Mag-log in15 หยวน!
ตัวเลขนี้ทำให้ทุกคนในห้องตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะหลี่เจียง เงินเดือนกรรมกรระดับเดียวกับเขาในโรงงานได้เพียงเดือนละสามสิบหยวนเท่านั้น ค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารการกินของคนสองคนในหนึ่งเดือน หากอยู่อย่างประหยัด สิบห้าหยวนถือว่าเหลือเฟือทีเดียว แต่ทำไมภรรยาถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขา
หลงเข้าใจผิดมาตลอดว่าแม่ยายไม่มีเงิน เป็นแค่คนชนบทคนหนึ่ง จะเอาเงินมากมายมาจากไหน ทั้งบ้านยังหายไปกับน้ำ จะบอกว่าเป็นเงินขายบ้านก็คงจะโกหก
อีกอย่าง ถ้าบอกว่าภรรยาแอบส่งเงินกลับบ้านก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเงินของทุกคนต้องส่งเข้ากองกลาง เพื่อให้แม่ของเขาเป็นคนจัดสรร แสดงว่าเงินก้อนโตนั้นคือเงินของแม่ยายจริงๆ
ย่าหลี่และหลี่เจียงหันขวับไปมองหลิวซือเป็นตาเดียว สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยคำถาม หลิวซือยืนตัวสั่นเทาอยู่มุมห้อง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย หลบสายตาทุกคน พยักหน้ารับช้าๆ อย่างจำนน
ยายหลิวไม่สนใจปฏิกิริยาของใคร ท่านกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่ไหนแต่ไรเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ถ้าหลานไม่อยากมาอยู่กับแม่ มีหรือที่ท่านจะยอมลดศักดิ์ศรีมาอาศัยคนอื่น ถึงอย่างนั้นทันทีที่มาถึงก็จ่ายเงินสำหรับพักอาศัย ด้วยรู้อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็วทำดูถูกนี้ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่พ้นเดือนด้วยซ้ำ
"เงินจำนวนนี้เป็นเงินเก็บที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของสามีผู้ล่วงลับของฉัน บวกกับเงินเก็บที่ฉันหามาทั้งชีวิตจากการเย็บปักถักร้อย มันอาจจะไม่มากมายสำหรับคนในเมืองอย่างพวกคุณ แต่มันมากพอที่จะจ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ และเป็นค่าเช่าสำหรับพื้นที่เล็ก ๆ ที่ฉันกับหลานใช้อาศัยหลับนอน เราไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่ออาศัยใบบุญแต่เรามาอยู่ที่นี่ในฐานะครอบครัวที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเราจ่ายค่าครองชีพของเราเอง"
ยายหลิวเน้นย้ำคำว่า จ่าย อย่างชัดเจน มันคือคำประกาศอิสรภาพที่ทำลายข้ออ้างเรื่องบุญคุณบ้านหลี่จนแหลกละเอียด
"ดังนั้น..." ยายหลิวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของย่าหลี่ "เลิกเอาเรื่องบุญคุณมาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับให้หลานสาวของฉันต้องไปแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักเสียที เพราะพวกคุณ...ไม่มีบุญคุณอะไรกับเรามากพอที่จะทำแบบนั้นได้"
ความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของย่าหลี่และหลี่เจียง พวกเขาถูกปลดอาวุธชิ้นสุดท้ายไปอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้พวกเขาไม่มีความชอบธรรมใด ๆ เหลือพอที่จะบังคับขืนใจสองย่าหลานคู่นี้ได้อีก
หลี่เซียนฉลาดพอที่จะรู้ว่ากระดานเกมนี้พลิกกลับอย่างสิ้นเชิงแล้ว การดันทุรังต่อสู้มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้ จึงสูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แล้วแสร้งปั้นหน้ายิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนออกมา
"ไอหยา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง" เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพวกเราเลยนะคะ ถ้าเป็นอย่างที่คุณป้าว่าจริง ๆ บางทีอาจจะมีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นก็ได้ เอาเป็นว่า เรื่องนี้เราพักกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ รอให้ทุกคนใจเย็นลงแล้วค่อยหาเวลามาพูดคุยทำความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง"
เธอหันไปพยักหน้าให้แม่และพี่ชาย เป็นการส่งสัญญาณให้ล่าถอย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงไว้ซึ่งท่าทีของผู้ดีที่ไม่ยอมเสียกิริยาจนวินาทีสุดท้าย
ย่าหลี่จ้องหน้ายายหลิวอย่างอาฆาตแค้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างหัวเสียแล้วเดินตามลูกสาวออกไป
ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงหลี่เจียงคนเดียว เขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามา ทั้งโกรธที่ถูกหักหน้า ทั้งอับอายที่พ่ายแพ้ให้กับสองยายหลาน
และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกเหมือนถูกภรรยาของตัวเองหักหลัง เขามองหน้าหลิวซือที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะพูดออกมาเพียงสั้นๆ ว่า
"คืนนี้คุณกับผมมีเรื่องต้องคุยกัน" แล้วก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ทิ้งระเบิดเวลาลูกใหม่เอาไว้เบื้องหลัง
พายุสงบลงแล้วจริง ๆ แต่ซากปรักหักพังที่มันทิ้งไว้นั้นสาหัสนัก
เสี่ยวเหลียนมองแผ่นหลังของยายหลิวที่ยืนตระหง่านไม่ไหวติง ท่านคือภูผาที่ปกป้องเธอจากพายุร้าย แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองร่างที่กำลังสั่นเทาของแม่ ผู้ที่กำลังจะเผชิญกับพายุลูกใหม่ที่สามีของเธอเตรียมไว้ให้
ชัยชนะในวันนี้...มันคือการจุดไฟสงครามครั้งใหม่ขึ้นมาใช่หรือเปล่านะ
เธอเดินเข้าไปจับมือที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงอบอุ่นของยายไว้แน่น "ขอบคุณยายมากนะคะ"
ยายหลิวหันกลับมามองหลานสาว แววตาที่เคยแข็งกร้าวอ่อนโยนลง แต่ยังตำหนิที่เธอไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับท่านตั้งแต่แรก ท่านลูบศีรษะเธอเบาๆ "จำไว้นะเสี่ยวเหลียน ตราบใดที่เรายังยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น" ทว่าสายตากลับจ้อมองไปยังลูกสาวอย่างห้ามไม่อยู่
เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับ แต่ในใจกลับอดคิดไม่ได้
‘ความถูกต้องของเราได้ทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นแม่...และกระดานหมากเกมนี้...มันยังอีกยาวไกลนัก’
เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการชนะในศึกแรกเท่านั้น สงครามที่แท้จริงเพื่ออิสรภาพและอนาคตของเธอ...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
หลิวซือสงบสติอารมณ์แล้วก็เดินออกไป ความรู้สึกและโกรธมันสะสมปนเปกันไป แต่ดูเหมือนว่าความโกรธจะมีมากกว่า
เธอไม่พอใจที่ผู้เป็นแม่พูดเรื่องเงิน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เงินเดือนถูกเก็บไว้ในกองกลางก็จริง แต่ก็มักจะมีเงินเล็กๆน้อยๆที่ได้จากการทำงานล่วงเวลาแล้วแอบเก็บเอาไว้บ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็ไม่ใช่คนโง่เสียทีเดียว และรู้ด้วยน้ำน้ำหนักในใจของตัวเองกับคนบ้านหลี่แล้วเธอมาเป็นอันดับท้ายๆ
โชคดีที่วันนี้อารองกับภรรยาของเขาไปทำงาน ไม่อย่างนั้นคงถูกสองผัวเมียรุมอีกเป็นแน่
ถ้าลำดับความสัมพันธ์แล้ว ถึงหลี่เซียนจะปากร้าย แต่ก็ถือว่าเข้ากับเธอได้ดีกว่าอารองและภรรยา ตั้งแต่ที่แม่และลูกสาวของเธอย้ายมาอยู่ พวกเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ
ประท้วงโดยการไปทำงานแต่เช้า เย็นมาก็กินมาจากที่โรงงานเลย ช่วงพักกลางวันยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะมีก็แต่ หลี่เทียน ลูกชายของพวกเขาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจ้าวเสี่ยวเหลียน ที่จะชวนลูกสาวเธอคุยบ้าง แต่ส่วนมากแล้วเขาจะขลุกอยู่ที่ร้านเกม รอพ่อกับแม่เลิกงานมาถึงจะกลับบ้าน แล้วบอกว่าตัวเองอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องทั้งวัน
ย่าหลี่เองก็เข้าข้างหลานชาย เพราะเขาเปนหลายชายคนแรก ทังยังเป็นหลานชายคนเดียวในบ้าน จึงได้รับความรักจากทุกคนอย่างท่วมท้น และเพราะคลอดหลานชายให้บ้านหลี่ สะใภ้รองเลยเป็นลูกสะใภ้คนโปรด ไม่ต้องทำงานบ้านอะไร เลิกงานมาสามารถกลับเข้าห้องพักผ่อน
ต่างจากหลิวซือที่เลิกงานมาต้องทำงานบ้าน ช่วงที่ลูกสาวกับแม่มาอยู่ก็สบายหน่อย เพราะทั้งสองคนทำแทนทุกอย่าง ในขณะที่คนอื่นไปทำงานกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ย่าหลี่ที่ยังคงทำงานที่โรงงานทอผ้า และจะเกษียรในสามปีข้างหน้านี้
ช่วงดึกวันเดียวกันนั้น พ่อจางสังเกตเห็นความผิดปกติของภรรยา อยู่กินมานานเกือบสามสิบปี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” พ่อจางกอดภรรยาจากทางด้านหลัง มั่นใจว่าคนข้างๆ ยังไม่นอน“…." มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา“วันนี้เจ้าลูกชายตัวดีมาคุยกับผม เรื่องที่ขอยืดเวลาให้กวงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก่อน ทางผมไม่ติดอะไรนะถ้าคุณจะอยู่กับหลานต่อ”“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาหลานกลับ ก็ให้พวกเขาเลี้ยงกันเอง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว” แม่จางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าคุณอยากจะกลับเพราะคิดถึงผมก็แล้วไปเถอะ แต่อย่ากลับเพียงเพราะอยากประชดลูกเลย เสวี่ยอวี้อาจจะไม่เป็นไร แต่อย่าทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ได้ยินว่าเธอยินดีที่ให้กวงเอ๋อร์ไปชิงเต่า แต่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอม” พ่อจางรับหน้าที่เป็นคนกลา
สิงหาคม 1980ครบกำหนดที่จางเหยากวงต้องกลับไปชิงเต่ากับคุณย่าของเขาแล้ว เจ้าอ้วนยังไม่รู้ชะตากรรมว่าต่อไปตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ ตอนนี้สองพ่่อลูกกำลังเล่นของเล่นบนเตียงกันอยู่“ผมจำได้ว่าเครื่องบินของกวงเอ๋อร์มีเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ” สองพ่อลูกชอบเล่นเครื่องบิน ก่อนนอนทุกคืนเขาจะต้องได้เล่นเครื่องบินกับพ่อก่อน แล้วค่อยให้ย่าจางพาไปนอน“ฉันเก็บลงกล่องบางส่วนแล้วละค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจุกที่ลำคอทุกทีจางเสวี่ยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ ให้ลูกชายเล่นเครื่องบินไปก่อน แล้วหันมาปลอบแม่ของลูกแทน “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เราคุยกับแม่ให้ท่านกลับไปชิงเต่าก่อนดีหรือเปล่าครับ ผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ประจำ คุณยายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”ตอนนี้แม้ว่าที่บ้านของเขาจะมีแม่บ้าน แต่ทำงานเช้าเย็นก็กลับ หน้าที่เลี้ยงหลานเป็นของยายทวดและคุณย่า เขารู้ดีว่าพวกท
จ้าวเสี่ยวเหลียนยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมใส่ใจน้องสาว ตอนนี้หลี่เฟินสอบเข้ามหาวิทยาลัยมณฑลได้แล้ว เดิมทีแม่หลิวอยากให้มาอยู่กับพี่สาว จะช่วยเลี้ยงหลาน แต่เพราะมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารอยู่ไกลกันเดินทางลำบาก เสี่ยวเหลียนเลยเลือกให้น้องสาวอยู่หอพักแทน วันหยุดถึงมาหลานสาว“ไอหยา…ตัวหนักกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ” น้าสาวยิ้มกว้างเมื่อได้อุ้มหลานชายวัยสี่เดือน ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าของเด็กหนึ่งขวบไปแล้วเรียบร้อย“เขาห้ามทักว่าเด็กอ้วนเดี๋ยวจะป่วย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ยายหลิวดุหลานสาว“จริงเหรอคะ เสี่ยวกวงของเราไม่อ้วนเลย ออกจะผอมไปด้วยซ้ำ ต้องกินเยอะๆ นะ” พอรู้ว่าหลานชายจะป่วยเพราะคำพูดของตัวเอง น้าสาวก็กลับคำเสียอย่างนั้นเสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เด็กคนหนึ่งจะป่วยก็คงไม่เกี่ยวกับคำพูดหรอก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมแล้วก็สิ่งที่เขากินเข้าไปมากกว่า เจ็บป
จ้าวเสี่ยวเหลียนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน ถ้าเป็นคนอื่นคงออกตั้งแต่สองวันแรก แต่เพราะเป็นภรรยาของท่านนายพล เขาอยากมั่นใจก่อนว่าภรรยาและลูกปลอดภัย พ่อจางกับแม่จางมาถึงวันที่เสี่ยวเหลียนออกจากโรงพยาบาลพอดี จางเสวี่ยอวี้ตั้งชื่อลูกชายา จางเหยากวง“ไอหยา…เพิ่งคุยกันไม่กี่วันก่อนแท้ๆ หลานย่าก็รีบออกมาเสียแล้ว ไม่รอย่าเลย” ตอนนี้คุณแม่จางกำลังอุ้มหลายชายตัวอ้วนของท่านอยู่รีบอะไรกันละคะ ความจริงต้องออกตั้นแต่ช่วงต้นเดือนเสียด้วยซ้ำ อีกสองสัปดาห์ก้จะเปิดเทอมแล้ว ม่านม่านจะพักฟื้นทันหรือเปล่า" แม่หลิวมองหน้าลูกสาวที่กำลังอยู่เดือนด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิ แล้วเรื่องอยู่เดือนจะทำยังไง” แม่จางถาม“สัปดาห์แรกน่าจะยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นยังไงก็ต้องไปเพราะขึ้นปีสามแล้ว เนื้อหาเฉพาะมากขึ้น”“ไม่สู้ให้แม่พากวงเอ๋อร์กลับชิงเต่า พวกลูกจะไ
จางเสวี่ยอวี้ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาเห็นของเหลวกำลังไหลออกมาจากร่างกายของภรรยา ก่อนหน้านี้เธอมีอาการเจ็บท้องอยู่หลายครั้ง แต่พอเกิดขึ้นจริงเขากลับทำอะไรไม่ถูก“จางเสวี่ยอวี้ เอาของที่เตรียมไว้ไปใส่รถเร็วเข้า” ในจิตสำนึกของเธอแล้ว ตัวเองอายุเท่ากันกับสามี พอน้ำคร่ำแตก อาการเจ็บท้องคลอดของเธอก็ถี่ขึ้น จนเหงื่อท่วมตัวว่าที่คุณพ่อมือใหม่สะดุ้งกับคำสั่งของภรรยา “ได้” เขารีบเดินไปหิ้วกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วขึ้นรถ ไม่นานก็กลับเข้ามาอุ้มภรรยาไปโรงพยาบาล“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบาย” ยายหลิวจับมือปลอบใจหลานสาวตลอดทาง โชคดีที่บ้านพักกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาลตอนนี้เสี่ยวเหลียนถูกเข็นไปยังห้องคลอด จางเสวี่ยอวี้เดินไปตามหวังหว่านอินที่ห้องตรวจด้วยตัวเอง ทำเอาคนไข้แตกตื่นไปตามๆ กัน“นายใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เธอ
กุมภาพันธ์ 1980ปิดเทอมฤดูหนาวเสี่ยวเหลียนไม่ได้กลับชิงเต่า เพราะจางเสวี่ยอวี้ไม่อยากให้เธอต้องเดินทางไกลช่วงที่หิมะตกหนัก“เข้าใจแล้วค่ะ วางแล้วนะคะ”“ใครโทรมาครับ” จางเสวี่ยอวี้เดินเข้ามาโอบเอวของภรรยา มือหนาลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมานิดๆ ของภรรยา“แม่น่ะค่ะ โทรมากำชับ บอกว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องกลับบ้าน” เธอยิ้มตอบสามี รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาลูบท้องลูกของพวกเธอ“ผมทำเรื่องขอย้ายไปอยู่บ้านเป็นหลังแล้ว คิดว่าสะดวกกว่าอยู่บนอาคาร”“ทำไมละคะ” เธอคิดว่าอยู่บนอาคารก็สะดวกดี ฤดูหนาวไม่ต้องคอยมากวาดหิมะบนหลังคา ติดแค่พื้นที่แคบไปสักหน่อยก็เท่านั้น“อยู่บ้านเป็นหลังดีกว่า อีกหน่อยคุณยายก็ต้องมาช่วยดูแลคุณ ท่านจะได้ไม่อึดอัดที่อยู่แต่บนอาคารอย่างเดียว”







