Share

7

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-08 18:47:09

ช่วงเย็น เสียงจอแจจากเพื่อนบ้านที่เริ่มทยอยกลับจากทำงานและเตรียมอาหารเย็นค่อยๆ จางหายไป แต่สำหรับบ้านหลี่ บรรยากาศกลับหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่

หลังจากพายุอารมณ์ระลอกใหญ่ผ่านพ้นไป หลิวซือก็ถูกหลี่เจียงเรียกเข้าไปในห้องนอนของพวกเขาสองคน ประตูไม้ถูกปิดลงเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงทะเลาะทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงที่ดังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แม้จะจับใจความไม่ได้ทั้งหมด แต่เสี่ยวเหลียนก็พอจะเดาได้ว่าแม่ของเธอกำลังถูกซักฟอกอย่างหนักเรื่องที่รับเงินจากยายหลิวโดยไม่บอกกล่าวครอบครัวของสามี

ยายหลิวนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ใบหน้าของท่านเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แววตาที่ทอดมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทนั้นกลับฉายแววเจ็บปวดและห่วงใยอย่างสุดซึ้ง ท่านย่อมรู้ดีว่าลูกสาวของท่านกำลังเผชิญกับอะไรอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้น

เสี่ยวเหลียนเดินไปนั่งลงข้างๆยายเธอยื่นมือไปกอบกุมมือที่เหี่ยวย่นแต่แข็งแรงของท่านไว้ เป็นการปลอบโยนโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ

‘นี่สินะครอบครัว’ เธอคิดในใจอย่างขมขื่น ‘ความผูกพันที่ซับซ้อนและเปราะบางยิ่งกว่าใยแมงมุม ชัยชนะของคนหนึ่งอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของอีกคนหนึ่งเสมอ’

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครทันสังเกต เพราะต่างอยู่ในความเงียบ  ในที่สุดเสียงทะเลาะเบื้องหลังบานประตูก็เงียบลง แต่ความเงียบครั้งนี้กลับน่าอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม มันคือความเงียบที่บ่งบอกว่าพายุได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังของความสัมพันธ์

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นเบาๆ 

เสี่ยวเหลียนกับยายหลิวมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ในเวลานี้ไม่น่าจะมีใครมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว

"นั่นใครน่ะ" ยายหลิวเอ่ยถามออกไป

"ผมเองครับคุณป้า หลี่เหว่ยครับ" เสียงตอบที่ดังมาจากนอกประตูนั้นทุ้มนุ่มและสุภาพ

หลี่เหว่ย อาสี่ของตระกูลหลี่ ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

เสี่ยวเหลียนรู้สึกแปลกใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาปรากฏตัวในเวลานี้ ยายหลิวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้หลานสาวไปเปิดประตู

เมื่อประตูแง้มออก ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอายุ 25 ปีก็ปรากฏขึ้น เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสะอ้านกับกางเกงสีกากี ดูเป็นปัญญาชนที่แตกต่างจากพี่ชายของเขาอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาหล่อเหลาหมดจด ดวงตาเรียวยาวภายใต้กรอบแว่นดูอ่อนโยนและฉายแววรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด

เขาคือชายหนุ่ม เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอนาคตไกล และเป็นคนที่อาสามเขาพยายามจะจับคู่ให้กับเธอ

"สวัสดีครับคุณป้า เป็นยังไงบ้างเสี่ยวเหลียน" เขาเอ่ยทักทายอย่างตะกุกตะกัก ไม่กล้าสบตาตรง ๆ

"มีธุระอะไร" ยายหลิวถามเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงความเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านมองเขาเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

หากพูดเรื่องความสัมพันของพี่น้องบ้านหลี่ เท่าที่ท่านสัมผัสคือ พวกเขารักกันมาก จนท่านเองยังอดชื่นชมย่าหลี่ไม่ได้ว่าเลี้ยงลูกให้สามัคคีรักใคร่ปรองดองกันได้ดี ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พวกเขาก็ยังคงเป็นครอบครัวต้นแบบของความสามัคคีและกตัญญู

หลี่เหว่ยสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะคุกเข่าโค้งคำนับตรงหน้ายายหลิวอย่างนอบน้อม "ผม...ผมมาเพื่อขอโทษครับ"

คำพูดของเขาทำให้ทั้งเสี่ยวเหลียนและยายหลิวประหลาดใจ

"ผมต้องขอโทษทั้งสองจากใจจริงสำหรับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น" เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ "ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันใหญ่โตบานปลายขนาดนี้เลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่สามจะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมเพิ่งจะทราบเรื่องทั้งหมดเมื่อตอนเย็นนี้เองหลังจากที่พี่สามกลับมาถึงบ้านผม...ผม...ผมเสียใจจริง ๆ ครับ"

เสี่ยวเหลียนมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียด เขาดูไม่เหมือนคนเสแสร้งแกล้งทำ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจและความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอพอจะเดาได้ว่าเขาเองก็คงเป็นอีกหนึ่งเหยื่อของแผนการที่เห็นแก่ตัวของพี่สาวตัวเองเช่นกัน

"แล้วมาที่นี่ ต้องการจะบอกอะไรพวกเราอย่างนั้นเหรอ" ยายหลิวถามอย่างตรงไปตรงมา

หลี่เหว่ยเงยหน้าขึ้น สบตายายหลิวอย่างแน่วแน่ "ผมมาเพื่อรับปากครับคุณป้าว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนและจะเป็นคนจะจัดการเรื่องนี้เอง ผมจะไปพูดกับแม่และพี่สามให้เลิกล้มความคิดบ้าๆ นี่เสีย" เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย 

"ส่วนเรื่องแต่งงาน...คุณป้าวางใจได้เลยครับ ผมเห็นเสี่ยวเหลียนเป็นหลานสาวคนหนึ่ง ไม่มีทางคิดเกินเลยกับเธออย่างนั้นแน่นอน ผมจะหาทางจัดการหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งงานด้วยให้เร็วที่สุด เพื่อให้เรื่องทั้งหมดมันจบลง"

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและน่าเชื่อถือ หากเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกซาบซึ้งใจไปแล้ว แต่สำหรับเสี่ยวเหลียนแล้วนั้น เธอไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจ เพราะหากข่าวลือเป็นความจริง ก็เท่ากับว่ากำลังจะดึงผู้หญิงอีกคนที่ไมู่้เรื่องรู้ราวมาปกปิดตัวตนของเขา ซึ่งถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วเขาก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างจากพี่สาวสักเท่าไหร่หรอก

ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องนอนของหลิวซือก็เปิดออก ร่างของเด็กสาวอายุประมาณ 12 ปีวิ่งออกมาจากห้อง ดวงตาของเธอแดงก่ำ ใบหน้าตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด เธอคือหลี่เฟิน น้องสาวคนละพ่อของเสี่ยวเหลียน

"พี่เสี่ยวเหลียน" หลี่เฟินวิ่งตรงเข้ามาหาเสี่ยวเหลียนอย่างไม่ลังเล ก่อนจะโผเข้ากอดพี่สาวต่างสายเลือดที่เธอเพิ่งจะได้พบหน้ากันไม่นานไว้แน่น "พี่อย่าไปจากที่นี่นะ อย่าทิ้งฉันไปนะ"

การกระทำที่ไม่คาดคิดของหลี่เฟินทำให้ทุกคนในห้องตกตะลึงไปชั่วขณะ เสี่ยวเหลียนเองก็รู้สึกอึ้งไป เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเด็กสาวคนนี้นัก เพราะนับตั้งแต่ย้ายมา หลี่เฟินก็มักจะเก็บตัวและมองเธอด้วยสายตาที่หวาดระแวงอยู่เสมอ

"เกิดอะไรขึ้น" เสี่ยวเหลียนถามพลางลูบหลังปลอบโยนน้องสาวที่กำลังกลัวจนตัวสั่นเทา

"พ่อ...พ่อทะเลาะกับแม่เสียงดังมากเลย" หลี่เฟินพูดสะอื้น "พ่อบอกว่าแม่ไม่ให้เกียรติย่า หาว่าแม่เห็นคนนอกดีกว่าคนในครอบครัว...แล้วอาสามก็ฝากมาบอกว่า ถ้าพวกพี่ยังอยู่ที่นี่ต่อไป บ้านเราก็จะไม่มีวันสงบสุข ให้พ่อไล่พวกพี่ออกไปอยู่ที่อื่น"

คำพูดของเด็กสาวเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางห้องอีกครั้ง

หลี่เหว่ยมีสีหน้าตกใจ “ว่ายังไงนะ นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ" ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ตำหนิพี่สาวอยู่ในใจที่ไม่มีหัวคิดขนาดนี้

ยายหลิวไม่ได้แสดงอาการใบหน้าของท่านยังคงเรียบเฉย แต่แววตากลับเย็นเยียบลงหลายส่วน ท่านมองเลยไปยังประตูห้องนอนที่เปิดอยู่ เห็นหลิวซือยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่กล้าที่จะเดินออกมาเผชิญหน้ากับความจริง

วินาทีนั้นเอง การตัดสินใจที่เด็ดขาดก็ก่อตัวขึ้นในใจของหญิงชราผู้เป็นดั่งภูผา

"เสี่ยวเหลียน ไปเก็บของเถอะ กลับบ้านพวกเรากัน" เสียงของยายหลิวดังขึ้นมาราบเรียบแต่ทรงพลัง ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ท่านเป็นจุดเดียว

"คุณป้า" หลี่เหว่ยอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าเรื่องจะลุกลามบานปลายถึงขั้นนี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   19

    5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status