LOGINช่วงเย็น เสียงจอแจจากเพื่อนบ้านที่เริ่มทยอยกลับจากทำงานและเตรียมอาหารเย็นค่อยๆ จางหายไป แต่สำหรับบ้านหลี่ บรรยากาศกลับหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่
หลังจากพายุอารมณ์ระลอกใหญ่ผ่านพ้นไป หลิวซือก็ถูกหลี่เจียงเรียกเข้าไปในห้องนอนของพวกเขาสองคน ประตูไม้ถูกปิดลงเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงทะเลาะทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงที่ดังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แม้จะจับใจความไม่ได้ทั้งหมด แต่เสี่ยวเหลียนก็พอจะเดาได้ว่าแม่ของเธอกำลังถูกซักฟอกอย่างหนักเรื่องที่รับเงินจากยายหลิวโดยไม่บอกกล่าวครอบครัวของสามี
ยายหลิวนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ใบหน้าของท่านเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แววตาที่ทอดมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทนั้นกลับฉายแววเจ็บปวดและห่วงใยอย่างสุดซึ้ง ท่านย่อมรู้ดีว่าลูกสาวของท่านกำลังเผชิญกับอะไรอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้น
เสี่ยวเหลียนเดินไปนั่งลงข้างๆยายเธอยื่นมือไปกอบกุมมือที่เหี่ยวย่นแต่แข็งแรงของท่านไว้ เป็นการปลอบโยนโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ
‘นี่สินะครอบครัว’ เธอคิดในใจอย่างขมขื่น ‘ความผูกพันที่ซับซ้อนและเปราะบางยิ่งกว่าใยแมงมุม ชัยชนะของคนหนึ่งอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของอีกคนหนึ่งเสมอ’
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครทันสังเกต เพราะต่างอยู่ในความเงียบ ในที่สุดเสียงทะเลาะเบื้องหลังบานประตูก็เงียบลง แต่ความเงียบครั้งนี้กลับน่าอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม มันคือความเงียบที่บ่งบอกว่าพายุได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังของความสัมพันธ์
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นเบาๆ
เสี่ยวเหลียนกับยายหลิวมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ในเวลานี้ไม่น่าจะมีใครมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว
"นั่นใครน่ะ" ยายหลิวเอ่ยถามออกไป
"ผมเองครับคุณป้า หลี่เหว่ยครับ" เสียงตอบที่ดังมาจากนอกประตูนั้นทุ้มนุ่มและสุภาพ
หลี่เหว่ย อาสี่ของตระกูลหลี่ ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
เสี่ยวเหลียนรู้สึกแปลกใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาปรากฏตัวในเวลานี้ ยายหลิวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้หลานสาวไปเปิดประตู
เมื่อประตูแง้มออก ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอายุ 25 ปีก็ปรากฏขึ้น เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสะอ้านกับกางเกงสีกากี ดูเป็นปัญญาชนที่แตกต่างจากพี่ชายของเขาอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาหล่อเหลาหมดจด ดวงตาเรียวยาวภายใต้กรอบแว่นดูอ่อนโยนและฉายแววรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
เขาคือชายหนุ่ม เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอนาคตไกล และเป็นคนที่อาสามเขาพยายามจะจับคู่ให้กับเธอ
"สวัสดีครับคุณป้า เป็นยังไงบ้างเสี่ยวเหลียน" เขาเอ่ยทักทายอย่างตะกุกตะกัก ไม่กล้าสบตาตรง ๆ
"มีธุระอะไร" ยายหลิวถามเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงความเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านมองเขาเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
หากพูดเรื่องความสัมพันของพี่น้องบ้านหลี่ เท่าที่ท่านสัมผัสคือ พวกเขารักกันมาก จนท่านเองยังอดชื่นชมย่าหลี่ไม่ได้ว่าเลี้ยงลูกให้สามัคคีรักใคร่ปรองดองกันได้ดี ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พวกเขาก็ยังคงเป็นครอบครัวต้นแบบของความสามัคคีและกตัญญู
หลี่เหว่ยสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะคุกเข่าโค้งคำนับตรงหน้ายายหลิวอย่างนอบน้อม "ผม...ผมมาเพื่อขอโทษครับ"
คำพูดของเขาทำให้ทั้งเสี่ยวเหลียนและยายหลิวประหลาดใจ
"ผมต้องขอโทษทั้งสองจากใจจริงสำหรับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น" เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ "ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันใหญ่โตบานปลายขนาดนี้เลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่สามจะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมเพิ่งจะทราบเรื่องทั้งหมดเมื่อตอนเย็นนี้เองหลังจากที่พี่สามกลับมาถึงบ้านผม...ผม...ผมเสียใจจริง ๆ ครับ"
เสี่ยวเหลียนมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียด เขาดูไม่เหมือนคนเสแสร้งแกล้งทำ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจและความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอพอจะเดาได้ว่าเขาเองก็คงเป็นอีกหนึ่งเหยื่อของแผนการที่เห็นแก่ตัวของพี่สาวตัวเองเช่นกัน
"แล้วมาที่นี่ ต้องการจะบอกอะไรพวกเราอย่างนั้นเหรอ" ยายหลิวถามอย่างตรงไปตรงมา
หลี่เหว่ยเงยหน้าขึ้น สบตายายหลิวอย่างแน่วแน่ "ผมมาเพื่อรับปากครับคุณป้าว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนและจะเป็นคนจะจัดการเรื่องนี้เอง ผมจะไปพูดกับแม่และพี่สามให้เลิกล้มความคิดบ้าๆ นี่เสีย" เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย
"ส่วนเรื่องแต่งงาน...คุณป้าวางใจได้เลยครับ ผมเห็นเสี่ยวเหลียนเป็นหลานสาวคนหนึ่ง ไม่มีทางคิดเกินเลยกับเธออย่างนั้นแน่นอน ผมจะหาทางจัดการหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งงานด้วยให้เร็วที่สุด เพื่อให้เรื่องทั้งหมดมันจบลง"
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและน่าเชื่อถือ หากเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกซาบซึ้งใจไปแล้ว แต่สำหรับเสี่ยวเหลียนแล้วนั้น เธอไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจ เพราะหากข่าวลือเป็นความจริง ก็เท่ากับว่ากำลังจะดึงผู้หญิงอีกคนที่ไมู่้เรื่องรู้ราวมาปกปิดตัวตนของเขา ซึ่งถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วเขาก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างจากพี่สาวสักเท่าไหร่หรอก
ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องนอนของหลิวซือก็เปิดออก ร่างของเด็กสาวอายุประมาณ 12 ปีวิ่งออกมาจากห้อง ดวงตาของเธอแดงก่ำ ใบหน้าตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด เธอคือหลี่เฟิน น้องสาวคนละพ่อของเสี่ยวเหลียน
"พี่เสี่ยวเหลียน" หลี่เฟินวิ่งตรงเข้ามาหาเสี่ยวเหลียนอย่างไม่ลังเล ก่อนจะโผเข้ากอดพี่สาวต่างสายเลือดที่เธอเพิ่งจะได้พบหน้ากันไม่นานไว้แน่น "พี่อย่าไปจากที่นี่นะ อย่าทิ้งฉันไปนะ"
การกระทำที่ไม่คาดคิดของหลี่เฟินทำให้ทุกคนในห้องตกตะลึงไปชั่วขณะ เสี่ยวเหลียนเองก็รู้สึกอึ้งไป เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเด็กสาวคนนี้นัก เพราะนับตั้งแต่ย้ายมา หลี่เฟินก็มักจะเก็บตัวและมองเธอด้วยสายตาที่หวาดระแวงอยู่เสมอ
"เกิดอะไรขึ้น" เสี่ยวเหลียนถามพลางลูบหลังปลอบโยนน้องสาวที่กำลังกลัวจนตัวสั่นเทา
"พ่อ...พ่อทะเลาะกับแม่เสียงดังมากเลย" หลี่เฟินพูดสะอื้น "พ่อบอกว่าแม่ไม่ให้เกียรติย่า หาว่าแม่เห็นคนนอกดีกว่าคนในครอบครัว...แล้วอาสามก็ฝากมาบอกว่า ถ้าพวกพี่ยังอยู่ที่นี่ต่อไป บ้านเราก็จะไม่มีวันสงบสุข ให้พ่อไล่พวกพี่ออกไปอยู่ที่อื่น"
คำพูดของเด็กสาวเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางห้องอีกครั้ง
หลี่เหว่ยมีสีหน้าตกใจ “ว่ายังไงนะ นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ" ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ตำหนิพี่สาวอยู่ในใจที่ไม่มีหัวคิดขนาดนี้
ยายหลิวไม่ได้แสดงอาการใบหน้าของท่านยังคงเรียบเฉย แต่แววตากลับเย็นเยียบลงหลายส่วน ท่านมองเลยไปยังประตูห้องนอนที่เปิดอยู่ เห็นหลิวซือยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่กล้าที่จะเดินออกมาเผชิญหน้ากับความจริง
วินาทีนั้นเอง การตัดสินใจที่เด็ดขาดก็ก่อตัวขึ้นในใจของหญิงชราผู้เป็นดั่งภูผา
"เสี่ยวเหลียน ไปเก็บของเถอะ กลับบ้านพวกเรากัน" เสียงของยายหลิวดังขึ้นมาราบเรียบแต่ทรงพลัง ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ท่านเป็นจุดเดียว
"คุณป้า" หลี่เหว่ยอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าเรื่องจะลุกลามบานปลายถึงขั้นนี้
ช่วงดึกวันเดียวกันนั้น พ่อจางสังเกตเห็นความผิดปกติของภรรยา อยู่กินมานานเกือบสามสิบปี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” พ่อจางกอดภรรยาจากทางด้านหลัง มั่นใจว่าคนข้างๆ ยังไม่นอน“…." มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา“วันนี้เจ้าลูกชายตัวดีมาคุยกับผม เรื่องที่ขอยืดเวลาให้กวงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก่อน ทางผมไม่ติดอะไรนะถ้าคุณจะอยู่กับหลานต่อ”“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาหลานกลับ ก็ให้พวกเขาเลี้ยงกันเอง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว” แม่จางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าคุณอยากจะกลับเพราะคิดถึงผมก็แล้วไปเถอะ แต่อย่ากลับเพียงเพราะอยากประชดลูกเลย เสวี่ยอวี้อาจจะไม่เป็นไร แต่อย่าทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ได้ยินว่าเธอยินดีที่ให้กวงเอ๋อร์ไปชิงเต่า แต่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอม” พ่อจางรับหน้าที่เป็นคนกลา
สิงหาคม 1980ครบกำหนดที่จางเหยากวงต้องกลับไปชิงเต่ากับคุณย่าของเขาแล้ว เจ้าอ้วนยังไม่รู้ชะตากรรมว่าต่อไปตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ ตอนนี้สองพ่่อลูกกำลังเล่นของเล่นบนเตียงกันอยู่“ผมจำได้ว่าเครื่องบินของกวงเอ๋อร์มีเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ” สองพ่อลูกชอบเล่นเครื่องบิน ก่อนนอนทุกคืนเขาจะต้องได้เล่นเครื่องบินกับพ่อก่อน แล้วค่อยให้ย่าจางพาไปนอน“ฉันเก็บลงกล่องบางส่วนแล้วละค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจุกที่ลำคอทุกทีจางเสวี่ยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ ให้ลูกชายเล่นเครื่องบินไปก่อน แล้วหันมาปลอบแม่ของลูกแทน “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เราคุยกับแม่ให้ท่านกลับไปชิงเต่าก่อนดีหรือเปล่าครับ ผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ประจำ คุณยายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”ตอนนี้แม้ว่าที่บ้านของเขาจะมีแม่บ้าน แต่ทำงานเช้าเย็นก็กลับ หน้าที่เลี้ยงหลานเป็นของยายทวดและคุณย่า เขารู้ดีว่าพวกท
จ้าวเสี่ยวเหลียนยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมใส่ใจน้องสาว ตอนนี้หลี่เฟินสอบเข้ามหาวิทยาลัยมณฑลได้แล้ว เดิมทีแม่หลิวอยากให้มาอยู่กับพี่สาว จะช่วยเลี้ยงหลาน แต่เพราะมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารอยู่ไกลกันเดินทางลำบาก เสี่ยวเหลียนเลยเลือกให้น้องสาวอยู่หอพักแทน วันหยุดถึงมาหลานสาว“ไอหยา…ตัวหนักกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ” น้าสาวยิ้มกว้างเมื่อได้อุ้มหลานชายวัยสี่เดือน ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าของเด็กหนึ่งขวบไปแล้วเรียบร้อย“เขาห้ามทักว่าเด็กอ้วนเดี๋ยวจะป่วย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ยายหลิวดุหลานสาว“จริงเหรอคะ เสี่ยวกวงของเราไม่อ้วนเลย ออกจะผอมไปด้วยซ้ำ ต้องกินเยอะๆ นะ” พอรู้ว่าหลานชายจะป่วยเพราะคำพูดของตัวเอง น้าสาวก็กลับคำเสียอย่างนั้นเสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เด็กคนหนึ่งจะป่วยก็คงไม่เกี่ยวกับคำพูดหรอก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมแล้วก็สิ่งที่เขากินเข้าไปมากกว่า เจ็บป
จ้าวเสี่ยวเหลียนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน ถ้าเป็นคนอื่นคงออกตั้งแต่สองวันแรก แต่เพราะเป็นภรรยาของท่านนายพล เขาอยากมั่นใจก่อนว่าภรรยาและลูกปลอดภัย พ่อจางกับแม่จางมาถึงวันที่เสี่ยวเหลียนออกจากโรงพยาบาลพอดี จางเสวี่ยอวี้ตั้งชื่อลูกชายา จางเหยากวง“ไอหยา…เพิ่งคุยกันไม่กี่วันก่อนแท้ๆ หลานย่าก็รีบออกมาเสียแล้ว ไม่รอย่าเลย” ตอนนี้คุณแม่จางกำลังอุ้มหลายชายตัวอ้วนของท่านอยู่รีบอะไรกันละคะ ความจริงต้องออกตั้นแต่ช่วงต้นเดือนเสียด้วยซ้ำ อีกสองสัปดาห์ก้จะเปิดเทอมแล้ว ม่านม่านจะพักฟื้นทันหรือเปล่า" แม่หลิวมองหน้าลูกสาวที่กำลังอยู่เดือนด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิ แล้วเรื่องอยู่เดือนจะทำยังไง” แม่จางถาม“สัปดาห์แรกน่าจะยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นยังไงก็ต้องไปเพราะขึ้นปีสามแล้ว เนื้อหาเฉพาะมากขึ้น”“ไม่สู้ให้แม่พากวงเอ๋อร์กลับชิงเต่า พวกลูกจะไ
จางเสวี่ยอวี้ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาเห็นของเหลวกำลังไหลออกมาจากร่างกายของภรรยา ก่อนหน้านี้เธอมีอาการเจ็บท้องอยู่หลายครั้ง แต่พอเกิดขึ้นจริงเขากลับทำอะไรไม่ถูก“จางเสวี่ยอวี้ เอาของที่เตรียมไว้ไปใส่รถเร็วเข้า” ในจิตสำนึกของเธอแล้ว ตัวเองอายุเท่ากันกับสามี พอน้ำคร่ำแตก อาการเจ็บท้องคลอดของเธอก็ถี่ขึ้น จนเหงื่อท่วมตัวว่าที่คุณพ่อมือใหม่สะดุ้งกับคำสั่งของภรรยา “ได้” เขารีบเดินไปหิ้วกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วขึ้นรถ ไม่นานก็กลับเข้ามาอุ้มภรรยาไปโรงพยาบาล“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบาย” ยายหลิวจับมือปลอบใจหลานสาวตลอดทาง โชคดีที่บ้านพักกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาลตอนนี้เสี่ยวเหลียนถูกเข็นไปยังห้องคลอด จางเสวี่ยอวี้เดินไปตามหวังหว่านอินที่ห้องตรวจด้วยตัวเอง ทำเอาคนไข้แตกตื่นไปตามๆ กัน“นายใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เธอ
กุมภาพันธ์ 1980ปิดเทอมฤดูหนาวเสี่ยวเหลียนไม่ได้กลับชิงเต่า เพราะจางเสวี่ยอวี้ไม่อยากให้เธอต้องเดินทางไกลช่วงที่หิมะตกหนัก“เข้าใจแล้วค่ะ วางแล้วนะคะ”“ใครโทรมาครับ” จางเสวี่ยอวี้เดินเข้ามาโอบเอวของภรรยา มือหนาลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมานิดๆ ของภรรยา“แม่น่ะค่ะ โทรมากำชับ บอกว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องกลับบ้าน” เธอยิ้มตอบสามี รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาลูบท้องลูกของพวกเธอ“ผมทำเรื่องขอย้ายไปอยู่บ้านเป็นหลังแล้ว คิดว่าสะดวกกว่าอยู่บนอาคาร”“ทำไมละคะ” เธอคิดว่าอยู่บนอาคารก็สะดวกดี ฤดูหนาวไม่ต้องคอยมากวาดหิมะบนหลังคา ติดแค่พื้นที่แคบไปสักหน่อยก็เท่านั้น“อยู่บ้านเป็นหลังดีกว่า อีกหน่อยคุณยายก็ต้องมาช่วยดูแลคุณ ท่านจะได้ไม่อึดอัดที่อยู่แต่บนอาคารอย่างเดียว”







