LOGINทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
ไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที
“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”
คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า
“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูด
ก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่ยวเหลียนเพิ่มขึ้นหลายส่วนอยากจะรับตัวมาเป็นลูกสะใภ้เร็วๆ
“จะไปไหนกันเหรอคะคุณพี่ ไม่ทราบว่ารอลูกสาวของฉันก่อนได้หรือเปล่า พอดีว่าอยากจะแนะนำให้รู้จักกันไว้ จริงสิเสี่ยวเหลียนจ๊ะ เจอน้องบ้างหรือเปล่า”
“แม่คะ” ยังไม่ทันที่อาสามจะพูดจบ หวังหลินก็ตะโกนแล้ววิ่งมาทางผู้เป็นแม่โดยเร็ว
ความจริงเธอไม่รู้หรอกว่าแม่นั่งอยู่ตรงไหน แต่ที่เดินมาทางนี้เพราะอยากจะรู้ว่าจ้าวเสี่ยวเหลียนรู้จักกับจางปินได้ยังไงก็เท่านั้น โชคดีของเธอที่แม่ก็รู้จักพวกเขาด้วย
“อาโหยว หลินหลินมาพอดีเลย มาสวัสดีคุณป้าเสียสิ” อาสามกวักมือเรียกลูกสาว
“คุณพี่คะ นี่หวังหลินลูกสาวของฉันค่ะ หลินหลินป้าจาง เป็นแม่ขอผู้พันจางเสวี่ยอวี้”
“สวัสดีค่ะคุณป้า” หวังหลินเรียกอีกฝ่ายว่าป้าอย่างคล่องปาก ไม่รู้สึกเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
หวังหลินเองก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยคมคนหนึ่ง ตัวเล็ก ทว่าทรวดทรงกลับดูโตกว่า ผิดติดคล้ำไปสักหน่อย หรืออาจเพราะเทียบกับเสี่ยวเหลียนและปินปินเลยทำให้เธอดูคล้ำไปถนัดตา
“สวัสดีจ้ะ บ้านนี้มีแต่คนสวยจริงๆ เลยนะคะ” คุณนายจางยิ้มทักทาย ปฏิเสธไม่ได้เพราะว่าหวังหลินเองก็สวยสะดุดตา
“คุณพี่ชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ” แม้จะปฏิเสธแต่ปากก็อดที่จะยิ้มชอบใจไม่ได้
“พี่เสี่ยวเหลียนกำลังจะไปไหนเหรอคะ ฉันว่าจะคุยกับพี่เรื่องข้อสอบอยู่พอดีเลย” หวังหลินถูกแม่สะกิดก็เข้าใจความหมาย เพราะตอนนี้ตรงหน้าของพวกเธอมีรถเก๋งคันหรูจอดรออยู่ก่อนแล้ว
คุณนายจางได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออก นึกเสียดายเพราะท่านอยากจะคุยกับว่าที่ลูกสะใภ้ให้เข้าใจถึงเงื่อนไขที่ตนจะเสนอให้
“ได้สิ แต่ต้องเป็นช่วงเย็นนะ ตอนนี้พี่ต้องขอตัวก่อนเพราะจะไปทำธุระเป็นเพื่อนคุณป้าน่ะ” เสี่ยวเหลียนตอบยิ้มๆ แต่ย้ำคำว่าธุระให้ได้ยิน ถ้าพอจะมีมารยาทกันอยู่บ้างก็จะเข้าใจคำว่าธุระ ไม่สามารถยกโขยกไปด้วยกันได้
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับบ้านอย่าเถลไถลนะ” อาสามพูดขึ้น
“ขอตัวนะคะ” คุณนายจางรีบจูงมือลูกสะใภ้ขึ้นรถ โดยมีจางปินเปิดประตูรถให้ ส่วนเขาก็ขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับแทน
สองแม่ลูกมองตามรถคันหรูไปจนลับสายตา หวังหลินมองด้วยสายตาอิจฉาอย่างปิดไม่มิด ส่วนอาสามนั้นยากจะคาดเดาว่ารู้สึกยังไง
“เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ลูกของคุณนายจางอีกคนเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ จางปินเป็นหลาน พ่อของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ต้องย้ายไปตามเมืองต่างๆ ไม่สะดวกพาเขาไปด้วย คุณนายจางเลยเลี้ยงคู่กับลูกชาย”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าผู้พันจางยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า” อาสามพูดกับลูกสาว
“แม่คะ ฉันไม่อยากแต่งกับคนแก่ ฉันชอบจางปินมากกว่า”
“แก่บ้านแกสิ อายุแค่ 22 ปีแถมยังได้เป็นผู้พันแล้ว อนาคตไกลเห็นๆ จะมาสนใจทำไมกับเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ เจ้าหน้าที่ระดับสูงอะไรจะฝากลูกไว้ให้คนอื่นเลี้ยง ระดับนั้นก็ต้องมีพี่เลี้ยง ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกตัวเองอยู่บ้านคนอื่น ไร้สาระจริงๆ แกเนี่ย”
หวังหลินเถียงไม่ออก แต่ภายในใจคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องเป็นจางปินเท่านั้น หนุ่มหล่ออนาคตไกล บ้านรวย ยังไงก็ไม่อดตายหรอก ส่วนผู้พันแก่นั่นยังไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน จะให้ตอบตกลงไปได้ยังไงกันล่ะ คนที่ไร้สาระคือแม่ต่างหากล่ะ
ทางด้านเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังอยู่ในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ทันทีที่เข้ามาในร้าน พนักงานต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งพาไปยังห้องรับรอที่จองเอาไว้
จางปินทำหน้าที่สั่งอาหาร แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามแขกว่าอยากจะกินอะไร “เธออยากจะสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่า”
“ปลาหลีนึ่งซีอิ๊ว”
เพราะอาหารที่จางปินสั่งมา ส่วนมากแล้วเป็นอาหารทะเล แต่เธอกลับรู้สึกอยากกินปลา ก็เลยสั่งเมนูนี้ออกไป
“อืม เพิ่มปลาหลีนึ่งซีอิ๊วด้วยครับ”
ขณะที่รออาหาร คุณนายจางก็ชวนลูกสะใภ้พูดคุยเพื่อเปิดใจ จนเสี่ยวเหลียนรับรู้ได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย ถ้าไม่ติดว่าเธออยากจะทำความฝันของเจ้าของร่างให้เป็นจริง คือเป็นพยาบาลก็อาจจะใจอ่อนตอบตกใจไปอยู่บนกองเงินกองทองไปแล้ว
“พี่เขาทราบเรื่องข่าวที่เกิดขึ้นแล้ว และยินดีรับผิดชอบเต็มที่ ภายใต้เงื่อนไขถ้าหากว่าหนูเสียวเหลียนอยากจะเรียนต่อก็สามารถทำได้ แต่เรื่องงานแต่งก็อาจจะยังจัดให้ไม่ได้ คงจะได้แค่หมั้นกันไปก่อน”
“ป้าครับ ทำไมป้าถึงไม่บอกไปเลยละครับว่าพี่ใหญ่ถูกเรียกสอบด้วยเหมือนกัน ถ้าขืนหล่อนยังเล่นตัวอยู่แบบนี้พี่ใหญ่อาจจะถูกขึ้นทัณฑ์บน” จางปินพูด ด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย สร้างผลงานมาจะพังเพราะช่วยชีวิตผู้หญิงคนเดียวเขาจะยอมได้ยังไง
“ปินปิน อย่าพูดให้พี่สะใภ้ลำบากใจ”
“หมายความว่า ไม่ใช่แค่ฉันสินะคะที่เสียชื่อเสียง” เสี่ยวเหลียนพูดขึ้น
เธอลืมไปสนิทเลยว่าเขาเป็นถึงผู้พัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ต้องไม่เป็นผลดีกับเขาอยู่แล้ว อีกอย่างคนรวยอย่างพวกเขาจะมาตามตื๊ออะไรกับเด็กที่ยังเรียนไม่จบอย่างเธอกันล่ะ
“ต้องขอโทษหนูด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่ว่าฉันมีเจตนาจะปกปิดหรอกนะ เพียงแต่เราเองก็เพิ่งทราบข่าวเหมือนกันเพราะพี่เขาเพิ่งติดต่อกลับมา” คุณนายจางรีบอธิบายกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของตนเองผิด
เสี่ยวเหลียนชั่งน้ำหนักในใจ ความจริงเธอมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าควรจะเลือกเดินไปทางไหน เพียงแต่อยากจะแจ้งข่าวให้กับผู้เป็นยายทราบก่อน
“ฉันทราบถึงความลำบากใจของคุณป้าดีค่ะ แต่ให้เวลาฉันหน่อยนะคะ ตอนนี้ฉันยังติดต่อยายไม่ได้ รอให้ท่านติดต่อกลับมาก่อนแล้วฉันจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับท่านฟัง แล้วถ้าท่านยอมพยักหน้าตัวฉันก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
คุณนายจางได้ฟังแบบนั้นก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะถ้าถามท่านก็รู้สึกว่าตัวเสี่ยวเหลียนเองต่างหากที่คุยไม่ง่ายเลย ส่วนผู้ใหญ่แค่ชั่งน้ำหนักดูก็น่าจะรู้แล้วว่าควรทำยังไง
“เร็วหน่อยแล้วกัน พี่ใหญ่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมีหลายคนจ้องจะหาช่องโหว่เล่นงาน อยากให้ความหวังดีของพี่ชายฉันมาเป็นดาบสองคมทำลายชื่อเสียงของเขา”
“หรือจะให้ฉันไปอธิบายให้กับทางสังกัดของผู้พันจางเข้าใจไหมคะ” เธอเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นหนี้บุญคุณใคร
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น อย่าไปถือสาคำพูดของเด็กคนนี้เลย เขาก็แค่เป็นห่วงพี่ชายมากเกินไป” คุณนายจางส่งสายตาให้หลายชายคนโปรดเลิกพูดจากกดดันคนอื่น
ช่วงดึกวันเดียวกันนั้น พ่อจางสังเกตเห็นความผิดปกติของภรรยา อยู่กินมานานเกือบสามสิบปี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” พ่อจางกอดภรรยาจากทางด้านหลัง มั่นใจว่าคนข้างๆ ยังไม่นอน“…." มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา“วันนี้เจ้าลูกชายตัวดีมาคุยกับผม เรื่องที่ขอยืดเวลาให้กวงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก่อน ทางผมไม่ติดอะไรนะถ้าคุณจะอยู่กับหลานต่อ”“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาหลานกลับ ก็ให้พวกเขาเลี้ยงกันเอง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว” แม่จางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าคุณอยากจะกลับเพราะคิดถึงผมก็แล้วไปเถอะ แต่อย่ากลับเพียงเพราะอยากประชดลูกเลย เสวี่ยอวี้อาจจะไม่เป็นไร แต่อย่าทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ได้ยินว่าเธอยินดีที่ให้กวงเอ๋อร์ไปชิงเต่า แต่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอม” พ่อจางรับหน้าที่เป็นคนกลา
สิงหาคม 1980ครบกำหนดที่จางเหยากวงต้องกลับไปชิงเต่ากับคุณย่าของเขาแล้ว เจ้าอ้วนยังไม่รู้ชะตากรรมว่าต่อไปตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ ตอนนี้สองพ่่อลูกกำลังเล่นของเล่นบนเตียงกันอยู่“ผมจำได้ว่าเครื่องบินของกวงเอ๋อร์มีเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ” สองพ่อลูกชอบเล่นเครื่องบิน ก่อนนอนทุกคืนเขาจะต้องได้เล่นเครื่องบินกับพ่อก่อน แล้วค่อยให้ย่าจางพาไปนอน“ฉันเก็บลงกล่องบางส่วนแล้วละค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจุกที่ลำคอทุกทีจางเสวี่ยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ ให้ลูกชายเล่นเครื่องบินไปก่อน แล้วหันมาปลอบแม่ของลูกแทน “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เราคุยกับแม่ให้ท่านกลับไปชิงเต่าก่อนดีหรือเปล่าครับ ผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ประจำ คุณยายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”ตอนนี้แม้ว่าที่บ้านของเขาจะมีแม่บ้าน แต่ทำงานเช้าเย็นก็กลับ หน้าที่เลี้ยงหลานเป็นของยายทวดและคุณย่า เขารู้ดีว่าพวกท
จ้าวเสี่ยวเหลียนยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมใส่ใจน้องสาว ตอนนี้หลี่เฟินสอบเข้ามหาวิทยาลัยมณฑลได้แล้ว เดิมทีแม่หลิวอยากให้มาอยู่กับพี่สาว จะช่วยเลี้ยงหลาน แต่เพราะมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารอยู่ไกลกันเดินทางลำบาก เสี่ยวเหลียนเลยเลือกให้น้องสาวอยู่หอพักแทน วันหยุดถึงมาหลานสาว“ไอหยา…ตัวหนักกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ” น้าสาวยิ้มกว้างเมื่อได้อุ้มหลานชายวัยสี่เดือน ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าของเด็กหนึ่งขวบไปแล้วเรียบร้อย“เขาห้ามทักว่าเด็กอ้วนเดี๋ยวจะป่วย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ยายหลิวดุหลานสาว“จริงเหรอคะ เสี่ยวกวงของเราไม่อ้วนเลย ออกจะผอมไปด้วยซ้ำ ต้องกินเยอะๆ นะ” พอรู้ว่าหลานชายจะป่วยเพราะคำพูดของตัวเอง น้าสาวก็กลับคำเสียอย่างนั้นเสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เด็กคนหนึ่งจะป่วยก็คงไม่เกี่ยวกับคำพูดหรอก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมแล้วก็สิ่งที่เขากินเข้าไปมากกว่า เจ็บป
จ้าวเสี่ยวเหลียนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน ถ้าเป็นคนอื่นคงออกตั้งแต่สองวันแรก แต่เพราะเป็นภรรยาของท่านนายพล เขาอยากมั่นใจก่อนว่าภรรยาและลูกปลอดภัย พ่อจางกับแม่จางมาถึงวันที่เสี่ยวเหลียนออกจากโรงพยาบาลพอดี จางเสวี่ยอวี้ตั้งชื่อลูกชายา จางเหยากวง“ไอหยา…เพิ่งคุยกันไม่กี่วันก่อนแท้ๆ หลานย่าก็รีบออกมาเสียแล้ว ไม่รอย่าเลย” ตอนนี้คุณแม่จางกำลังอุ้มหลายชายตัวอ้วนของท่านอยู่รีบอะไรกันละคะ ความจริงต้องออกตั้นแต่ช่วงต้นเดือนเสียด้วยซ้ำ อีกสองสัปดาห์ก้จะเปิดเทอมแล้ว ม่านม่านจะพักฟื้นทันหรือเปล่า" แม่หลิวมองหน้าลูกสาวที่กำลังอยู่เดือนด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิ แล้วเรื่องอยู่เดือนจะทำยังไง” แม่จางถาม“สัปดาห์แรกน่าจะยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นยังไงก็ต้องไปเพราะขึ้นปีสามแล้ว เนื้อหาเฉพาะมากขึ้น”“ไม่สู้ให้แม่พากวงเอ๋อร์กลับชิงเต่า พวกลูกจะไ
จางเสวี่ยอวี้ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาเห็นของเหลวกำลังไหลออกมาจากร่างกายของภรรยา ก่อนหน้านี้เธอมีอาการเจ็บท้องอยู่หลายครั้ง แต่พอเกิดขึ้นจริงเขากลับทำอะไรไม่ถูก“จางเสวี่ยอวี้ เอาของที่เตรียมไว้ไปใส่รถเร็วเข้า” ในจิตสำนึกของเธอแล้ว ตัวเองอายุเท่ากันกับสามี พอน้ำคร่ำแตก อาการเจ็บท้องคลอดของเธอก็ถี่ขึ้น จนเหงื่อท่วมตัวว่าที่คุณพ่อมือใหม่สะดุ้งกับคำสั่งของภรรยา “ได้” เขารีบเดินไปหิ้วกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วขึ้นรถ ไม่นานก็กลับเข้ามาอุ้มภรรยาไปโรงพยาบาล“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบาย” ยายหลิวจับมือปลอบใจหลานสาวตลอดทาง โชคดีที่บ้านพักกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาลตอนนี้เสี่ยวเหลียนถูกเข็นไปยังห้องคลอด จางเสวี่ยอวี้เดินไปตามหวังหว่านอินที่ห้องตรวจด้วยตัวเอง ทำเอาคนไข้แตกตื่นไปตามๆ กัน“นายใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เธอ
กุมภาพันธ์ 1980ปิดเทอมฤดูหนาวเสี่ยวเหลียนไม่ได้กลับชิงเต่า เพราะจางเสวี่ยอวี้ไม่อยากให้เธอต้องเดินทางไกลช่วงที่หิมะตกหนัก“เข้าใจแล้วค่ะ วางแล้วนะคะ”“ใครโทรมาครับ” จางเสวี่ยอวี้เดินเข้ามาโอบเอวของภรรยา มือหนาลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมานิดๆ ของภรรยา“แม่น่ะค่ะ โทรมากำชับ บอกว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องกลับบ้าน” เธอยิ้มตอบสามี รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาลูบท้องลูกของพวกเธอ“ผมทำเรื่องขอย้ายไปอยู่บ้านเป็นหลังแล้ว คิดว่าสะดวกกว่าอยู่บนอาคาร”“ทำไมละคะ” เธอคิดว่าอยู่บนอาคารก็สะดวกดี ฤดูหนาวไม่ต้องคอยมากวาดหิมะบนหลังคา ติดแค่พื้นที่แคบไปสักหน่อยก็เท่านั้น“อยู่บ้านเป็นหลังดีกว่า อีกหน่อยคุณยายก็ต้องมาช่วยดูแลคุณ ท่านจะได้ไม่อึดอัดที่อยู่แต่บนอาคารอย่างเดียว”







