ย่าหลี่เหมือนจะตั้งสติได้ เป็นตาร้ายดียังไง ท่านก็ไม่มีวันยอมรับว่าลูกชายเป็นพวกนั้น ทั้งยังไม่มีวันยอมให้ใครมาพูดถึงลูกชายที่อนาคตกำลังไปได้สวยในทางไม่ดีด้วย
"แม่เสี่ยวเฟิง นี่คือวิธีที่คนบ้านหลิวตอบแทนพวกเราอย่างนั้นเหรอ มาอยู่แค่ไม่กี่วันก็ใส่ร้ายลูกชายฉัน หล่อนสั่งสอนลูกสาวให้ปฏิบัติกับผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ" ประโยคสุดท้ายท่านหันไปตวาดใส่ลูกสะใภ้ที่ยืนตัวลีบอยู่มุมห้อง
เพราะลูกชายแต่งงานกับลูกสะใภ้คนนี้มาตั้งแต่ที่หล่อนหนีซมซานมายังเมืองแห่งนี้ ในตอนแรกก็โกหกว่าเป็นหญิงสาวยังไม่แต่งงาน แต่เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนจึงมองออก ทำให้ต้องสารภาพว่าเคยแต่งงานทั้งยังมีลูกติด แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้หอบลูกมาเป็นภาระเพิ่ม
แต่เพราะลูกชายรักผู้หญิงคนนี้มาก ท่านเลยขัดไม่ได้ แต่นับตั้งแต่นั้นมา หลิวซือก็อยู่ในโอวาท ภายใต้ความกดขี่จากคนบ้านหลี่มาโดยตลอด อาศัยเพียงความรักของสามีที่มีให้กับถึงอยู่รอดได้ไปวันๆ
หลี่เจียงผู้เป็นเสาหลักของบ้านขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าคมคายที่คล้ำแดดจากการทำงานหนักในโรงงานเหล็กกล้าตอนนี้แดงก่ำไปด้วยความโกรธระคนอับอาย
เขาไม่ได้สนใจว่าใครถูกใครผิด สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียวคือความสงบสุขในบ้านกำลังถูกทำลาย และหน้าตาของเขาในฐานะผู้นำครอบครัวกำลังถูกหยามหมิ่น
"พอได้แล้ว" เขาตะคอกเสียงดัง "มีเรื่องอะไรทำไมไม่พูดจากันดี ๆ ต้องมาส่งเสียงเอะอะโวยวายให้ชาวบ้านเขาได้ยินกันทั้งหมู่บ้านเลยหรือยังไง"
เสี่ยวเหลียนยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ยายหลิว แม้ใบหน้าจะซีดเซียวทว่าแผ่นหลังกลับตั้งตรงไม่โค้งงอ สายตาของเธอประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเยือกเย็นราวกับผู้บัญชาการในสนามรบ ไม่ใช่เด็กสาวอายุ 15 ปี ที่เพิ่งรอดชีวิตจากการจมน้ำมาหมาดๆ นี่คือกระดานหมากใหม่ของเธอ และเธอกำลังอ่านเกมของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด
ย่าหลี่คือ ขุน ที่เอาแต่ใจและทรงอำนาจจอมปลอม อาศัยเพียงแค่ว่าตัวเองอาวุโส กดขี่ผู้อื่น พ่อเลี้ยงหลี่เจียงคือ เรือ ที่เดินตรงอย่างเดียว หูเบา เชื่อพวกพ้อง และยึดมั่นในศักดิ์ศรีของผู้ชายอย่างโง่งม ส่วนอาสามหลี่เซียน ม้า ที่เดินเฉียง ฉลาดแกมโกง รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และตอนนี้ 'ม้า' ตัวนั้นกำลังเล่นละครบทนางเอกผู้ถูกรังแกได้อย่างน่าสมเพช
"พี่ใหญ่ แม่คะ...ไม่ต้องพูดอะไรแล้วละค่ะ" อาสามกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่แฝงไว้ด้วยความเหนือกว่าอย่างมีชั้นเชิง มั่นใจว่ายังไงแม่กับพี่ชายก็ต้องเข้าข้างตัวเอง
เธอปรายตามองเสี่ยวเหลียนและยายหลิวอย่างดูแคลน "ฉันคงจะหวังดีผิดคน แม้ว่าจะพยายามหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้ แต่กันให้กับคนที่เขาไม่ต้องการ บางที...คนบางคนก็อาจจะพอใจกับชีวิตที่ต่ำต้อยของตัวเองจนมองไม่เห็นความหวังดีจากคนอื่น"
คำพูดของเธอเหมือนเข็มพิษที่เคลือบด้วยน้ำผึ้ง ไม่ได้หยาบคาย แต่กลับดูถูกเหยียดหยามได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
‘ต่ำต้อยอย่างนั้นเหรอ’ เสี่ยวเหลียนคิดในใจ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ‘การมีชีวิตอยู่เพื่อความฝันของตัวเองมันต่ำต้อยตรงไหนกัน ถ้าเทียบกับการมีชีวิตอยู่เพื่อปกปิดความลับอันน่ารังเกียจของคนในครอบครัว แบบไหนกันแน่ที่เรียกว่าต่ำต้อย’
"พ่อคะ"
เสี่ยวเหลียนตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน น้ำเสียงของเธอสงบนิ่งและชัดเจนจนน่าประหลาดใจ มันดึงความสนใจของทุกคนมาที่เธอได้ในทันที
"ฉันคิดว่าพวกเรากำลังหลงประเด็น เรื่องทั้งหมดนี้มีความเข้าใจผิดกันอยู่มากค่ะ"
หลี่เจียงเลิกคิ้ว "เข้าใจผิดอะไร อาสามก็ยืนอยู่ตรงนี้ เสื้อผ้าก็ยับย่นไปหมด จะบอกว่ามันเป็นความเข้าใจผิดได้ยังไง"
"เสื้อผ้าของอาสามยับก็จริง แต่อาจเป็นเพราะหล่อนพุ่งเข้ามาอย่างแรง แล้วฉันก็แค่ยกมือขึ้นป้องกันตัว" เสี่ยวเหลียนตอบอย่างใจเย็นราวกับกำลังอธิบายเรื่องดินฟ้าอากาศ "ฉันไม่ได้แตะต้องตัวอาสามแม้แต่ปลายเล็บ และไม่มีความคิดที่จะทำร้ายใคร อีกอย่างอย่าลืมสิคะว่าฉันกำลังป่วยอยู่ จะไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ไหนทำร้ายคนละคะ"
ตรรกะที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นทำให้หลี่เจียงถึงกับชะงักไป เขามองหน้าเสี่ยวเหลียนอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง
หลี่เซียนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นใจก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที "แล้วเรื่องที่สองยายหลานกล่าวหาใส่ร้ายฉันกับน้องสี่ล่ะ นั่นเป็นความเข้าใจผิดด้วยไหม พวกเธอพูดจาดูหมิ่นน้องชายฉัน ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทุกคนเองก็ได้ยินเต็มสองหู นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะคะพี่ใหญ่"
"กล่าวหาอย่างนั้นเหรอคะ" เสี่ยวเหลียนทวนคำอย่างใสซื่อ "ฉันกับยายแค่ตั้งข้อสังเกตตามความเป็นจริงเท่านั้นเองค่ะ อาสามบอกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี เป็นการหยิบยื่นอนาคตที่สดใสให้กับฉัน แต่ยายแค่สงสัยว่า...ถ้ามันดีขนาดนั้นจริง ๆ ทำไมโอกาสดี ๆ แบบนี้ถึงไม่ตกไปถึงลูกสาวของผู้จัดการโรงงาน หรือลูกสาวของหัวหน้าหน่วยงานที่อาเล็กทำงานอยู่ละคะ พวกเธอเหล่านั้นมีทั้งชาติตระกูลและการศึกษาที่เพียบพร้อม เหมาะสมกับอาเล็กที่เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่าเด็กกำพร้าพ่อจากชนบทอย่างฉันไม่ใช่เหรอ"
เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ ปล่อยให้คำถามของเธอลอยค้างอยู่ในอากาศ สร้างความเงียบที่น่าอึดอัดใจให้กับฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เรียบเรื่อยแต่เชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดโกน
"หรือว่า โอกาสที่ดีเลิศนี้...มันมีเงื่อนไขบางอย่างที่คนอื่นเขารับไม่ได้ มีเพียงเด็กสาวที่จนตรอกและไม่มีทางเลือกอย่างฉันเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นผู้รับมันไป"
"นี่หล่อน" ย่าหลี่โกรธจนหน้าเขียว เมื่อถูกเด็กเมื่อวานซืนต้อนจนให้จนมุม
ท่านไม่มีปัญญาที่จะโต้เถียงด้วยเหตุผลอีกต่อไป จึงหันไปใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่คิดว่าตนกุมอยู่ "ช่างปากกล้านักนะ อย่าลืมสิว่าพวกแกมากินนอนอยู่ในบ้านของใคร ถ้าไม่มีตระกูลหลี่ของฉันคอยให้ที่พักพิง ป่านนี้พวกแกสองคนยายหลานคงได้ไปนอนข้างถนนแล้ว คนไม่รู้จักบุญคุณคน"
นี่คือข้อกล่าวหาที่พวกเขาใช้เป็นอาวุธมาตลอด มันคือสิ่งที่ทำให้หลิวซือผู้เป็นแม่ต้องยอมจำนน และทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าสองชีวิตที่ย้ายเข้ามาใหม่
แต่ครั้งนี้...อาวุธชิ้นนั้นกำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเอง
ยายหลิวซึ่งยืนเงียบอยู่นาน ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ อย่างสง่างามราวกับต้นสนที่ยืนตระหง่านท้าทายพายุฝน ในมือของท่านถือห่อผ้าเก่าๆ ที่หยิบติดมือมาจากใต้หมอนเมื่อครู่นี้
"แม่เขยหลี่ คำว่าบุญคุณน่ะ อย่าได้เอามาพูดพร่ำเพรื่อให้มันเสื่อมราคาเลย" ยายหลิวเอ่ยเสียงเรียบ แต่ทุกคำพูดกลับหนักแน่นราวกับค้อนเหล็ก
ท่านค่อยๆ คลี่ห่อผ้าออกอย่างไม่รีบร้อน เผยให้เห็นธนบัตรจำนวนหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี "นับตั้งแต่วันแรกที่ฉันกับหลานสาวมาเหยียบที่นี่ ฉันได้มอบเงินจำนวน 15 หยวนให้กับลูกสาวไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
หลิวซือถึงกลับเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ ในใจนึกตำหนิที่ท่านพูดเรื่องเงิน ทั้งยังให้คนพวกนั้นรู้ว่ามีเงินมากมาย พวกคลั่งกลิ่นของเงินต่อไปคงอยู่ไม่สุขแน่
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว