Mag-log in
ยูเมะและเทนชิยืนประจันหน้ากัน กุมมือกันแน่นราวกับยึดเหนี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะก้าวข้ามผ่านประตูมิติที่เรืองแสงสีม่วงอย่างไม่ลังเล ทันทีที่เท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นแข็ง ร่างกายก็ถูกดึงดูดเข้าสู่สุสานต้องสาปแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลและถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
ลมเย็นยะเยือกที่พัดพามาปะทะร่าง ทำให้ขนแขนของยูเมะลุกชัน เธอกระชับมือเทนชิแน่นขึ้นอีก ดวงตากลมโตของเธอกวาดมองไปรอบๆ สุสานเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหลุมศพเก่าแก่ผุพังเรียงรายเป็นทิวแถวจนสุดลูกหูลูกตา บรรจบกับป่าไม้หนาทึบที่ดูราวกับถูกกลืนกินโดยเงามืดมิด "ที่นี่มัน...หลอนชะมัด" ยูเมะเอ่ยเสียงสั่นพร่าขณะลูบแขนตัวเองเบาๆ เพื่อไล่ความรู้สึกขนลุก เทนชิไม่ตอบ แต่หยิบกล้องส่องทางไกลคู่ใจขึ้นมาแนบตา ส่องไปรอบๆ อย่างใจเย็น แม้ใจจริงเขาจะรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจไม่ต่างกัน "มันไปซ่อนอยู่ที่ไหนกันนะ" เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามมองหาเบาะแสของเงาปีศาจ แต่ก็ไร้วี่แวว "งั้นเราไปดูที่โบสถ์ตรงนั้นไหม? เผื่อมีคนอยู่" ยูเมะชี้ไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก แสงไฟสีเหลืองนวลลิบหรี่ลอดออกมาจากหน้าต่างบานเล็กๆ อย่างน่าประหลาดใจ เทนชิหรี่ตามอง "ที่แบบนี้มีคนด้วยเหรอ? ไม่เคยได้ยินว่ามีใครอาศัยอยู่ในสุสานนะ" เขาตั้งข้อสังเกตอย่างสงสัย "มีไฟก็ต้องมีคนแหละน่า" ยูเมะยักไหล่ เธอไม่ได้ใส่ใจกับความสงสัยของเทนชิมากนัก เพราะความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจทำให้เธออยากเจอสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ซากศพ เทนชิถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าถ้าขัดใจยูเมะตอนนี้ คงโดนงอนไปอีกนาน "ก็ได้...งั้นลองไปดูแล้วกัน" เขาเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะกระชับมือยูเมะให้แน่นขึ้น และเริ่มก้าวเดินไปตามทางเดินแคบๆ ที่ทอดยาวไปยังโบสถ์แห่งนั้น ระหว่างทางที่ทั้งคู่เดินไป เสียงลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นอย่างผิดปกติ มันพัดโหมกระหน่ำจนรู้สึกราวกับมีพลังงานบางอย่างกำลังพยายามผลักไสไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้โบสถ์ เหมือนมีกำแพงล่องหนพยายามกั้นขวางทุกย่างก้าว กิ่งไม้แห้งเสียดสีกันเป็นเสียงแหลมบาดหู ราวกับเสียงร้องของวิญญาณที่ถูกทรมาน ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! จู่ๆ เสียงนาฬิกาอาคมที่ข้อมือของยูเมะก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สัญญาณเตือนรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเงาดำทะมึนหลายสิบตัวพุ่งทะยานขึ้นมาจากหลุมศพที่อยู่รอบตัวพวกเขาราวกับน้ำพุปีศาจ พวกมันพุ่งตรงมายังพวกเขาทั้งคู่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรุงกลัว "พวกมันมาแล้ว!!" ยูเมะตะโกนเตือนเสียงหลง ร่างกายแข็งทื่อด้วยความตกใจ "ยูเมะ หลบไป!!" เทนชิไม่รอช้า เขาดันร่างเล็กของยูเมะไปไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมกับชักมีดอาคมสีเงินวาววับออกมาจากซองหนังข้างเอว และแทงเข้ากลางหัวของเงาปีศาจตัวแรกที่พุ่งเข้ามาใกล้ที่สุด ร่างของมันแตกสลายกลายเป็นละอองดำมืดในพริบตา ยูเมะตั้งสติได้ รีบร่ายคาถาป้องกันพร้อมกับเปิดขวดกักเก็บวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือ ทันทีที่เงาปีศาจแตกสลาย ดวงวิญญาณสีเทาหม่นก็ลอยออกมา เธอบังคับให้มันพุ่งเข้าสู่ขวดอย่างรวดเร็ว "ก็ไม่เห็นเท่าไหร่เลยนี่หว่า" เทนชิเอ่ยอย่างประมาทเล็กน้อย เขาปักมีดเข้ากลางหัวเงาปีศาจอีกตัวที่เข้ามาใกล้ ก่อนจะถอนมีดออกมาอย่างคล่องแคล่ว แต่เทนชิยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค ยูเมะก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อมองไปยังหลุมศพนับร้อยที่รายล้อมพวกเขา รอบข้างกลายเป็นทะเลแห่งเงาปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินไม่หยุดหย่อน พวกมันมีจำนวนมหาศาลจนแทบมองไม่เห็นพื้นดิน "เทนชิ!! มันมาอีกแล้ว! คราวนี้เป็นร้อยๆ เลย!!" "ให้ตายสิ! ทำไมมันเยอะแบบนี้วะ!!" เทนชิสบถออกมาด้วยความตกใจ เขาเริ่มออกแรงไล่แทงเงาปีศาจตัวแล้วตัวเล่าอย่างบ้าคลั่ง มีดอาคมในมือของเขาสะบัดไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเขาจะแทงไปกี่ตัว เงาปีศาจก็ยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อนจากทุกทิศทุกทาง จนเขาเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่กัดกินพลังกาย ยูเมะเองก็ไม่ต่างกัน เธอต้องร่ายคาถาไม่หยุดหย่อน ดวงวิญญาณของเงาปีศาจถูกดูดเข้าสู่ขวดกักเก็บวิญญาณอย่างต่อเนื่องจนมันเริ่มหนักอึ้ง เธอรู้สึกเหมือนพลังเวทของเธอกำลังถูกดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว "เราไม่ไหวแน่แบบนี้...ไม่หมดสักที!" ยูเมะร้องออกมาเสียงสั่น เธอพยายามกวาดตาหาทางหนี แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางออก "เมื่อไหร่จะหมดสักที!" เทนชิเองก็เอ่ยอย่างอ่อนแรง ใบหน้าเขาซีดเผือดจากการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้น และในจังหวะที่ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำ ทำให้เขาลดความระมัดระวังลง เงาปีศาจตัวหนึ่งอาศัยจังหวะนั้น พุ่งเข้าใส่เขาจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมคมของมันจ้องจะฉีกกระชากร่างของเทนชิ "ระวัง เทนชิ!!" เสียงตะโกนของยูเมะดังขึ้นอย่างสิ้นหวัง ปัก! แต่ก่อนที่เงาปีศาจจะเข้าถึงตัวเทนชิ ลูกคันธนูสีเงินบริสุทธิ์ก็พุ่งทะลุความมืดเข้ามา ปักเข้ากลางหัวของเงาปีศาจตัวนั้นอย่างแม่นยำ ร่างของมันสลายไปในทันที พร้อมกับแสงสว่างสีขาวนวลที่ส่องวาบไปทั่วบริเวณ แสงนั้นเจิดจ้าเสียจนเหล่าเงาปีศาจที่เหลืออยู่ต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและถอยร่นไปด้านหลังราวกับถูกเผาไหม้ ยูเมะและเทนชิที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด หันมองหน้ากันด้วยความงุนงง "คันธนูมาจากไหนน่ะ?" เทนชิพึมพำ "แล้วแสงสว่างนั่นอีก...มาจากไหนกัน?" ยูเมะมองไปรอบๆ พยายามหาที่มาของแสง ขณะที่พวกเขากำลังสับสน ประตูไม้เก่าแก่ของโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างของแม่ชีสูงวัยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น ในมือของเธอนั้นถือคันธนูสีเงินอันงดงามที่กำลังเรืองแสงจางๆ "มาทางนี้เถอะเด็กๆ ก่อนที่พวกมันจะฟื้นตัว!" แม่ชีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว แต่แฝงไว้ด้วยความเมตตา ยูเมะและเทนชิมองเห็นเงาปีศาจที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวและเริ่มรวมกลุ่มกันอีกครั้งเมื่อแสงสว่างค่อยๆ หายไป พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจแม่ชีคนนั้น เทนชิกระชับมือยูเมะแน่นขึ้นอีกครั้ง และทั้งคู่ก็รีบวิ่งไปยังโบสถ์ทันทีโดยไม่ลังเล แม้จะยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมายในใจแสงสีฟ้าอ่อนนวลตาห่อหุ้มร่างของ ฮานา และ โกฮัน ลอยขึ้นช้าๆ ผ่านโพรงถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยเรืองแสง พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานบริสุทธิ์ของโลกใต้บาดาลที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในกาย พลังงานที่ได้จากการฝึกฝนอย่างหนักในห้องต่างๆ ภายใต้การชี้แนะของเหล่าวิญญาณภูมิ “เรากลับมาแล้วฮานา…” โกฮันพึมพำ ดวงตาของเขาฉายแววความมุ่งมั่น “ใช่… ถึงเวลาที่เราจะต้องทำในสิ่งที่ต้องทำแล้วโกฮัน” ฮานาตอบ เสียงของเธอหนักแน่น ไม่มีความลังเลอีกต่อไป ผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดผืนในมือของเธอเปล่งแสงสีเทาอ่อนๆ ที่แสดงถึงพลังแห่งแสงและความมืดที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อร่างของพวกเขาพ้นจากปากโพรงถ้ำ แสงแดดที่เจิดจ้าก็สาดส่องกระทบดวงตา ทำให้พวกเขาต้องหรี่ตาลง สวนสนุกร้างที่เคยดูมืดมิดและน่ากลัว บัดนี้กลับมีแสงสว่างสลัวๆ ส่องเข้ามาจากด้านบน เผยให้เห็นซากปรักหักพังที่น่าเศร้าและบรรยากาศที่เงียบงันราวกับถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ “พวกเจ้ากลับมาแล้ว…” เสียงใสราวระฆังแก้วของ ภูติแห่งวารี ดังขึ้น เบื้องหน้าพวกเขา ภูติแห่งวารีกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดิน รายล้อมด้วยพลังงานแสงสีฟ้าอ่อนโยน “ท่านภูติแห่งวารี!” ฮานาและโกฮ
ฮานาและโกฮันก้าวเข้าสู่ ห้องแห่งการควบคุม ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นี่คือบททดสอบสุดท้ายของการฝึกฝนในโลกใต้บาดาล แสงภายในห้องนี้แตกต่างจากทุกห้องที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แสงสีเดียว แต่เป็นแสงสีขาวดำที่สลับกันไปมาอย่างรวดเร็วราวกับชีพจรของจักรวาล พื้นห้องเป็นเหมือนตารางหมากรุกขนาดใหญ่ที่ช่องสี่เหลี่ยมสีขาวและดำเคลื่อนไหวและสลับตำแหน่งกันไม่หยุด กำแพงห้องทอดยาวขึ้นไปสูงลิบตาจนมองไม่เห็นเพดาน และมีกระแสพลังงานที่มองไม่เห็นไหลวนไปมา ทำให้รู้สึกถึงความสมดุลที่เปราะบางและพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ บรรยากาศเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของแสงและเงาที่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดและกดดัน “ห้องนี้… มันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ฮานา” โกฮันกระซิบเสียงแผ่ว เขากำมีดอาคมแน่น แสงสีเทาที่เปล่งออกมาจากผ้ายันต์และมีดอาคมของพวกเขาส่องสว่างตัดกับแสงขาวดำในห้อง “ใช่… เหมือนมันกำลังเตือนว่าทุกอย่างมันต้องอยู่ในความสมดุล” ฮานาตอบ เธอพยายามตั้งสติ ผ้ายันต์ในมือของเธอกำแน่น ทันใดนั้นเอง! แสงสีขาวดำที่สลับกันไปมาก็พลันรวมตัวกันเป็นร่างโปร่งแสงสีเทาอ่อน รูปร่างของเขาดูคล้ายชายชราผู้ทรงภูมิ มีเคราย
ฮานาและโกฮันก้าวเข้าสู่ ห้องแห่งการแยกสมาธิ ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นและความกังวลที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แสงภายในห้องนี้แตกต่างออกไปอีกครั้ง ที่นี่มืดมิดเกือบสนิท มีเพียงแสงสลัวๆ สีฟ้าอมเขียวคล้ายแสงออโรร่าที่เต้นระริกบนเพดานและผนังห้อง ทำให้เกิดเงาที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว พื้นห้องเต็มไปด้วยแท่นหินเล็กๆ นับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่ไม่เป็นระเบียบ แต่ละแท่นมีอักขระโบราณที่ส่องแสงริบหรี่จารึกไว้ เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่สามารถจับใจความได้ดังแว่วมาเป็นระยะๆ ชวนให้รู้สึกรบกวนสมาธิ “ห้องนี้ดูประหลาดกว่าห้องอื่นอีกนะฮานา” โกฮันพึมพำ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง มีดอาคมในมือของเขาส่องแสงสีเทาอ่อนๆ “ใช่… บรรยากาศมันชวนให้รู้สึกสับสนยังไงก็ไม่รู้” ฮานาตอบ เธอพยายามตั้งสติ ผ้ายันต์ในมือของเธอเปล่งแสงสีเทาเช่นกัน ทันใดนั้นเอง! แสงสลัวๆ บนเพดานก็พลันรวมตัวกันเป็นร่างโปร่งแสงสีม่วงเข้ม รูปร่างของเขาดูสง่างามคล้ายนักปราชญ์โบราณ เขามีผมสีขาวยาวสลวยผูกเป็นมวยไว้ด้านหลัง ดวงตาของเขาสุกใสราวกับดวงดาวที่มองเห็นทะลุปรุโปร่งทุกสิ่ง ในมือถือคัมภีร์เล่มเก่าที่เปล่งแสง
ฮานาและโกฮันก้าวเข้าสู่ ห้องแห่งการแยกสัมผัส ท่ามกลางความงุนงง แสงสว่างภายในห้องนี้ดูแปลกประหลาด มันเป็นแสงสีรุ้งที่หมุนวนไปมาอย่างช้าๆ ทำให้ภาพที่เห็นบิดเบี้ยวและพร่าเลือน ผนังห้องทำจากวัสดุโปร่งแสงที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร ทุกอย่างในห้องดูเลือนลางและไม่แน่นอน กลิ่นหอมแปลกๆ ลอยคละคลุ้งในอากาศ ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มและมึนงง “นี่มัน… ห้องอะไรกันเนี่ย?” ฮานาพึมพำ เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเมื่อมองแสงสีรุ้งที่หมุนวนไม่หยุด “ฉันก็ไม่แน่ใจฮานา… แต่บรรยากาศมันประหลาดมาก” โกฮันตอบ เสียงของเขามีอาการมึนงงเล็กน้อย เขากำมีดอาคมแน่น พยายามตั้งสติ ทันใดนั้นเอง! แสงสีรุ้งก็พลันรวมตัวกันเป็นร่างโปร่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างคล้ายหญิงสาวงดงามราวกับนางฟ้า เธอมีปีกสีรุ้งโปร่งแสงขนาดใหญ่ ผมยาวสลวยสีเงินระยิบระยับ ดวงตาของเธอเป็นสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้าไร้เมฆ และมีรัศมีอ่อนโยนแผ่ออกมาจากตัวเธอ “ยินดีต้อนรับ… ผู้กล้าทั้งสอง” เสียงใสราวกับเสียงกระดิ่งแก้วดังขึ้นในห้อง “ข้าคือ วิญญาณแห่งดารา ผู้พิทักษ์ห้องแห่งการแยกสัมผัส… ข้าจะทดสอบความสามารถในการแยกแยะของพวกเจ้า… ทั้งการแยกแยะประสาทสัมผัส… และการแยกแ
ฮานาและโกฮันก้าวเข้าสู่ ห้องแห่งพละกำลัง ด้วยความตื่นเต้นระคนความเหนื่อยล้าจากการฝึกฝนในห้องแห่งความเร็ว แสงสว่างภายในห้องนี้แตกต่างจากห้องก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ที่นี่สว่างไสวด้วยแสงสีส้มอมแดงที่ดูอบอุ่นและมั่นคง ผนังห้องเป็นหินแกรนิตสีเข้มแข็งแกร่ง มีรอยจารึกรูปค้อนและขวานโบราณประดับอยู่ทั่วไป กลิ่นดินและแร่ธาตุที่คุ้นเคยในโลกใต้บาดาลกลับเข้มข้นขึ้นในห้องนี้ ให้ความรู้สึกดิบและทรงพลัง “ดูเหมือนว่าห้องนี้จะไม่ได้เน้นความเร็วแล้วนะฮานา” โกฮันกล่าว เขากำหมัดแน่น รู้สึกถึงพละกำลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายหลังจากได้รับการเยียวยาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ “ฉันก็ว่างั้น… บรรยากาศมันต่างกันลิบลับเลย” ฮานาตอบพลางกวาดตามองไปรอบๆ เธอยกผ้ายันต์ในมือขึ้น มันเปล่งแสงสีขาวนวลตัดกับแสงสีส้มอมแดงของห้อง ทันใดนั้นเอง! เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นราวกับแผ่นดินไหวก็ดังขึ้นมาจากมุมมืดของห้อง ร่างสูงใหญ่กำยำปรากฏตัวขึ้นช้าๆ มันเป็นร่างโปร่งแสงสีน้ำตาลเข้ม มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผมของเขาสั้นเกรียน ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราดกดำ ดวงตาคมกริบราวกับหินผา ในมือถือค้อนขนาดมหึมาที่ดูหนักอึ้ง “ยินดีต้อนรับ… ผู้กล้าทั้งสอง” เ
แสงสีฟ้าอ่อนนุ่มนวลจากแร่ธาตุเรืองแสงส่องสว่างไปทั่วโถงถ้ำขนาดใหญ่ใน โลกใต้บาดาล ฮานา และ โกฮัน ยืนอยู่เบื้องหน้าทางเข้าที่สลักลวดลายวิจิตรบรรจง ด้านบนของทางเข้ามีอักขระโบราณเรืองแสงเขียนไว้ว่า "ห้องแห่งการฝึกฝน" พลังงานบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำให้ร่างกายของพวกเขาสดชื่น แต่จิตใจก็ยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและกังวล “เอาล่ะเด็กๆ” ภูติแห่งวารี กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความจริงจัง “นี่คือสถานที่ที่พวกเจ้าจะฝึกฝนพลัง… และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า” ฮานาก้มมองผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ผืนในมือที่ตอนนี้กลับมาเป็นสีขาวบริสุทธิ์อีกครั้ง “เราต้องควบคุมพลังของผ้ายันต์ที่ถูกแปดเปื้อนใช่ไหมคะ?” “ใช่แล้ว” ภูติแห่งวารีพยักหน้า “ผ้ายันต์เหล่านั้นได้ดูดซับพลังงานทั้งสองด้าน… หากพวกเจ้าสามารถควบคุมสมดุลของแสงและความมืดในตัวพวกมันได้… พวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างแท้จริง” โกฮันมองเข้าไปในความมืดมิดของทางเข้าห้องฝึกฝน “แล้วเราต้องทำอะไรในนั้นบ้างครับ?” “ห้องฝึกฝนแห่งนี้แบ่งออกเป็นห้าส่วน แต่ละส่วนจะทดสอบความสามารถที่แตกต่างกัน” ภูติแห่งวารีอธิบาย “และใ







