1 กันยายน 1975
วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่ง
ผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่
“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน
“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม
“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชาย
เรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี้รู้กันทั่ว เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะที่ผ่านมาหลิวซือก็ทำหน้าที่ได้ดี ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งงานมาแล้วเสียอีก หลายบ้านต่างก็อิจฉาพี่ชายของเธอที่ได้ผู้หญิงดีขนาดนี้
“อ้อ โตเป็นสาวแล้วสินะ” ถึงปากอยากจะพูดต่อ แต่เจ้าตัวเดินไปนู่นแล้วเลยต้องหยุดบทสนทนาเพียงเท่านี้ก่อน
ทว่าเดินมายังไม่ทันไร ก็ต้องหยุดเดินเพราะมีคนเรียกชื่อเธอเอาไว้ก่อน พอหันไปมองตามเสียงพบว่าเป็นคุณนายจางนั่นเอง
“หนูเสี่ยวเหลียนจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะคุณนาย” เธอก้มหน้าทักทายอย่างมีมารยาท
“คุณนายอะไรกันล่ะ เรียกคุณป้าก็แล้วกัน” ท่านหันมองซ้ายขวา เห็นคนอยู่เยอะเลยไม่ได้ให้อีกฝ่ายเรียกแม่ ด้วยกลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสีย เพราะตอนนี้ว่าที่ลูกสะใภ้ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย
เสี่ยวเหลียนไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าทำตามอย่างว่าง่ายเท่านั้น
“มานั่งนี่ก่อนสิ ป้าจะแนะนำให้รู้จักกัน” ท่านเดินมาจับมือเสี่ยวเลียนให้มานั่งใต้ต้นไม้ ซึ่งยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“จางปิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เสวี่ยอวี้ ปีนี้เขาก็ขึ้นมัธยมปลายปีหนึ่งเหมือนกับเสี่ยวเหลียน”
“สวัสดีค่ะ”
“อืม” จางปิน ชายหนุ่มหน้านิ่งพยักหน้ารับ จากนั้นสายตาก็หันไปสนใจหนังสือในมือต่อ
คุณนายจางเห็นแบบนั้นก็ตีไหล่หลานชายที่เสียมารยาทกับพี่สะใภ้ “เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทกับพี่สะใภ้เอาเสียเลย”
“ป้าครับ พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย อีกอย่างพี่ก็ยังไม่รู้เรื่องด้วย ผมไม่ยอมรับหรอก”
เสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ยักไหล่เบาๆ ประมาณว่า แล้วยังไงล่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นพี่สะใภ้ของนายสักหน่อย ทำให้จางปินหรี่ตามองอย่างสนใจ
“ป้าดูเอาสิครับ หล่อนไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย”
คุณนายจางหันมามองตามที่หลานชายบอก กลับพบเสี่ยวเหลียนก้มหน้า พอเธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาก็เห็นว่าดวงตากลมโตเป็นสีแดงระเรื่อ ดูก็รู้ว่ากำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล
“เด็กเหลือขอ เสียแรงที่ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ดูเอาเถอะแกพูดจบพี่สะใภ้จะร้องไห้แล้ว” คุณนายจางหันไปหยกหลานชายต่อ
“อาโหยว ป้าครับผมเจ็บนะ” เขาหันไปมองเสี่ยวเหลียนอย่างเอาเรื่อง พบว่าอีกฝ่ายกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ตนอยู่ ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่ชอบหน้า
“นั่นไงป้าดูสิครับ หล่อนร้องไห้ที่ไหน กำลังทำหน้าท้าทายอยู่ชัดๆ”
คุณนายจางไม่สนใจ ยังคงทำโทษหลานชายอยู่ เสี่ยวเหลียนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสะใจ ถ้าหากว่าเธอไม่ต้องเรียนต่อก็แล้วไปเถอะ การแต่งงานเพื่อหนีจากแร้งกาพวกนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย
เสียงแตรเรียกให้นักเรียนเข้าห้องสอบช่วยชีวิตจางปินเอาไว้ ความจริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็ถูกเลี้ยงมาไม่ต่างอะไรกับลูกชายคนเล็กของบ้าน
“ไปสอบได้แล้ว หนูเสี่ยวเหลียนจ๊ะ สอบเสร็จแล้วมาเจอกันตรงนี้ก่อนนะ ฉันอยากจะคุยเรื่องสำคัญกับหนูจริงๆ”
เสี่ยวเหลียนเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็ใจอ่อน เผลอพยักหน้าตอบตกลงไป
“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ ตามมาสิเดี๋ยวก็เข้าสอบสายหรอก”
เสี่ยวเหลียนหันไปมอง พบว่าจางปินยังยืนรอเธออยู่ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายตัวสูง อีกทั้งยังหน้าตา ผิวพรรณดี ดูก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของคนมีเงิน ทำให้เป็นจุดเด่น
“ไปเถอะ มีอะไรก็บอกปินปินได้ เด็กคนนี้น่ะรักพี่ชายของเขามากก็เลยหวง แต่ความจริงไม่มีอะไรหรอก” คุณนายจางยิ้มพอใจกับท่าทางของหลานชาย
“ค่ะ” เสี่ยวเหลียนยิ้มตอบ แล้วก็เดินไปทางจางปินแต่ยังเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาเอาไว้อยู่ เพราะเธอไม่อยากเป็นจุดเด่น
แต่สิ่งที่หญิงสาวไม่่รู้ ต่อให้เธอจะเดินคนเดียวก็ยังเป็นุดเด่นอยู่ดี ด้วยหน้าตา และส่วนสูงที่ดูเหมือนจะสูงกว่ามาตรฐานของผู้หญิงไปเยอะ เพราะจ้าวเสี่ยวเหลียนสูงถึง 175 เซนติเมตร ในขณะที่เพื่อผู้หญิงคนอื่นสูงแค่ 165 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย พอเดินใกล้กันส่วนสูงของเธอสูสีกับจางปินเสียด้วยซ้ำ
“ผู้หญิงอะไรไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย” เขาบ่นงึมงำๆ เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะไม่เคยเดินคู่ผู้หญิงที่ตัวสูงขนาดนี้มาก่อน
แต่ไหนแต่ไรจางปินเด็กคนที่โดดเด่น คุ้นชินกับสายตาที่คนอื่นมอง ยิ่งเขาเดินคู่ไปกับพี่ชายแสงของพี่ชายก็มักจะสาดส่องมาหาเขาด้วย แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ชายหนุ่มเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
“นายว่าอะไรนะ”
“ทำไมเธอถึงตัวสูงได้ขนาดนี้ ผู้หญิงของพี่ชายจะต้องตัวเล็กน่าทะนุถนอมถึงจะถูก” เขาขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งหันมาพูดกับเธอตรงๆ
“หึ เหมือนลูกหมาพวกนั้นอ่ะเหรอ” เสี่ยวเหลียนปรายตาไปมองหวังหลินที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี
จางปินหันไปมองตาม พบว่าเป็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา ส่วนสูงของพวกหล่อนใกล้เคียงกัน ดูด้วยตาก็พอรู้ว่าน่าจะประมาณหน้าอกของเขา
“ก็…ประมาณนั้น”
หญิงสาวที่กำลังเดินมา เห็นหนุ่มหล่อคนดังหันมามองตาไม่กะพริบก็หยุดเดิน ยืนเขินตัวบิดไปตามๆ กัน
“ช่วยไม่ได้ ฉันลูกคน” เสี่ยวเหลียนยักไหล่ไม่สนใจแล้วก็เดินชนไหล่ของชายหนุ่มเดินเข้าห้องสอบไป
“เสือชัดๆ ดุขนาดนี้” ชายหนุ่มหันหลัง ยิ้มมุมปากแล้วก็เดินตามหลังไป ไม่สนใจกลุ่มสาวๆ ที่ยืนหน้าแดงกลุ่มนั้นเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่สอบจางปินออกเป็นคนแรก เขาเดินอ้อมมาทางที่เสี่ยวเหลียนนั่งอยู่ ข้างๆ กันนั้นเป็นหวังหลิน ทำให้หญิงสาวได้ยินในสิ่งที่เขาพูดชัดเจน ทำให้เผลอเข้าข้างตัวเองไปว่าเขากำลังพูดกับตัวเองอยู่ จนไม่อยากแม้แต่จะทำข้อสอบต่อเพราะอยากออกไปพบชายในฝันของเด็กนักเรียนหลายๆ คนว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอ
“รอข้างนอกนะ”
เสี่ยวเหลียนหันไปมอง แต่ไม่ได้พูดอะไร หันมาสนใจข้อสอบของตัวเองต่อ ก่อนหน้ามีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นวัน เลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือทบทวน แต่ถึงอยากจะอ่านหนังสือที่มีก็มีแค่ไม่กี่เล่ม จ้าวเสี่ยวเหลียน เธอคิดผิดจริงๆ ที่อยากจะอยู่กับแม่ โชคดีที่เธอเองก็เพิ่งจบมาหมาดๆ ทำให้พอมีความรู้หลงเหลือในหัวอยู่บ้าง
ทางด้านจางปินที่บอกว่ารอข้างนอก เขาก็ไม่ได้ไปไหน นั่งรออีกฝ่ายหน้าห้อง เพราะผู้เป็นป้าได้ย้ำแล้วว่าต้องพาหล่อนไปกินมื้อกลางวันด้วยกันให้ได้ เลยต้องมานั่งรอให้บรรดานักเรียนผู้หญิงแทะโลมด้วยสายตา
หวังหลินรีบทำข้อสอบ โดยไม่คิดแม้แต่จะตรวจทานเสียด้วยซ้ำ ออกมาหน้าห้องพบว่าชายในฝันนั่งรอตนเองอยู่จริงๆ ด้วย ความจริงอยากจะเดินไปห้องน้ำเติมแป้งสักหน่อย แต่เห็นเขามองมาพร้อมทั้งยกมือทักทาย สองขาก็ก้าวไปข้างหน้าทันที
“นาย นายอยากเจอฉันทำไมเหรอ” หญิงสาวก้มหน้าถามออกไปอย่างเขินอาย
“ไปกันเถอะ” เสียงทุ้มแตกหนุ่มของอีกฝ่ายพูดขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อื้อ” หวังหลินพยักตกลงอย่างใจง่าย เห็นสองขายาวของอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งก้าวขายาวๆ ออกไปแล้วเลยเงยหน้าเตรียมจะเดินตามไป แต่ก็ต้องสะดุด เพราะยังมีผู้หญิงอีกคนที่เดินนำหน้าเขาไป
“จ้าวเสี่ยวเหลียน”
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ
ทุกคนเลิกงานกลับมา พบว่าบ้านว่างเปล่า ความหมายในที่นี้คือไม่มีอาหารวางบนโต๊ะเหมือนเมื่อสองวันก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน“อะไรกัน เลิกงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาหิ้วท้องรออีกเหรอให้ตายเถอะ” สะใภ้รองกลอกตามองบนบ่นอุบ“เอาน่า คุณก็ไปช่วยพี่สะใภ้ทำมื้อเย็นเถอะจะได้เสร็จเร็วๆ” อารองผลักไหล่ภรรยาให้เดินเข้าในในครัว เขาเองก็หิวจนตายลายแล้วเหมือนกันหลิวซือถอนหายใจ แต่คิดว่าลูกสาวคงจะยังไม่หายป่วยเลยไม่ได้พูดอะไร สองสะใภ้ช่วยกันทำมื้อเย็น ส่วนย่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน เพราะตอนนี้ภาพในหัวของท่านไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็นึกถึงเงินก้อนในห่อผ้าเก่าๆ นั้นจนทำให้นอนไม่หลับทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังนอนหนุนตักผู้เป็นยาย ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น“ยายคะ พี่ใหญ่ แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”ช่วงนี้ปิดเทอมก็จริง แต่เพราะกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม หลี่เฟินผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือก็มักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ค่อยอยู่บ้าน“หลานไปกินข้าวเถอะ ยายกับพี่เขากินกันมาแล้วล่ะ” ยายหลิวบอกหลานสาวถึงจะเป็นหลานที่ออกมาจากแม