ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนที่พัดโชยราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ บาระและเร็นยืนอยู่เบื้องหน้าประตูมิติที่เรืองรองด้วยแสงสีคราม ประตูที่นำไปสู่ภารกิจอันตรายเกินกว่าจินตนาการของเด็กนักเรียนธรรมดา ทั้งคู่หันมาสบตากัน ดวงตาฉายแววความแน่วแน่และกังวลในคราวเดียวกัน บาระยื่นมือออกไปจับมือของเร็น ความเย็นจากมือของเร็นที่สัมผัสผิวกายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นเท่าความรู้สึกตื่นเต้นที่ปะปนกับความกลัวในใจ พวกเขาพยักหน้าให้กันเบา ๆ ราวกับส่งสัญญาณสุดท้าย ก่อนจะก้าวผ่านความมืดมิดของประตูเข้าไปพร้อมกัน
ทันทีที่เท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็ไม่ใช่โลกที่คุ้นเคยอีกต่อไป แสงสีครามของประตูมิติพลันจางหายไปแทนที่ด้วยความมืดมิดและหนาวเย็นอันน่าขนลุก พวกเขาหลุดเข้ามายังปราสาทร้างเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน แสงจันทร์สีนวลส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างที่แตกหักและรอยร้าวบนกำแพง ลงมายังโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นและซากปรักหักพัง ลมกรรโชกพัดแรงจนเกิดเสียงหอนโหยหวนราวกับวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในปราสาทแห่งนี้ "ลมแรงจัง..." บาระเอ่ยขึ้น เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบถูกกลืนหายไปกับเสียงลมที่พัดผ่านร่าง เธอกอดตัวเองแน่นเพื่อคลายความหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามาในกระดูก เร็นไม่พูดอะไร เขาชู มีดอาคม ที่เรืองแสงจาง ๆ ไปด้านหน้า ดวงตาคมกวาดมองไปรอบทิศทางอย่างระแวดระวัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "พวกแกอยู่ไหน! ออกมาเดี๋ยวนี้!" เสียงของเขาดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน แต่ก็มีเพียงเสียงสะท้อนกลับมา และเสียงลมที่พัดแรงขึ้นราวกับจะเยาะเย้ยความพยายามของเขา ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้น ไม่มีเงาปีศาจตนใดโผล่ออกมาจากมุมมืด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านซากปรักหักพังและกระดูกเก่าแก่ที่เกลื่อนพื้น "หรือพวกมันจะไม่ได้อยู่ที่นี่...?" บาระพูดอย่างลังเล เธอเงยแขนขึ้นมามอง นาฬิกาอาคม ที่ข้อมือ หน้าปัดของนาฬิกาเป็นสีดำสนิท ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงเงาปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย ความผิดหวังฉายชัดในแววตาของเธอเล็กน้อย เร็นลดมีดลงแต่ยังคงอยู่ในท่าพร้อมรับมือ "งั้นเราลองไปดูรอบ ๆ กันเถอะ" เขาพูดพลางหยิบไฟฉายขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง แสงไฟสีเหลืองส่องสว่างนำทางไปข้างหน้า เผยให้เห็นภาพที่น่าขนลุกของโถงทางเดินที่ยาวเหยียดออกไป ความมืดมิดที่ปลายทางดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่งอย่าง ไม่มีทางออกที่ชัดเจน มีเพียงกำแพงหินที่ผุพังและเพดานที่พังถล่มลงมาเป็นบางส่วน เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังก้องไปทั่วความเงียบงันของปราสาท เสียงลมที่พัดผ่านซอกมุมต่าง ๆ สร้างเสียงหอนโหยหวนคล้ายเสียงครวญครางของบางสิ่ง ลมไม่ได้พัดมาเป็นระลอก แต่มันพัดอย่างต่อเนื่องและแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเสื้อผ้าของพวกเขาปลิวไสว ผนังปราสาทปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีดำสนิทที่เลื้อยพันกันเป็นร่างแห ราวกับเส้นเลือดดำที่หล่อเลี้ยงความตายของสถานที่แห่งนี้ กลิ่นอับชื้นของซากปรักหักพังและกลิ่นดินชื้น ๆ คละคลุ้งไปทั่วบรรยากาศ ทุกย่างก้าวของพวกเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรซ่อนอยู่ "ปราสาทนี้มัน... ให้ความรู้สึกแปลก ๆ นะ" บาระกระซิบ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย "มันไม่ใช่แค่ปราสาทร้างธรรมดาใช่ไหมเร็น?" เร็นหยุดเดิน เขาใช้ไฟฉายส่องไปที่รูปปั้นอัศวินไร้ศีรษะที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโถง รูปปั้นถูกปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวเข้มและฝุ่นหนาเตอะ "แน่นอน ไม่ใช่แค่ปราสาทร้างธรรมดา" เขาตอบเสียงเรียบ "สัญญาณนาฬิกาอาคมของเธอเงียบแปลว่าพวกมันไม่ได้อยู่ใกล้เราในระยะที่นาฬิกาจับได้ แต่ฉันรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง... มันแผ่ซ่านไปทั่วที่นี่" เขาหันไปมองบาระ ใบหน้าของเขาฉายแววกังวล "บางทีพวกมันอาจจะซ่อนตัวอยู่ลึกกว่าที่เราคิด หรือ... พวกมันอาจจะซ่อนตัวในรูปแบบที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า" บาระขมวดคิ้ว "เป็นไปได้เหรอ? เงาปีศาจสามารถซ่อนตัวได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?" เธอพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เร็นพูด "ไม่แน่ แต่มันเป็นไปได้ ถ้าพวกมันพัฒนาตัวเองได้จริง ๆ" เร็นตอบ "เราต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม" พวกเขาเดินสำรวจต่อไป ยังคงไร้วี่แววของเงาปีศาจ มีเพียงความมืดมิดและเสียงลมที่โหยหวนราวกับจะขับไล่พวกเขาออกไป บาระรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากเงามืดรอบตัว แม้จะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ เธอจับมือของเร็นแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จู่ ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังครืนครานขึ้นมาจากภายนอก พร้อมกับสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงหยดน้ำฝนกระทบหลังคาและกำแพงที่พังทลาย สร้างเสียงคล้ายกับการเดินเท้าของกองทัพเงาที่กำลังเข้ามาใกล้ "พายุเข้า!" บาระอุทาน "แย่แล้ว... ถ้าฝนตกหนักแบบนี้ การมองเห็นก็จะยิ่งลดลง" เร็นพูด ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ทันใดนั้นเอง แสงไฟฉายของเร็นก็เริ่มกระพริบ และค่อย ๆ หรี่ลงจนดับไปในที่สุด ความมืดมิดเข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่างรวดเร็วจนบาระร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ "เร็น! ไฟฉาย!" บาระพยายามมองผ่านความมืด แต่ก็เห็นเพียงความมืดมิดที่กลืนกินทุกสิ่ง "แบตหมดเหรอเนี่ย!" เร็นสบถด้วยความหงุดหงิด "ให้ตายเถอะ!" เขาพยายามเขย่าไฟฉาย แต่ก็ไร้ประโยชน์ ในขณะที่ทั้งสองกำลังตกอยู่ในความมืดมิดและไร้ที่พึ่ง สัญญาณบน นาฬิกาอาคมของบาระ ก็พลันเริ่มกระพริบเป็นสีแดงจ้า เสียงเตือนดังรัวอย่างบ้าคลั่ง และเข็มนาฬิกาก็หมุนวนอย่างรวดเร็วราวกับกำลังชี้ไปยังสิ่งที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น "เร็น! สัญญาณมาแล้ว! มันอยู่ใกล้ ๆ เรานี่เอง!" บาระตะโกน เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว แทบจะในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ลมก็หยุดพัดโดยฉับพลัน ความเงียบเข้าปกคลุมทุกสิ่ง เสียงฝนข้างนอกก็เงียบไปเช่นกัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งลง มีเพียงเสียงหัวใจของบาระและเร็นที่เต้นระรัวแข่งกับเสียงสัญญาณเตือนของนาฬิกาอาคม ความเงียบที่น่าขนลุกนี้กินเวลานานราวกับชั่วนิรันดร์ ก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะเริ่มก่อตัวขึ้นจากมุมมืดที่ลึกที่สุดของโถงทางเดิน เงาเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ สูงใหญ่กว่าพวกเขาถึงสองเท่า ดวงตาสีแดงฉานสองคู่ฉายแววลึกลับออกมาจากความมืด มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีถึงสามตัวที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีเสียงลมหายใจ มีเพียงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาจากพวกมัน และแรงกดดันที่ทำให้บาระและเร็นรู้สึกเหมือนถูกบดขยี้ "นั่นไง... พวกมัน" เร็นกระซิบ มือของเขากำมีดอาคมแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน "เตรียมตัวนะบาระ!" บาระพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เธอหยิบ ขวดกักเก็บวิญญาณ ออกมาจากกระเป๋า เตรียมพร้อมที่จะร่ายคาถา ดวงตาของเธอจดจ้องไปที่เงาปีศาจทั้งสามที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ "ไม่คิดเลยว่าจะเจอเร็วขนาดนี้..." บาระพึมพำ น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที เมื่อความกลัวถูกแทนที่ด้วยความตั้งใจที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ เงาปีศาจตัวแรกพุ่งเข้าโจมตีด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เร็นหลบได้หวุดหวิด มีดอาคมในมือของเขาสะบัดไปในอากาศ สร้างเสียงหวีดหวิว "พวกมันเร็วกว่าที่เราคิด!" เร็นตะโกนบอกบาระขณะที่เขาต้องหลบการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า "บาระ หาหัวมันให้เจอ!" บาระพยายามใช้แสงจากนาฬิกาอาคมที่กระพริบระบุตำแหน่งเพื่อมองหา "หัว" ของเงาปีศาจ นาฬิกาไม่ได้แค่เตือนว่าอยู่ใกล้ แต่ยังระบุตำแหน่งของจุดอ่อนได้ด้วย เธอกระจายพลังอาคมเล็กน้อยไปที่นาฬิกาเพื่อให้มันทำงานได้ดีขึ้น แสงสีแดงที่เคยกระพริบอย่างบ้าคลั่งกลับเปล่งประกายคงที่พร้อมกับเส้นแสงบาง ๆ ที่ชี้ไปยังจุดหนึ่งบนร่างกายของเงาปีศาจแต่ละตน "เร็น! ทางซ้าย! ตรงไหล่มัน!" บาระตะโกนบอกทิศทาง เร็นไม่รอช้า เขาพุ่งตัวเข้าไปใกล้เงาปีศาจตามที่บาระบอก มีดอาคมในมือของเขาส่องประกายสีเงินวูบวาบในความมืด เขาแทงสวนเข้าไปที่จุดที่บาระบอกอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ฉัวะ! เสียงคล้ายผ้าถูกกรีดดังขึ้น ร่างของเงาปีศาจพลันสั่นสะท้าน แสงสีดำทะลักออกมาจากรอยแผลที่ถูกแทง ก่อนที่ร่างกายของมันจะเริ่มแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และหายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงดวงวิญญาณสีเทาหม่นที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ "จัดการแล้ว! บาระ! เร็วเข้า!" เร็นตะโกนบอกขณะที่เขากำลังรับมือกับเงาปีศาจอีกสองตัวที่เข้ามาโจมตีพร้อมกัน บาระไม่รอช้า เธอเปิดฝา ขวดกักเก็บวิญญาณ ออก แสงสีม่วงอ่อน ๆ เปล่งออกมาจากปากขวด เธอชูขวดขึ้นไปในอากาศ พลางเริ่มร่ายคาถาด้วยเสียงที่มั่นคงและชัดเจน: "โอ้ ดวงวิญญาณอันเร่ร่อน บัดนี้จงกลับคืนสู่ที่พำนัก... ด้วยอำนาจแห่งอาคม จงถูกกักเก็บ! บัดนี้!" ทันทีที่คาถาสิ้นสุดลง แสงสีม่วงจากขวดก็พุ่งออกไปโอบล้อมดวงวิญญาณสีเทาหม่นนั้น ดวงวิญญาณดูเหมือนจะพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังดูดจากขวดได้ มันถูกดูดเข้าไปในขวดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฝาขวดจะปิดลงเองอย่างแน่นหนา บาระถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เธอเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก และมันก็สำเร็จ "เหลืออีกสองตัว!" เร็นตะโกนเตือน ขณะที่เขาต้องใช้มีดป้องกันการโจมตีจากเงาปีศาจทั้งสองตัวที่กำลังรุมเร้า"โอเค เร็น! มันกำลังจะโจมตีอีกแล้ว!" บาระตะโกน เสียงของเธอแข็งขึ้นกว่าเดิม แม้จะยังมีความกังวลฉายชัดในแววตา เธอกดนาฬิกาอาคมบนข้อมืออย่างรุนแรง พยายามบีบเค้นพลังงานที่เหลือเพียงน้อยนิดให้มันแสดงผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด แสงสีเขียวอ่อนจากนาฬิกากระพริบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับหัวใจที่กำลังเต้นแรงก่อนจะหยุดนิ่งไปตลอดกาลเงาปีศาจผู้เฝ้าประตูยกแขนข้างหนึ่งขึ้นช้า ๆ แขนที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมนั้นบิดเบี้ยวผิดรูป ยิ่งมันขยับ แรงกดดันในอากาศก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนบาระรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก มันส่งเสียงคำรามก้องกังวานไปทั่วปราสาท เสียงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเสียง แต่เป็นคลื่นพลังงานที่พุ่งเข้าใส่พวกเขาโดยตรง แรงปะทะทำให้บาระเซถอยหลังไปหลายก้าว"มันจะปล่อยพลังงานอีกแล้ว! เร็น! เข้าไป!" บาระตะโกนลั่น เมื่อนาฬิกาอาคมของเธอพลันส่งแสงสีเขียวเข้มจ้าขึ้นมาเพียงชั่วเสี้ยววินาที พร้อมกับเส้นแสงบาง ๆ ที่ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนอกของปีศาจ เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็จางหายไปเร็นรู้ดีว่านี่คือโอกาสเดียว เขาไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบกระโดดพุ่งตัวออกไปจากที่กำบังทันทีราวกับลูกศรที่หลุดจากคันธนู มีดอาคมในมือของเขาส่องประกาย
"เร็น! ทางขวา! หัวมันอยู่ตรงอก!" บาระตะโกน เสียงของเธอเกือบจะถูกกลืนหายไปกับเสียงของเงาปีศาจที่กำลังส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ เสียงที่ฟังดูเหมือนลมหายใจที่เย็นยะเยือกของสัตว์ร้าย เร็นพุ่งตัวหลบเงาปีศาจตัวหนึ่งที่กวาดแขนมาหมายจะฟาดเขาให้แหลกคามือ แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเผยให้เห็นถึงเงาปีศาจที่สองที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เร็นใช้มีดอาคมปัดป้องอย่างรวดเร็ว เสียงมีดกระทบกับความว่างเปล่าของเงาปีศาจดัง ฉะ! ราวกับฟันลงไปในอากาศ"มันเร็วมาก! สองตัวพร้อมกันแบบนี้...!" เร็นตอบกลับไป มือของเขาที่กำมีดอาคมแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนบ่งบอกถึงความเครียดที่เขากำลังเผชิญอยู่ เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผากของเขาบาระพยายามเพ่งมองนาฬิกาอาคมอีกครั้ง แสงสีแดงยังคงสว่างจ้า แต่จุดที่แสดงตำแหน่งของ "หัว" ของเงาปีศาจกลับกระพริบไม่หยุด เหมือนมันกำลังเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา "มันเปลี่ยนตำแหน่งจุดอ่อน! เร็น ระวัง! มันพยายามหลอกเรา!"เงาปีศาจตัวที่สองฉวยโอกาสที่เร็นเสียจังหวะ พุ่งเข้าใส่หมายจะตะปบเขา แต่เร็นพลิกตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เขากลิ้งตัวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง ก่อนจะยัน
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนที่พัดโชยราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ บาระและเร็นยืนอยู่เบื้องหน้าประตูมิติที่เรืองรองด้วยแสงสีคราม ประตูที่นำไปสู่ภารกิจอันตรายเกินกว่าจินตนาการของเด็กนักเรียนธรรมดา ทั้งคู่หันมาสบตากัน ดวงตาฉายแววความแน่วแน่และกังวลในคราวเดียวกัน บาระยื่นมือออกไปจับมือของเร็น ความเย็นจากมือของเร็นที่สัมผัสผิวกายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นเท่าความรู้สึกตื่นเต้นที่ปะปนกับความกลัวในใจ พวกเขาพยักหน้าให้กันเบา ๆ ราวกับส่งสัญญาณสุดท้าย ก่อนจะก้าวผ่านความมืดมิดของประตูเข้าไปพร้อมกันทันทีที่เท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็ไม่ใช่โลกที่คุ้นเคยอีกต่อไป แสงสีครามของประตูมิติพลันจางหายไปแทนที่ด้วยความมืดมิดและหนาวเย็นอันน่าขนลุก พวกเขาหลุดเข้ามายังปราสาทร้างเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน แสงจันทร์สีนวลส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างที่แตกหักและรอยร้าวบนกำแพง ลงมายังโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นและซากปรักหักพัง ลมกรรโชกพัดแรงจนเกิดเสียงหอนโหยหวนราวกับวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในปราสาทแห่งนี้"ลมแรงจัง..." บาระเอ่ยขึ้น เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบถูกกลืนหายไปกับเสียงลมที่พัดผ่านร่าง เธอกอดตัวเองแน