Share

19

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-17 11:34:51

5 กันยายน 1975

วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า

“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น

“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ

“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน

“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้ม

ความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูกสาว ไม่ได้จะมาบอกผลสอบอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้มาแก้ต่างอย่างเดียวก็จะดูเหมือนจงใจมากเกนไป เลยต้องเอาเรื่องผลการสอบของเสี่ยวเหลียนมาเป็นข้ออ้าง

“เอาล่ะๆ สายมากแล้ว แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ” ย่าหลี่พูด

ตั้งแต่รู้ว่าเสี่ยวเหลียนจะได้แต่งงานกับผู้พัน ท่านก็ดูจะไม่ค่อยเข้มงวดหรือจับผิดอะไรเธอเท่าไหร่ ออกจะตามใจเสียมากกว่า ไม่รู้ว่ากลัวอิทธิพลของผู้พัน หรือคิดถึงสินสอดที่จะตามมาในไม่ช้า

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน ยายหลิวโทรติดต่อกลับมาหลานสาว เสี่ยวเหลียนไปรับโทรศัพท์ที่ร้านค้า รู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดยายก็ติดต่อมาเสียที

“สวัสดีค่ะ”

“เสี่ยวเหลียนเหรอ นี่ยายเองนะ” เสียงปลายสายคุ้นหูถามกลับมา

“ฉันเองค่ะ ทำไมยายเพิ่งติดต่อกลับมาละคะ” เธออดที่จะถามด้วยน้ำเสียงน้อยใจไม่ได้

“ขอโทษจริงๆ นะ มาถึงยายก็ยุ่งมาก ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ที่บ้านผู้นำหมู่บ้านเสีย เพิ่งมีโอกาสเข้ามาในเมืองก็รีบติดต่อหลานทันที เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง”

เสี่ยวเหลียนรีบเล่าให้ยายฟังเรื่องสอบเข้าห้องเรียนอันดับหนึ่งของสายชั้นได้ รวมถึงเรื่องเสื้อผ้าแม่ก็จัดการให้เรียบร้อย

“อืม ได้ยินแบบนี้ยายก็วางใจ”

“ยาย…จะกลับมาเมื่อไหร่คะ”

“ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก ผู้นำหมู่บ้านก็รีบให้กลับมาเร็วเกินไป ยังต้องเดินเรื่องอีกหลายขั้นตอน ยายคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกพักใหญ่” ยายหลิวพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “อยู่ที่นั่น”

“สบายดีค่ะ ยายคะฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก”

ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหลียนจะรู้ชะตากรรมตัวเอง ยายเองก็มีหน้าที่ที่ต้องจัดการ จะให้ท่านมากังวลกับเธอเรื่องนี้ไม่ได้

“ยายคิดว่ายังไงคะ”

“แต่งงานเหรอ ไหนบอกว่าอยากจะเป็นพยาบาล” น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้างตามอารมณ์

“ยังจะเป็นพยาบาลเหมือนเดิมค่ะ ตกลงกันแล้วว่าหมั้นกันก่อน แต่ยายคะ ฉันมาคิดดูแล้วบ้านหลี่ก็ไม่ได้ดีเหมือนที่คิดเอาไว้..”

“เหลียนเอ๋อร์ ลืมความตั้งใจเดิมแล้วเหรอ” คำพูดของยายหลิวทำเอาเธอพูดไม่ออก เพราะความอยากมีแม่แท้ๆ จ้าวเสี่ยวเหลียนเอ๋ย เธอถึงต้องมาเป็นเหยื่อให้พวกเขาขย้ำ

“เรื่องหมั้นหมายยายเห็นด้วย อีกอย่างผู้พันช่วยเพราะหวังดี เราเองก็ต้องตอบแทนบุญคุณ” ในที่สุดยายหลิวก็พูดเรื่องสำคัญ “แต่เรื่องย้ายไปอยู่กับเขา ยายไม่เห็นด้วย ศักดิ์ศรียังคงต้องมีอยู่”

“เข้าใจแล้วค่ะ” เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับปาก แม้ว่าปลายสายจะไม่เห็นก็ตาม

“เอาล่ะ เงินหมดแล้ว ยายวางสายก่อนนะ”

ยังไม่ทันร่ำ ปลายสายก็ถูกตัดไปก่อนแล้ว เสี่ยวเหลียนอ้าปากค้าง เธอรู้ว่าผู้เป็นยายเป็นกังวล ไปไม่ทันไรก็มีเรื่องมาทำให้ท่านลำบากใจเสียแล้ว

วันเดียวกันนั้น คุณนายจางก็มาที่บ้านหลี่อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ท่านพาสามี รวมถึงแม่สื่อมาด้วย เพราะไม่ได้บอกล่วงหน้า อาสามเลยพลาดโอกาสสำคัญ

“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาแบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” คุณนายจางเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอก มาพูดคุยให้ถูกต้องก็ดีเหมือนกัน” ย่าหลี่อาวุโสที่สุดในตอนนี้เป็นคนเอ่ยขึ้น

“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าป้าหลี่ต้องเข้าใจ อย่างที่พวกเราทราบกัน ครั้งที่แล้วนัดคุยแบบไม่เป็นทางการ ครั้งนี้ก็เลยอยากจะมาให้ทุกท่านมั่นใจ ว่าทางฝ่ายชายยินดีที่จะรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ หนูเสี่ยวเหลียนเองจะได้ไม่ถูกคนอื่นว่าร้ายเอาได้”

แม่สื่อเริ่มทำหน้าที่ พร้อมทั้งสาธยายพื้นเพครอบครัวของฝ่ายชาย ว่าพ่อของจางเสวี่ยอวี้นั้นเป็นถึงนายพล สังกัดเขตมณฑล เพียงแต่ย้ายมาประจำการเขตย่อยในเมืองฝู่หยางแห่งนี้

“ท่านนายพลกับคุณนายเองก็ไม่ได้รังเกียจ ทั้งยังยินดีและเต็มใจรับหนูเสี่ยวเหลียนมาเป็นลูกสะใภ้ของบ้านอีกด้วย วาสนานี้ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ หรอกนะ”

ย่าหลี่ตาโตเมื่อได้ฟังพื้นหลังของบ้านจาง ไม่คิดว่าพวกเขาจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นึกถึงสินสอดที่จะได้รับก็อยากจะรีบตอบตกลงในทันที

“ผมเองก็พอได้ภรรยาบอกมาคร่าวๆ แล้ว ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณท่านนายพลกับคุณนายที่รังเกียจลูกสาวของผม พวกเราเองก็ไม่ได้อยากจะให้เรื่องใหญ่โตบานปลาย เพียงแต่พวกคุณคงทราบแล้วว่าลูกสาวของผมยังเรียนอยู่” หลี่เจียงพูดขึ้น

“ฉันทราบดีค่ะ ที่มาวันนี้ก็เพื่อที่อยากจะหารือเรื่องหมั้นหมายเอาไว้ก่อน รอให้หนูเสี่ยวเหลียนเรียนจบแล้วค่อยแต่ง เรื่องนี้ทางเสวี่ยอวี้เองก็ไม่ติดใจอะไร”

จ้าวเสี่ยวเหลียนนั่งฟังเงียบๆ ขมวดคิ้วคิดตาม เธอรู้สึกว่าเรื่องมันออกจะง่ายเกินไปสักหน่อย พ่อเป็นถึงนายพล ลูกเป็นผู้พัน ทำไมถึงต้องอยากจะแต่งผู้หญิงบ้านๆ อย่างเธอขนาดนี้ด้วยนะ

หลี่เจียงหันไปมองหน้าผู้เป็นแม่ เขาเองก็กระดากปากเกินกว่าจะพูดต่อได้ อีกทั้งยังไม่ได้ถามความเห็นจากลูกเลี้ยง แต่ก็คิดว่างานแต่งพ่อแม่เป็นคนจัดการ เลยพยักหน้าให้แม่จัดการพูดต่อให้จบเรื่อง

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณนายว่าแล้วกันค่ะ ถือว่าเป็นวาสนาของเด็กมันด้วยที่ได้คนดีอย่างผู้พันมารับผิดชอบ” ย่าหลี่สรุปในตอนท้าย

“หนูเสี่ยวเหลียนละจ๊ะ เห็นด้วยกับทางออกนี้หรือเปล่า” คุณนายจางเหมือนจะเข้าใจสถานะของว่าที่ลูกสะใภ้ เลยอยากจะถามเพื่อความแน่ใจ

เสี่ยวเหลียนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ ทว่าอีกฝ่ายกลับหันหน้าหนีไปอีกทาง โชคดีที่วันนี้ได้รับการยืนยันจากปากของยายแล้วว่าเห็นด้วยกับงานหมั้นที่จะเกิดขึ้น

“ค่ะ ถ้าผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามฉันก็ยินดี แต่ฉันมีเรื่องอยากจะขอค่ะ” ในเมื่อไม่มีใครปกป้องเธอได้ เธอก็จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง

“ว่ามาได้เลย" พ่อจางเป็นคนพูด

เสี่ยวเหลียนค่อนข้างพอใจกับคำตอบของว่าที่พ่อสามี เพราะท่านกล้ารับปากทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟังคำขอจากเธอด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกท่านใจกว้างกับเธอ เธอก็จะใจกว้างกับพวกเขาเหมือนกัน

“ฉันขอให้งานหมั้นจัดขึ้นหลังจากที่ยายกลับมาจากชนบทแล้วได้หรือเปล่าคะ”

ย่าหลี่ฟังแล้วรู้สึกหน้าชา โดยธรรมเนียมแล้ว จ้าวเสี่ยวเหลียนเปรียบเสมือนลูกหลานบ้านหลี่ และยายหลิวเป็นบ้านเดิมของลูกสะใภ้ ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าหลานสาวนอกไส้กลับเชิดชูยายออกนอกหน้า แบบนี้ไม่ต่างอะไรถูกกับราดน้ำต้มร้อนๆ ใส่หน้า รู้สึกแสบไปหมด

“อาโหยว นึกว่าเรื่องอะไร” คุณนายจางอุทานแล้วยิ้มออกมา “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ ฉันได้ยินมาว่าหนูเติบโตกับคุณยายมาตั้งแต่ยังเล็ก สมควรที่ท่านจะได้เห็นงานสำคัญของหลานสาวจ้ะ”

จ้าวเสี่ยวเหลียนถอนหายใจ อย่างน้อยเธอต้องมั่นใจว่าสินสอดที่บ้านจางจะมอบให้นั้นปลอดภัย ไม่ใช่ว่าคาดหวังกับสินสอดจำนวนมหาศาล เพียงแต่อยากมั่นใจว่าจะไม่มีใครได้ครอบครองสินสอดนอกจากยายหลิว เพราะท่านเป็นคนที่สมควรได้รับมันที่สุดแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   19

    5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status