะจากที่ดูแล้วทุกอย่างยังคงทำงานเหมือนเดิม เธอจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก็ต่อเมื่อครบหนึ่งวันหรือ 24 ชั่วโมงนั่นเอง
หลังจากที่ตรวจดูผลผลิตแล้ว เธอตัดสินใจเดินไปที่โกดังจอดรถ เพื่อที่จะดูให้แน่ใจว่ารถเกี่ยวข้าวยังอยู่ดีหรือไม่ ด้วยเวลาที่มีน้อย ทำให้เมื่อคืนเธอสำรวจคร่าว ๆ เพียงเท่านั้น และในตอนนั้นเธออยากทดลองปลูกพืชที่ลานเกษตรก่อนเป็นอันดับแรก
"คงต้องให้รอเจ้าแฝดหลับก่อนแล้วค่อยเข้ามาทำงานทีหลัง" ตอนนี้เวลามีน้อยเกินไป เธอไม่ต้องการให้คนอื่นสงสัย จึงต้องออกมาอยู่กับลูกเสียก่อน เธอคิดว่าคงต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนทำงานในมิติฟาร์ม ส่วนตอนกลางวันก็ใช้ชีวิตแบบปกติอย่างที่เคยทำ
"แม่ครับ... ย่ามาหา" จือหมิงเดินมาเรียกแม่สองรอบแล้ว แต่แม่กลับเงียบ เขาจึงตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าห้องส้วมจนกว่าแม่จะออกมา
"มานานหรือยัง" หรงผิงเห็นเจ้าตัวเล็กนั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำเลยอดถามไม่ได้ เพราะหากเธออยู่ในมิติแล้วจะไม่ได้ยินหรือรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว
"ผมเรียกแม่สองรอบ แต่แม่ไม่ตอบ" จือหมิงไม่แน่ใจว่ารอแม่นานไหม แต่รู้ว่าเรียกสองรอบแล้วแม่ไม่ตอบ
"แม่ไม่ได้ยิน" หรงผิงแก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ ก่อนจะดันลูกชายให้เดินนำหน้า
"แม่ ๆ ย่ามาทำไมก็ไม่รู้" ซือหงมาดักรอแม่นานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าแม่กับพี่ชายจะออกมาสักที
"พี่บอกให้เอาน้ำไปให้ย่า จำที่แม่สอนเวลาแขกมาบ้านไม่ได้เหรอน้องเล็ก" จือหมิงมองน้องสาวอย่างสงสัย เพราะทั้งสองแบ่งงานกันทำ เขารับหน้าที่มาตามแม่ ส่วนน้องสาวมีหน้าที่เอาน้ำไปต้อนรับย่า แต่ทำไมน้องสาวถึงมาดักรออยู่ตรงนี้!!!
"หนูเอาไปให้แล้ว ก็รีบมาตามแม่กับพี่ใหญ่อย่างไรล่ะ" ซือหงหันมาบอกพี่ชาย เธอทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เป็นพี่ใหญ่นั่นแหละที่หายมานานเอง!!
"แม่จะไปคุยกับย่าเอง... พวกลูกเอาสมุดนี่ไปหัดเขียนตัวเลขและตัวอักษรที่แม่เคยสอน แม่คุยกับย่าเสร็จแล้วจะมาตรวจว่าเขียนได้ถูกต้องไหม" หรงผิงส่งสมุดให้ทั้งสองที่ยืนทำตาโตกับสิ่งที่เห็น แต่ก่อนลานหน้าบ้านคือสมุดและหนังสือเรียน ตอนนี้มีสมุดจริง ๆ แล้ว!!
เมื่อสองพี่น้องได้สมุดก็รีบพากันไปเขียนหนังสือตามที่แม่บอก ตั้งแต่ที่แม่ใจดีมาอยู่ด้วยก็ทำให้ทั้งสองคนมีความสุขมาก ๆ ก่อนหน้านั้นซือหงจะหักนิ้วนับจำนวนวันที่แม่ใจดีมาอยู่ด้วย แต่พอมันเลยจำนวนนิ้วมือแล้วก็นับต่อไม่ถูก นับผิดนับถูกจนไม่นับต่อแล้ว รู้แต่ว่าแม่มาอยู่ด้วยนานแล้ว และแม่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป!!
"แม่มีอะไรเหรอคะ" หรงผิงถามแม่สามีทันทีที่ออกมาเจอ เพราะจากที่จำได้ ปกติแล้วแม่สามีไม่เคยมาหาเธอโดยตรง ส่วนมากจะแอบมาหาหลานมากกว่า
หากความทรงจำที่ได้รับไม่มีอะไรผิดพลาด หรงผิงคิดว่านี่คือครั้งแรกที่แม่สามีมาหา และยังมาหาเธอโดยตรง ไม่ได้มาหาหลานอีกด้วย
"พรุ่งนี้มีงานในเมือง ฉันจะพาเจ้าแฝดไปเดินเที่ยวงาน เลยมาบอกไว้ก่อน" รุ่ยจิวไม่เคยได้พาหลานแฝดไปเที่ยวงานเลยสักครั้ง ทั้งที่ลูกหลานบ้านเฉินนั้นได้ไปเดินเที่ยวในเมืองทุกครั้งที่มีงานเทศกาล
"หล่อนอยากไปด้วยก็ได้นะ ฉันอยากให้หลานได้ไปเห็นอะไรบ้าง" เมื่อยังเห็นว่าลูกสะใภ้ยังคงเงียบ รุ่ยจิวเลยเอ่ยออกมาอย่างใจกว้าง
"แม่พาเด็ก ๆ ไปได้เลยค่ะ หากฉันไปด้วยอาจหมดสนุกเอาได้" คนที่หมดสนุกคือคนอื่น ๆ ส่วนสองแฝดนั้นไม่น่าจะมีปัญหา
หรงผิงมาอยู่ที่นี่นานนับเดือน ช่วงแรก ๆ ฝาแฝดยังหวาดกลัวเธออยู่มาก แต่พอผ่านมาได้ไม่นานทั้งสองก็กล้าที่จะเข้าหาเธอมากขึ้น จนตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าเด็กทั้งสองไม่ได้หวาดกลัวเธอเหมือนแต่ก่อนแล้ว การที่ทำให้เด็กเชื่อใจมันง่ายกว่าการทำให้ผู้ใหญ่เชื่อใจ สิ่งนี้เธอเข้าใจดี หากเป็นเธอก็คงไม่เชื่อเช่นเดียวกัน
"หากฉันพาไปนอนค้างด้วยจะได้ไหม" รุ่ยจิวยังคงมองหน้าลูกสะใภ้ที่มีท่าทีนิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเห็นอะไรแบบนี้ ทั้งที่แต่ก่อนแค่มองหน้าก็ตาขวางใส่แล้ว ส่วนคำพูดนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย!!
"ได้ค่ะ แต่ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากให้แม่ช่วยเหลือสักหน่อย" หรงผิงตอบและยังขอความช่วยเหลืออีกด้วย
"หากทำได้ฉันก็พร้อม แต่หากมากเกินไปฉันก็ไม่รับปาก" รุ่ยจิวคิดว่าอาจเป็นเรื่องหย่า ถึงเธอจะเป็นแม่ แต่ทุกอย่างเธอให้ลูกชายจัดการตั้งแต่แรก ที่เห็นด้วยเพราะสะใภ้รองนั่นแหละที่ทำร้ายลูกตัวเอง และยังทำตัวร้ายกาจอีกด้วย เธอเลยไม่ห้ามลูกชาย มีแต่บอกให้รีบจัดการให้เรียบร้อย เพราะสงสารหลานตัวน้อย ๆ
"ฉันยอมหย่า แต่มีเงื่อนไขคือขอมาเจอลูกบ้าง ขอพาลูกไปเที่ยวบ้างบางครั้ง แต่ทุกครั้งฉันจะบอกก่อนล่วงหน้า และเรื่องที่ฉันกังวลใจคือ เรื่องที่เด็ก ๆ ยังไม่รู้เรื่องนี้ ยังเข้าใจว่าการหย่าคือการแยกกันไปทำงาน ฉันอยากให้แม่หรือพ่อของเด็ก ๆ ช่วยพูดและอธิบายให้ทั้งสองคนเข้าใจ แม่พอที่จะช่วยฉันได้ไหม" เธอยอมรับว่าเรื่องนี้คือเรื่องยากสำหรับเธอ
หากเธอเลือกใช้คำพูดที่ตรงเกินไป มันจะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดีได้ ยอมรับว่าการที่จะทำให้เด็กเข้าใจโดยที่ไม่ทำร้ายความรู้สึกนั้นมันยากเกินไปสำหรับเธอจริง ๆ
"ฉันจะช่วยพูดก็แล้วกัน" รุ่ยจิวคิดว่าบอกนั้นมันง่าย แต่ทำให้หลานเข้าใจนั้นยากมากกว่า แต่ไม่เป็นไร... เพราะมีคนในหมู่บ้านที่พ่อแม่หย่ากันพอที่จะเอามาเป็นตัวอย่างแล้วบอกให้หลานเข้าใจได้บ้าง
"หลังมื้อกลางวัน ฉันจะไปส่งเด็ก ๆ นะคะ" หรงผิงสรุปเองจะได้รีบแยกย้าย เพราะรู้สึกว่าการพูดคุยมันไม่ธรรมชาติ อาจเพราะแต่ก่อนไม่เคยได้คุยกัน จึงทำให้แม่สามีค่อนข้างที่จะระแวงเธออย่างเห็นได้ชัด
"ได้ ๆ เดี๋ยวกลับจากในเมืองแล้วจะพามาส่งที่บ้าน" เมื่อคุยเรียบร้อยแล้วเธอก็จะได้กลับบ้าน เอาเรื่องนี้ไปบอกคนที่บ้านให้รับรู้ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอมาขอให้หลานไปเที่ยวด้วยกัน และเป็นครั้งที่สองที่พูดคุยกันดี ๆ โดยไม่มีสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าไม่อยากพูดคุยเลยแม้แต่นิดเดียว
"ฉันจะไปรับเด็ก ๆ ช่วงเย็นเอง ฝากแม่ดูเจ้าแฝดด้วยนะคะ" เธอมีสถานที่ที่ต้องไปเหมือนกัน ในเมื่อคืนนี้มีเวลาที่จะทำงานในมิติฟาร์ม เท่ากับว่าเธอจะมีผลผลิตมากพอที่จะเอาออกมาขายได้ พรุ่งนี้เธอก็ต้องหาแหล่งขายเพื่อหารายได้ให้ตัวเอง
"แบบนั้นก็ได้ ฉันกลับก่อนแล้วกัน อาหมิง อาหง... ย่ากลับก่อนนะ" รุ่ยจิวบอกลูกสะใภ้ ก่อนที่จะตะโกนบอกหลาน ๆ ที่นั่งหัวชนกัน
หากเดาไม่ผิดคงเขียนหนังสือแน่ ๆ เพราะตอนที่เธอมานั้น หลาน ๆ กำลังเอาไม้เขียนพื้นที่ลานหน้าบ้าน แล้วบอกว่ากำลังหัดเขียนหนังสือตามที่แม่สอน ต้องยอมรับว่าแปลกใจมาก!! บอกเลยว่าตอนนี้ลูกสะใภ้รองทำให้เธอนั้นทั้งตกใจและประหลาดใจได้นับครั้งไม่ถ้วน
"ย่า ๆ ดูก่อน หนูเขียนเอง" ซือหงรีบวิ่งหน้าตั้งเอาสมุดที่ตัวเองเขียนเสร็จแล้วมาอวดย่า ตอนนี้เธอเขียนหนังสือได้หลายตัวแล้ว แม่บอกว่าคนเราหากอ่านออกเขียนได้จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ทั้งที่ไม่รู้ว่าโอกาสคืออะไร แต่แม่บอกดี เธอกับพี่ชายก็ต้องบอกว่าดีไม่ต่างกัน!!
"เขียนได้ด้วยหรือ" รุ่ยจิวรับสมุดมาดู เธอก็พออ่านได้ แต่ไม่ค่อยคล่องสักเท่าไร
"แม่สอนค่ะ" ซือหงเชิดหน้าน้อย ๆ ขึ้นนิดหนึ่ง ยืดตัวรอรับคำชมจากย่า บอกแล้ว ถึงจะเขียนตัวใหญ่ไปหน่อยแต่เขียนถูกแน่นอน!!
"ของผมก็มีครับ" จือหมิงเอาสมุดของตัวเองออกมาให้ย่าดูด้วยเหมือนกัน
ตอนแรกรุ่ยจิวคิดว่าจะกลับบ้านเลย แต่พอหลาน ๆ ต่างชวนพูดคุยเรื่องที่ตัวเองหัดเขียนหนังสือ หัดนับเลขโดยมีแม่เป็นคนคอยบอกคอยสอนให้ทุกวัน จึงทำให้กว่าจะได้กลับบ้านจริง ๆ ก็เป็นเวลาช่วงบ่ายเลยทีเดียว...
ตอนพิเศษ 3วันตรุษจีนของพวกเราณ โรงพยาบาลประจำมณฑล"เราจะได้กลับกี่โมง... ปกติพ่อกับแม่ไม่เคยมารับเราช้า แต่ทำไมวันนี้ถึงช้าได้เล่า" เสียงบ่นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งชะเง้อมองไปยังเส้นทาง เฝ้ามองว่าคนที่ตัวเองรอจะมารับเมื่อไร"หิว ง่วง หรือว่ายังไง" ซือหงมองเพื่อนที่บ่นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เพราะพูดบ่อยมากจนจำไม่ได้แล้ว"หิว วันนี้ที่บ้านต้องมีอาหารมากมายแน่ ๆ " ซือเล่อหันมาบอกเพื่อนอย่างจริงจังซือหงกับซือเล่อเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนระดับประถม และเรียนด้วยกันมาตลอดจนถึงตอนทำงานก็ยังทำที่เดียวกันอีกด้วย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน แม้แต่อาชีพที่เลือกเรียนยังเหมือนกันเลยสองสาวเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่ต้องมาทำงานในโรงพยาบาลประจำมณฑล อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว แต่ใช่ว่าจะจบเลยทีเดียว ยังมีต่อเฉพาะทางอีก ซึ่งสองสาวยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต่อด้านไหนดีทั้งสองสนิทกันจนถึงขั้นไปกินไปนอนบ้านของอีกคนได้ โดยที่คนในครอบครัวรับรู้ จนพ่อแม่ของทั้งสองคิดว่ามีลูกสาวเพิ่มเข้ามาในครอบครัวอีกคนแล้ว"หิวหรืออยากเห็นหน้าพี่ใหญ่ วันนี้วันตรุษจีน... " ซือหงพูดพร้อมทั้งหรี่ตาจ้องจับผิ
ตอนพิเศษ 2:: เซียวหรงผิงสาวน้อยจากวันสิ้นโลก ::หรงผิงขดตัวซ่อนอยู่ในมุมอับ ทั้งที่รอบ ๆ พื้นที่เงียบสงัด แต่เจ้าตัวกลับรับรู้ถึงภัยที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา รู้ดีว่าด้านนอกนั้นคือสิ่งใด...เซียวหรงผิง คือชื่อที่พ่อกับแม่ตั้งให้ ผิงผิง คือชื่อที่พวกท่านชอบเรียกหา แต่นั่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เธอไม่ต้องการให้ใครเรียก ผิงผิง อีกแล้ว เพราะมันทำให้เธอคิดถึงพวกท่านหรงผิงดีใจที่พวกท่านจากไปตั้งแต่ช่วงแรก อาจฟังดูใจร้าย แต่เชื่อเถอะว่าคนที่จากไปในช่วงเชื้อโรคแพร่ระบาด หรือในช่วงแรกนั้น... คนพวกนั้นโชคดีกว่าคนที่อยู่มาถึงทุกวันนี้โลกที่เธออยู่มีความเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยี ทุกอย่างสะดวกสบาย เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย รวมถึงมีรอยรั่วให้สิ่งแปลกปลอมแทรกซึม เธอไม่รู้ว่าสาเหตุหลักจริง ๆ แล้วเชื้อไวรัสนี้มาจากที่ใด แต่การแพร่ระบาดเริ่มในกลุ่มเล็ก ๆ คนที่ติดเชื้อจะถูกแยกและถูกเจ้าหน้าที่กักตัวไว้เพื่อดูอาการในช่วงแรกทุกคนคิดว่าคนที่ติดเชื้อคือโชคร้าย เธอคือหนึ่งในนั้นที่คิดว่าพ่อกับแม่โชคร้ายที่ติดเชื้อตั้งแต่แรก ท่านทั้งสองถูกส่งเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยที่ตัวเธอถูกจับตรวจร่างกาย เพื่อหาเ
ตอนพิเศษ 1:: เซียวหรงผิงมารดาตัวร้าย ::เซียวหรงผิงค่อย ๆ ขยับตัว พยายามที่จะเปิดเปลือกตา... เพื่อลืมตาตื่น ความทรงจำบอกว่าเธอตกน้ำเย็นจัด จึงทำให้ป่วยเป็นไข้นอนซมตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเมื่อนึกย้อนกลับไปว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้ตัวเองตกลงไปในน้ำ ก็ทำให้มีแต่อารมณ์กรุ่นโกรธ!! ไม่พอใจชาวบ้านที่พากันลือพูดข่าวมั่ว ๆ กล่าวหาว่าสามีของเธอกำลังจะกลับมาหย่า!! จะหย่าได้อย่างไร ในเมื่อไม่ยอมหย่าซะอย่าง ใครจะทำไม!!สามีของเธอไม่เคยกล้ากับเธอเลยสักครั้ง ถึงตัวไม่กลับมาแต่ส่งเงินให้ตลอด มีกินมีใช้ไม่เคยขาดมือ ก็ลองปล่อยให้ขาดมือดูซิ!! คนที่ต้องอดก็คือลูกของเขาทั้งสองคนอีกนั่นแหละ!! เธอจำได้ดีว่าโทรเลขไปขู่สามี หากครั้งนี้ยังไม่กลับมา อย่าได้เห็นหน้าลูกอีกเลย"ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้วะ!! ไอ้แฝดหายหัวไปไหนหมด ไม่แหกตาดูหรือว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย พวกแกสองตัวอยากให้ฉันตายหรืออย่างไร อยากลองดีใช่ไหม แม่จะฟาดให้หลังลายเลย!! " แม้จะรู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองเปลี่ยนไป แต่เพราะรู้ว่าตัวเองไม่สบายอาจทำให้เสียงเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง"ยังไม่โผล่หัวออกมาอีก!! วันนี้พวกแกสองตัวอดข้าวไปเลยนะ อย่าให้เห็นว่ากินอิ่มนอ
ตอนที่ 46 บทส่งท้าย(มารดาที่ดี)หรงผิงจับลูกสาววัยสิบสองปีทำผมที่เด็กสาวกำลังนิยมในช่วงนี้ ที่ลูกสาวทำผมจัดเต็ม เพราะวันนี้ทางโรงเรียนจัดงานแข่งขันกีฬาสี และยังประกาศผลสอบให้กับนักเรียนอีกด้วย"ทำไมน้องเล็กต้องทำหลายอย่างด้วย" จือหมิงนั่งกินโจ๊กไปด้วยมองน้องสาวไปด้วย"คุณครูประจำชั้นบอกว่าจะมีคะแนนกิจกรรมมอบให้ เลยทำทุกอย่างที่ครูเสนอ" ซือหงตอบไปตามตรง ไม่อยากทำแต่อยากได้คะแนน เพราะผลการเรียนมีผลต่อการที่จะยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย รุ่นพี่พูดแบบนี้ทั้งนั้น"หากเป็นแต่ก่อน พี่คงคิดว่าน้องเล็กน่าจะถูกหลอก แต่ตอนนี้ไม่น่าจะถูกหลอกง่าย ๆ นอกจากไปหลอกคนอื่นเขามากกว่า" จือหมิงก็ยังคงเย้าแหย่น้องน้อยไปด้วย แต่ที่เขาบอกออกไปนั้นคือเรื่องจริง!!น้องสาวของเขาไม่ใช่เด็กที่ขี้กลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม่เป็นแบบไหน น้องสาวของเขาเป็นแบบนั้นเลย และน่าจะร้ายมากกว่าแม่เสียอีก!! เพราะตอนนี้เขาจดจำแม่ปากร้าย แม่ใจร้ายไม่ได้แล้ว เขาจำได้แต่แม่ใจดีถึงแม่จะไม่ค่อยพูด แต่แม่สอนในหลายสิ่งหลายอย่างให้เขากับน้องสาว สอนให้รู้จักเข้มแข็ง สอนให้รู้จักแบ่งปันแก่ผู้อื่นเสมอ และสอนให้สู้คน ไม่ยอมให้คนมารังแก หรือเอา
ตอนที่ 45 เป็นลูกที่ดีหรงผิงยืนมองพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งรอคิวให้เจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ที่โลกใบนี้เกือบ 3 ปีแล้ว การงานของเธอมั่นคง มีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยมีครอบครัวเฉินและครอบครัวเซียวดูแลเหมือนเดิมมาตั้งแต่แรกทุกคนช่วยงานกันเป็นอย่างดี เคยเป็นแบบไหนก็ยังเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือทุกคนมีรายได้ดี มีเงินเก็บ และลูกหลานทั้งสองบ้านก็ได้เรียนหนังสือทุกคน"ทำไมต้องมาตรวจให้สิ้นเปลืองด้วย" เหลียนฟางมองลูกสาวที่เดินมานั่งใกล้ ๆ ก็อดที่จะบ่นไม่ได้"ไม่อยากอยู่เลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนหรืออย่างไร" หรงผิงถามกลับ แกล้งขู่แม่ไปอย่างนั้นเอง"ฉันไม่ได้เป็นอะไร!! " เหลียนฟางรู้ดีว่าลูกสาวหมายถึงเรื่องอะไรความจริงแล้วปากบ่นไปแบบนั้นเอง มันคือความเคยชิน แต่ในใจกลับตื้นตันที่ลูกสาวใส่ใจ ห่วงพ่อแม่พี่ชาย ต้องให้ทุกคนมาตรวจสุขภาพประจำปี เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่มาไม่เคยรู้ว่ามีตรวจสุขภาพประจำปีประจำเดือนด้วย แต่พอลูกสาวคนนี้เริ่มเปลี่ยนไปก็เหมือนเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ให้ครอบครัวได้เรียนรู้อยู่เรื่อย ๆ คำพูดของย่าทวดเป็นจริงเสมอ... ในตอนแรกที่ลูกสาวเปลี่ยนไ
ตอนที่ 44 ได้เป็นภรรยาอย่างเต็มตัว Nc+++กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ผ่านมาอีกสามเดือน จนตอนนี้หรงผิงมาอยู่ที่โลกใบนี้เป็นปีแล้ว จากลูกอายุห้าขวบ ตอนนี้อายุหกขวบกว่า ๆ แล้วตอนนี้เด็กแฝดก็ไปเรียนแล้วด้วย เธอไม่รู้เลยว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป เพราะว่ามัวแต่จัดการกับงานต่าง ๆ แต่พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงทำให้มีเวลามองย้อนกลับไป จึงได้รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก!!สองครอบครัวมีกินมีใช้ ฐานะดีขึ้น แต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ฟุ่มเฟือย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การที่สองครอบครัวสนิทกันมากขึ้น แบ่งปันสิ่งของกันเสมอ และที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องคือ... ครอบครัวบ้านเฉินได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้งหมดพี่ใหญ่บ้านเฉินลาออกจากการเป็นทหารกลับมาดูแลการผลิตในโรงงานให้เธอ เพราะพี่ชายทั้งสองของเธอต้องเข้ามาทำงานในมิติเลยไม่ได้ไปดูแลโรงงาน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำอย่างลงตัวตอนนี้หน้าที่หลักของเธอคือทำบัญชีเองทั้งหมด แม้แต่ค่าแรงที่จ่ายให้ทุกคน เธอก็คือคนตัดสินใจ แต่ส่วนมากจะขอความคิดเห็นจากสามี เท่าที่รับรู้เธอจ่ายค่าแรงสูงกว่าราคาการจ้างงานทั่วไปแต่พอปรึกษากันแล้ว คิดว่าคนที่ทำงานให้เป็นญาติพี่น