Share

6

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-08 18:46:49

15 หยวน!

ตัวเลขนี้ทำให้ทุกคนในห้องตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะหลี่เจียง เงินเดือนกรรมกรระดับเดียวกับเขาในโรงงานได้เพียงเดือนละสามสิบหยวนเท่านั้น ค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารการกินของคนสองคนในหนึ่งเดือน หากอยู่อย่างประหยัด สิบห้าหยวนถือว่าเหลือเฟือทีเดียว แต่ทำไมภรรยาถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขา

หลงเข้าใจผิดมาตลอดว่าแม่ยายไม่มีเงิน เป็นแค่คนชนบทคนหนึ่ง จะเอาเงินมากมายมาจากไหน ทั้งบ้านยังหายไปกับน้ำ จะบอกว่าเป็นเงินขายบ้านก็คงจะโกหก 

อีกอย่าง ถ้าบอกว่าภรรยาแอบส่งเงินกลับบ้านก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเงินของทุกคนต้องส่งเข้ากองกลาง เพื่อให้แม่ของเขาเป็นคนจัดสรร แสดงว่าเงินก้อนโตนั้นคือเงินของแม่ยายจริงๆ

ย่าหลี่และหลี่เจียงหันขวับไปมองหลิวซือเป็นตาเดียว สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยคำถาม หลิวซือยืนตัวสั่นเทาอยู่มุมห้อง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย หลบสายตาทุกคน พยักหน้ารับช้าๆ อย่างจำนน

ยายหลิวไม่สนใจปฏิกิริยาของใคร ท่านกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่ไหนแต่ไรเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ถ้าหลานไม่อยากมาอยู่กับแม่ มีหรือที่ท่านจะยอมลดศักดิ์ศรีมาอาศัยคนอื่น ถึงอย่างนั้นทันทีที่มาถึงก็จ่ายเงินสำหรับพักอาศัย ด้วยรู้อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็วทำดูถูกนี้ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่พ้นเดือนด้วยซ้ำ

"เงินจำนวนนี้เป็นเงินเก็บที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของสามีผู้ล่วงลับของฉัน บวกกับเงินเก็บที่ฉันหามาทั้งชีวิตจากการเย็บปักถักร้อย มันอาจจะไม่มากมายสำหรับคนในเมืองอย่างพวกคุณ แต่มันมากพอที่จะจ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ และเป็นค่าเช่าสำหรับพื้นที่เล็ก ๆ ที่ฉันกับหลานใช้อาศัยหลับนอน เราไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่ออาศัยใบบุญแต่เรามาอยู่ที่นี่ในฐานะครอบครัวที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเราจ่ายค่าครองชีพของเราเอง"

ยายหลิวเน้นย้ำคำว่า จ่าย  อย่างชัดเจน มันคือคำประกาศอิสรภาพที่ทำลายข้ออ้างเรื่องบุญคุณบ้านหลี่จนแหลกละเอียด

"ดังนั้น..." ยายหลิวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของย่าหลี่ "เลิกเอาเรื่องบุญคุณมาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับให้หลานสาวของฉันต้องไปแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักเสียที เพราะพวกคุณ...ไม่มีบุญคุณอะไรกับเรามากพอที่จะทำแบบนั้นได้"

ความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของย่าหลี่และหลี่เจียง พวกเขาถูกปลดอาวุธชิ้นสุดท้ายไปอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้พวกเขาไม่มีความชอบธรรมใด ๆ เหลือพอที่จะบังคับขืนใจสองย่าหลานคู่นี้ได้อีก

หลี่เซียนฉลาดพอที่จะรู้ว่ากระดานเกมนี้พลิกกลับอย่างสิ้นเชิงแล้ว การดันทุรังต่อสู้มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้ จึงสูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แล้วแสร้งปั้นหน้ายิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนออกมา

"ไอหยา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง" เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพวกเราเลยนะคะ ถ้าเป็นอย่างที่คุณป้าว่าจริง ๆ บางทีอาจจะมีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นก็ได้ เอาเป็นว่า เรื่องนี้เราพักกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ รอให้ทุกคนใจเย็นลงแล้วค่อยหาเวลามาพูดคุยทำความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง"

เธอหันไปพยักหน้าให้แม่และพี่ชาย เป็นการส่งสัญญาณให้ล่าถอย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงไว้ซึ่งท่าทีของผู้ดีที่ไม่ยอมเสียกิริยาจนวินาทีสุดท้าย

ย่าหลี่จ้องหน้ายายหลิวอย่างอาฆาตแค้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างหัวเสียแล้วเดินตามลูกสาวออกไป

ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงหลี่เจียงคนเดียว เขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามา ทั้งโกรธที่ถูกหักหน้า ทั้งอับอายที่พ่ายแพ้ให้กับสองยายหลาน 

และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกเหมือนถูกภรรยาของตัวเองหักหลัง เขามองหน้าหลิวซือที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะพูดออกมาเพียงสั้นๆ ว่า

 "คืนนี้คุณกับผมมีเรื่องต้องคุยกัน" แล้วก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ทิ้งระเบิดเวลาลูกใหม่เอาไว้เบื้องหลัง

พายุสงบลงแล้วจริง ๆ แต่ซากปรักหักพังที่มันทิ้งไว้นั้นสาหัสนัก

เสี่ยวเหลียนมองแผ่นหลังของยายหลิวที่ยืนตระหง่านไม่ไหวติง ท่านคือภูผาที่ปกป้องเธอจากพายุร้าย แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองร่างที่กำลังสั่นเทาของแม่ ผู้ที่กำลังจะเผชิญกับพายุลูกใหม่ที่สามีของเธอเตรียมไว้ให้

ชัยชนะในวันนี้...มันคือการจุดไฟสงครามครั้งใหม่ขึ้นมาใช่หรือเปล่านะ

เธอเดินเข้าไปจับมือที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงอบอุ่นของยายไว้แน่น "ขอบคุณยายมากนะคะ"

ยายหลิวหันกลับมามองหลานสาว แววตาที่เคยแข็งกร้าวอ่อนโยนลง แต่ยังตำหนิที่เธอไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับท่านตั้งแต่แรก ท่านลูบศีรษะเธอเบาๆ "จำไว้นะเสี่ยวเหลียน ตราบใดที่เรายังยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น" ทว่าสายตากลับจ้อมองไปยังลูกสาวอย่างห้ามไม่อยู่

เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารับ แต่ในใจกลับอดคิดไม่ได้

‘ความถูกต้องของเราได้ทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นแม่...และกระดานหมากเกมนี้...มันยังอีกยาวไกลนัก’

เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการชนะในศึกแรกเท่านั้น สงครามที่แท้จริงเพื่ออิสรภาพและอนาคตของเธอ...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง

หลิวซือสงบสติอารมณ์แล้วก็เดินออกไป ความรู้สึกและโกรธมันสะสมปนเปกันไป แต่ดูเหมือนว่าความโกรธจะมีมากกว่า 

เธอไม่พอใจที่ผู้เป็นแม่พูดเรื่องเงิน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เงินเดือนถูกเก็บไว้ในกองกลางก็จริง แต่ก็มักจะมีเงินเล็กๆน้อยๆที่ได้จากการทำงานล่วงเวลาแล้วแอบเก็บเอาไว้บ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็ไม่ใช่คนโง่เสียทีเดียว และรู้ด้วยน้ำน้ำหนักในใจของตัวเองกับคนบ้านหลี่แล้วเธอมาเป็นอันดับท้ายๆ

โชคดีที่วันนี้อารองกับภรรยาของเขาไปทำงาน ไม่อย่างนั้นคงถูกสองผัวเมียรุมอีกเป็นแน่ 

ถ้าลำดับความสัมพันธ์แล้ว ถึงหลี่เซียนจะปากร้าย แต่ก็ถือว่าเข้ากับเธอได้ดีกว่าอารองและภรรยา ตั้งแต่ที่แม่และลูกสาวของเธอย้ายมาอยู่ พวกเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ

ประท้วงโดยการไปทำงานแต่เช้า เย็นมาก็กินมาจากที่โรงงานเลย ช่วงพักกลางวันยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะมีก็แต่ หลี่เทียน ลูกชายของพวกเขาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจ้าวเสี่ยวเหลียน ที่จะชวนลูกสาวเธอคุยบ้าง แต่ส่วนมากแล้วเขาจะขลุกอยู่ที่ร้านเกม รอพ่อกับแม่เลิกงานมาถึงจะกลับบ้าน แล้วบอกว่าตัวเองอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องทั้งวัน

ย่าหลี่เองก็เข้าข้างหลานชาย เพราะเขาเปนหลายชายคนแรก ทังยังเป็นหลานชายคนเดียวในบ้าน จึงได้รับความรักจากทุกคนอย่างท่วมท้น และเพราะคลอดหลานชายให้บ้านหลี่ สะใภ้รองเลยเป็นลูกสะใภ้คนโปรด ไม่ต้องทำงานบ้านอะไร เลิกงานมาสามารถกลับเข้าห้องพักผ่อน 

ต่างจากหลิวซือที่เลิกงานมาต้องทำงานบ้าน ช่วงที่ลูกสาวกับแม่มาอยู่ก็สบายหน่อย เพราะทั้งสองคนทำแทนทุกอย่าง ในขณะที่คนอื่นไปทำงานกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ย่าหลี่ที่ยังคงทำงานที่โรงงานทอผ้า และจะเกษียรในสามปีข้างหน้านี้

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   19

    5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status