1 กันยายน 1975
วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่ง
ผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่
“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน
“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม
“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชาย
เรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี้รู้กันทั่ว เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะที่ผ่านมาหลิวซือก็ทำหน้าที่ได้ดี ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งงานมาแล้วเสียอีก หลายบ้านต่างก็อิจฉาพี่ชายของเธอที่ได้ผู้หญิงดีขนาดนี้
“อ้อ โตเป็นสาวแล้วสินะ” ถึงปากอยากจะพูดต่อ แต่เจ้าตัวเดินไปนู่นแล้วเลยต้องหยุดบทสนทนาเพียงเท่านี้ก่อน
ทว่าเดินมายังไม่ทันไร ก็ต้องหยุดเดินเพราะมีคนเรียกชื่อเธอเอาไว้ก่อน พอหันไปมองตามเสียงพบว่าเป็นคุณนายจางนั่นเอง
“หนูเสี่ยวเหลียนจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะคุณนาย” เธอก้มหน้าทักทายอย่างมีมารยาท
“คุณนายอะไรกันล่ะ เรียกคุณป้าก็แล้วกัน” ท่านหันมองซ้ายขวา เห็นคนอยู่เยอะเลยไม่ได้ให้อีกฝ่ายเรียกแม่ ด้วยกลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสีย เพราะตอนนี้ว่าที่ลูกสะใภ้ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย
เสี่ยวเหลียนไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าทำตามอย่างว่าง่ายเท่านั้น
“มานั่งนี่ก่อนสิ ป้าจะแนะนำให้รู้จักกัน” ท่านเดินมาจับมือเสี่ยวเลียนให้มานั่งใต้ต้นไม้ ซึ่งยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“จางปิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เสวี่ยอวี้ ปีนี้เขาก็ขึ้นมัธยมปลายปีหนึ่งเหมือนกับเสี่ยวเหลียน”
“สวัสดีค่ะ”
“อืม” จางปิน ชายหนุ่มหน้านิ่งพยักหน้ารับ จากนั้นสายตาก็หันไปสนใจหนังสือในมือต่อ
คุณนายจางเห็นแบบนั้นก็ตีไหล่หลานชายที่เสียมารยาทกับพี่สะใภ้ “เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทกับพี่สะใภ้เอาเสียเลย”
“ป้าครับ พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย อีกอย่างพี่ก็ยังไม่รู้เรื่องด้วย ผมไม่ยอมรับหรอก”
เสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ยักไหล่เบาๆ ประมาณว่า แล้วยังไงล่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นพี่สะใภ้ของนายสักหน่อย ทำให้จางปินหรี่ตามองอย่างสนใจ
“ป้าดูเอาสิครับ หล่อนไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย”
คุณนายจางหันมามองตามที่หลานชายบอก กลับพบเสี่ยวเหลียนก้มหน้า พอเธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาก็เห็นว่าดวงตากลมโตเป็นสีแดงระเรื่อ ดูก็รู้ว่ากำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล
“เด็กเหลือขอ เสียแรงที่ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ดูเอาเถอะแกพูดจบพี่สะใภ้จะร้องไห้แล้ว” คุณนายจางหันไปหยกหลานชายต่อ
“อาโหยว ป้าครับผมเจ็บนะ” เขาหันไปมองเสี่ยวเหลียนอย่างเอาเรื่อง พบว่าอีกฝ่ายกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้ตนอยู่ ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่ชอบหน้า
“นั่นไงป้าดูสิครับ หล่อนร้องไห้ที่ไหน กำลังทำหน้าท้าทายอยู่ชัดๆ”
คุณนายจางไม่สนใจ ยังคงทำโทษหลานชายอยู่ เสี่ยวเหลียนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสะใจ ถ้าหากว่าเธอไม่ต้องเรียนต่อก็แล้วไปเถอะ การแต่งงานเพื่อหนีจากแร้งกาพวกนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย
เสียงแตรเรียกให้นักเรียนเข้าห้องสอบช่วยชีวิตจางปินเอาไว้ ความจริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็ถูกเลี้ยงมาไม่ต่างอะไรกับลูกชายคนเล็กของบ้าน
“ไปสอบได้แล้ว หนูเสี่ยวเหลียนจ๊ะ สอบเสร็จแล้วมาเจอกันตรงนี้ก่อนนะ ฉันอยากจะคุยเรื่องสำคัญกับหนูจริงๆ”
เสี่ยวเหลียนเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็ใจอ่อน เผลอพยักหน้าตอบตกลงไป
“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ ตามมาสิเดี๋ยวก็เข้าสอบสายหรอก”
เสี่ยวเหลียนหันไปมอง พบว่าจางปินยังยืนรอเธออยู่ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายตัวสูง อีกทั้งยังหน้าตา ผิวพรรณดี ดูก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของคนมีเงิน ทำให้เป็นจุดเด่น
“ไปเถอะ มีอะไรก็บอกปินปินได้ เด็กคนนี้น่ะรักพี่ชายของเขามากก็เลยหวง แต่ความจริงไม่มีอะไรหรอก” คุณนายจางยิ้มพอใจกับท่าทางของหลานชาย
“ค่ะ” เสี่ยวเหลียนยิ้มตอบ แล้วก็เดินไปทางจางปินแต่ยังเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาเอาไว้อยู่ เพราะเธอไม่อยากเป็นจุดเด่น
แต่สิ่งที่หญิงสาวไม่่รู้ ต่อให้เธอจะเดินคนเดียวก็ยังเป็นุดเด่นอยู่ดี ด้วยหน้าตา และส่วนสูงที่ดูเหมือนจะสูงกว่ามาตรฐานของผู้หญิงไปเยอะ เพราะจ้าวเสี่ยวเหลียนสูงถึง 175 เซนติเมตร ในขณะที่เพื่อผู้หญิงคนอื่นสูงแค่ 165 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย พอเดินใกล้กันส่วนสูงของเธอสูสีกับจางปินเสียด้วยซ้ำ
“ผู้หญิงอะไรไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย” เขาบ่นงึมงำๆ เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะไม่เคยเดินคู่ผู้หญิงที่ตัวสูงขนาดนี้มาก่อน
แต่ไหนแต่ไรจางปินเด็กคนที่โดดเด่น คุ้นชินกับสายตาที่คนอื่นมอง ยิ่งเขาเดินคู่ไปกับพี่ชายแสงของพี่ชายก็มักจะสาดส่องมาหาเขาด้วย แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ชายหนุ่มเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
“นายว่าอะไรนะ”
“ทำไมเธอถึงตัวสูงได้ขนาดนี้ ผู้หญิงของพี่ชายจะต้องตัวเล็กน่าทะนุถนอมถึงจะถูก” เขาขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งหันมาพูดกับเธอตรงๆ
“หึ เหมือนลูกหมาพวกนั้นอ่ะเหรอ” เสี่ยวเหลียนปรายตาไปมองหวังหลินที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี
จางปินหันไปมองตาม พบว่าเป็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา ส่วนสูงของพวกหล่อนใกล้เคียงกัน ดูด้วยตาก็พอรู้ว่าน่าจะประมาณหน้าอกของเขา
“ก็…ประมาณนั้น”
หญิงสาวที่กำลังเดินมา เห็นหนุ่มหล่อคนดังหันมามองตาไม่กะพริบก็หยุดเดิน ยืนเขินตัวบิดไปตามๆ กัน
“ช่วยไม่ได้ ฉันลูกคน” เสี่ยวเหลียนยักไหล่ไม่สนใจแล้วก็เดินชนไหล่ของชายหนุ่มเดินเข้าห้องสอบไป
“เสือชัดๆ ดุขนาดนี้” ชายหนุ่มหันหลัง ยิ้มมุมปากแล้วก็เดินตามหลังไป ไม่สนใจกลุ่มสาวๆ ที่ยืนหน้าแดงกลุ่มนั้นเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่สอบจางปินออกเป็นคนแรก เขาเดินอ้อมมาทางที่เสี่ยวเหลียนนั่งอยู่ ข้างๆ กันนั้นเป็นหวังหลิน ทำให้หญิงสาวได้ยินในสิ่งที่เขาพูดชัดเจน ทำให้เผลอเข้าข้างตัวเองไปว่าเขากำลังพูดกับตัวเองอยู่ จนไม่อยากแม้แต่จะทำข้อสอบต่อเพราะอยากออกไปพบชายในฝันของเด็กนักเรียนหลายๆ คนว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอ
“รอข้างนอกนะ”
เสี่ยวเหลียนหันไปมอง แต่ไม่ได้พูดอะไร หันมาสนใจข้อสอบของตัวเองต่อ ก่อนหน้ามีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นวัน เลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือทบทวน แต่ถึงอยากจะอ่านหนังสือที่มีก็มีแค่ไม่กี่เล่ม จ้าวเสี่ยวเหลียน เธอคิดผิดจริงๆ ที่อยากจะอยู่กับแม่ โชคดีที่เธอเองก็เพิ่งจบมาหมาดๆ ทำให้พอมีความรู้หลงเหลือในหัวอยู่บ้าง
ทางด้านจางปินที่บอกว่ารอข้างนอก เขาก็ไม่ได้ไปไหน นั่งรออีกฝ่ายหน้าห้อง เพราะผู้เป็นป้าได้ย้ำแล้วว่าต้องพาหล่อนไปกินมื้อกลางวันด้วยกันให้ได้ เลยต้องมานั่งรอให้บรรดานักเรียนผู้หญิงแทะโลมด้วยสายตา
หวังหลินรีบทำข้อสอบ โดยไม่คิดแม้แต่จะตรวจทานเสียด้วยซ้ำ ออกมาหน้าห้องพบว่าชายในฝันนั่งรอตนเองอยู่จริงๆ ด้วย ความจริงอยากจะเดินไปห้องน้ำเติมแป้งสักหน่อย แต่เห็นเขามองมาพร้อมทั้งยกมือทักทาย สองขาก็ก้าวไปข้างหน้าทันที
“นาย นายอยากเจอฉันทำไมเหรอ” หญิงสาวก้มหน้าถามออกไปอย่างเขินอาย
“ไปกันเถอะ” เสียงทุ้มแตกหนุ่มของอีกฝ่ายพูดขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อื้อ” หวังหลินพยักตกลงอย่างใจง่าย เห็นสองขายาวของอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งก้าวขายาวๆ ออกไปแล้วเลยเงยหน้าเตรียมจะเดินตามไป แต่ก็ต้องสะดุด เพราะยังมีผู้หญิงอีกคนที่เดินนำหน้าเขาไป
“จ้าวเสี่ยวเหลียน”
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว