ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
ไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที
“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”
คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า
“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูด
ก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่ยวเหลียนเพิ่มขึ้นหลายส่วนอยากจะรับตัวมาเป็นลูกสะใภ้เร็วๆ
“จะไปไหนกันเหรอคะคุณพี่ ไม่ทราบว่ารอลูกสาวของฉันก่อนได้หรือเปล่า พอดีว่าอยากจะแนะนำให้รู้จักกันไว้ จริงสิเสี่ยวเหลียนจ๊ะ เจอน้องบ้างหรือเปล่า”
“แม่คะ” ยังไม่ทันที่อาสามจะพูดจบ หวังหลินก็ตะโกนแล้ววิ่งมาทางผู้เป็นแม่โดยเร็ว
ความจริงเธอไม่รู้หรอกว่าแม่นั่งอยู่ตรงไหน แต่ที่เดินมาทางนี้เพราะอยากจะรู้ว่าจ้าวเสี่ยวเหลียนรู้จักกับจางปินได้ยังไงก็เท่านั้น โชคดีของเธอที่แม่ก็รู้จักพวกเขาด้วย
“อาโหยว หลินหลินมาพอดีเลย มาสวัสดีคุณป้าเสียสิ” อาสามกวักมือเรียกลูกสาว
“คุณพี่คะ นี่หวังหลินลูกสาวของฉันค่ะ หลินหลินป้าจาง เป็นแม่ขอผู้พันจางเสวี่ยอวี้”
“สวัสดีค่ะคุณป้า” หวังหลินเรียกอีกฝ่ายว่าป้าอย่างคล่องปาก ไม่รู้สึกเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
หวังหลินเองก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยคมคนหนึ่ง ตัวเล็ก ทว่าทรวดทรงกลับดูโตกว่า ผิดติดคล้ำไปสักหน่อย หรืออาจเพราะเทียบกับเสี่ยวเหลียนและปินปินเลยทำให้เธอดูคล้ำไปถนัดตา
“สวัสดีจ้ะ บ้านนี้มีแต่คนสวยจริงๆ เลยนะคะ” คุณนายจางยิ้มทักทาย ปฏิเสธไม่ได้เพราะว่าหวังหลินเองก็สวยสะดุดตา
“คุณพี่ชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ” แม้จะปฏิเสธแต่ปากก็อดที่จะยิ้มชอบใจไม่ได้
“พี่เสี่ยวเหลียนกำลังจะไปไหนเหรอคะ ฉันว่าจะคุยกับพี่เรื่องข้อสอบอยู่พอดีเลย” หวังหลินถูกแม่สะกิดก็เข้าใจความหมาย เพราะตอนนี้ตรงหน้าของพวกเธอมีรถเก๋งคันหรูจอดรออยู่ก่อนแล้ว
คุณนายจางได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออก นึกเสียดายเพราะท่านอยากจะคุยกับว่าที่ลูกสะใภ้ให้เข้าใจถึงเงื่อนไขที่ตนจะเสนอให้
“ได้สิ แต่ต้องเป็นช่วงเย็นนะ ตอนนี้พี่ต้องขอตัวก่อนเพราะจะไปทำธุระเป็นเพื่อนคุณป้าน่ะ” เสี่ยวเหลียนตอบยิ้มๆ แต่ย้ำคำว่าธุระให้ได้ยิน ถ้าพอจะมีมารยาทกันอยู่บ้างก็จะเข้าใจคำว่าธุระ ไม่สามารถยกโขยกไปด้วยกันได้
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับบ้านอย่าเถลไถลนะ” อาสามพูดขึ้น
“ขอตัวนะคะ” คุณนายจางรีบจูงมือลูกสะใภ้ขึ้นรถ โดยมีจางปินเปิดประตูรถให้ ส่วนเขาก็ขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับแทน
สองแม่ลูกมองตามรถคันหรูไปจนลับสายตา หวังหลินมองด้วยสายตาอิจฉาอย่างปิดไม่มิด ส่วนอาสามนั้นยากจะคาดเดาว่ารู้สึกยังไง
“เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ลูกของคุณนายจางอีกคนเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ จางปินเป็นหลาน พ่อของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ต้องย้ายไปตามเมืองต่างๆ ไม่สะดวกพาเขาไปด้วย คุณนายจางเลยเลี้ยงคู่กับลูกชาย”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าผู้พันจางยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า” อาสามพูดกับลูกสาว
“แม่คะ ฉันไม่อยากแต่งกับคนแก่ ฉันชอบจางปินมากกว่า”
“แก่บ้านแกสิ อายุแค่ 22 ปีแถมยังได้เป็นผู้พันแล้ว อนาคตไกลเห็นๆ จะมาสนใจทำไมกับเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ เจ้าหน้าที่ระดับสูงอะไรจะฝากลูกไว้ให้คนอื่นเลี้ยง ระดับนั้นก็ต้องมีพี่เลี้ยง ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกตัวเองอยู่บ้านคนอื่น ไร้สาระจริงๆ แกเนี่ย”
หวังหลินเถียงไม่ออก แต่ภายในใจคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องเป็นจางปินเท่านั้น หนุ่มหล่ออนาคตไกล บ้านรวย ยังไงก็ไม่อดตายหรอก ส่วนผู้พันแก่นั่นยังไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน จะให้ตอบตกลงไปได้ยังไงกันล่ะ คนที่ไร้สาระคือแม่ต่างหากล่ะ
ทางด้านเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังอยู่ในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ทันทีที่เข้ามาในร้าน พนักงานต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งพาไปยังห้องรับรอที่จองเอาไว้
จางปินทำหน้าที่สั่งอาหาร แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามแขกว่าอยากจะกินอะไร “เธออยากจะสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่า”
“ปลาหลีนึ่งซีอิ๊ว”
เพราะอาหารที่จางปินสั่งมา ส่วนมากแล้วเป็นอาหารทะเล แต่เธอกลับรู้สึกอยากกินปลา ก็เลยสั่งเมนูนี้ออกไป
“อืม เพิ่มปลาหลีนึ่งซีอิ๊วด้วยครับ”
ขณะที่รออาหาร คุณนายจางก็ชวนลูกสะใภ้พูดคุยเพื่อเปิดใจ จนเสี่ยวเหลียนรับรู้ได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย ถ้าไม่ติดว่าเธออยากจะทำความฝันของเจ้าของร่างให้เป็นจริง คือเป็นพยาบาลก็อาจจะใจอ่อนตอบตกใจไปอยู่บนกองเงินกองทองไปแล้ว
“พี่เขาทราบเรื่องข่าวที่เกิดขึ้นแล้ว และยินดีรับผิดชอบเต็มที่ ภายใต้เงื่อนไขถ้าหากว่าหนูเสียวเหลียนอยากจะเรียนต่อก็สามารถทำได้ แต่เรื่องงานแต่งก็อาจจะยังจัดให้ไม่ได้ คงจะได้แค่หมั้นกันไปก่อน”
“ป้าครับ ทำไมป้าถึงไม่บอกไปเลยละครับว่าพี่ใหญ่ถูกเรียกสอบด้วยเหมือนกัน ถ้าขืนหล่อนยังเล่นตัวอยู่แบบนี้พี่ใหญ่อาจจะถูกขึ้นทัณฑ์บน” จางปินพูด ด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย สร้างผลงานมาจะพังเพราะช่วยชีวิตผู้หญิงคนเดียวเขาจะยอมได้ยังไง
“ปินปิน อย่าพูดให้พี่สะใภ้ลำบากใจ”
“หมายความว่า ไม่ใช่แค่ฉันสินะคะที่เสียชื่อเสียง” เสี่ยวเหลียนพูดขึ้น
เธอลืมไปสนิทเลยว่าเขาเป็นถึงผู้พัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ต้องไม่เป็นผลดีกับเขาอยู่แล้ว อีกอย่างคนรวยอย่างพวกเขาจะมาตามตื๊ออะไรกับเด็กที่ยังเรียนไม่จบอย่างเธอกันล่ะ
“ต้องขอโทษหนูด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่ว่าฉันมีเจตนาจะปกปิดหรอกนะ เพียงแต่เราเองก็เพิ่งทราบข่าวเหมือนกันเพราะพี่เขาเพิ่งติดต่อกลับมา” คุณนายจางรีบอธิบายกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของตนเองผิด
เสี่ยวเหลียนชั่งน้ำหนักในใจ ความจริงเธอมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าควรจะเลือกเดินไปทางไหน เพียงแต่อยากจะแจ้งข่าวให้กับผู้เป็นยายทราบก่อน
“ฉันทราบถึงความลำบากใจของคุณป้าดีค่ะ แต่ให้เวลาฉันหน่อยนะคะ ตอนนี้ฉันยังติดต่อยายไม่ได้ รอให้ท่านติดต่อกลับมาก่อนแล้วฉันจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับท่านฟัง แล้วถ้าท่านยอมพยักหน้าตัวฉันก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
คุณนายจางได้ฟังแบบนั้นก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะถ้าถามท่านก็รู้สึกว่าตัวเสี่ยวเหลียนเองต่างหากที่คุยไม่ง่ายเลย ส่วนผู้ใหญ่แค่ชั่งน้ำหนักดูก็น่าจะรู้แล้วว่าควรทำยังไง
“เร็วหน่อยแล้วกัน พี่ใหญ่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมีหลายคนจ้องจะหาช่องโหว่เล่นงาน อยากให้ความหวังดีของพี่ชายฉันมาเป็นดาบสองคมทำลายชื่อเสียงของเขา”
“หรือจะให้ฉันไปอธิบายให้กับทางสังกัดของผู้พันจางเข้าใจไหมคะ” เธอเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นหนี้บุญคุณใคร
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น อย่าไปถือสาคำพูดของเด็กคนนี้เลย เขาก็แค่เป็นห่วงพี่ชายมากเกินไป” คุณนายจางส่งสายตาให้หลายชายคนโปรดเลิกพูดจากกดดันคนอื่น
ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ