โครม!
ประตูไม้บานหนาของโบสถ์ถูกปิดลงอย่างรวดเร็วโดยแม่ชี ทันทีที่เสียงบานประตูไม้กระแทกเข้ากับวงกบดังสนั่น ราวกับม่านพลังงานที่มองไม่เห็นได้ถูกยกขึ้น แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยวิ่งผ่านพื้นโบสถ์ ทำให้ยูเมะและเทนชิต้องทรงตัว เงาปีศาจนับร้อยที่เคยโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกพลันหยุดชะงัก พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปในความมืดมิดราวกับหมอกควัน ถูกขับไล่ด้วยพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น "พวกมันหายไปหมดเลย...ทำไมล่ะคะ?" ยูเมะเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ดวงตาของเธอฉายแววไม่เข้าใจเมื่อหันไปมองหน้าเทนชิ เทนชิเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของยูเมะ เขาเองก็งุนงงไม่แพ้กันว่าพลังงานอะไรที่ทำให้เงาปีศาจจำนวนมหาศาลต้องถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว แม่ชีมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะไม้เก่าแก่กลางห้อง ยกถ้วยน้ำชาดินเผามาสองใบ รินน้ำชาอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นให้ยูเมะและเทนชิ "พวกมันไม่กล้าเข้ามาที่นี่หรอกจ้ะ" แม่ชีเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความมั่นใจ เทนชิรับถ้วยน้ำชามาถือไว้ ความอุ่นของถ้วยช่วยให้มือที่สั่นเทาจากความตื่นเต้นและเหนื่อยล้าคลายลงเล็กน้อย "ทำไมล่ะครับ? แค่โบสถ์ธรรมดาทำไมถึงไล่ปีศาจได้?" "ก็เพราะที่นี่เป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะจ๊ะ" แม่ชีตอบ ยูเมะแทบสำลักน้ำชา เธอหันไปมองเทนชิอย่างไม่อยากจะเชื่อ "แค่นี้เองเหรอคะ? โบสถ์ธรรมดาๆ ที่ไหนก็ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอคะ?" แม่ชีหัวเราะเบาๆ ดวงตาอบอุ่นมองยูเมะอย่างเอ็นดู "มันก็ไม่ใช่แค่นี้หรอกจ้ะ ลองดูนั่นสิ" แม่ชีเอ่ยพลางชี้ไปยังไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์ ซึ่งสูงเสียดเพดาน ฐานของมันถูกประดับด้วยคริสตัลสีมรกตขนาดใหญ่ที่เรืองแสงเรืองรองคล้ายมีชีวิต ชีพจรสีเขียวสลับไปมาอย่างแผ่วเบา และมันเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่างเมื่อครู่ ยูเมะและเทนชิเดินเข้าไปใกล้ไม้กางเขนอย่างช้าๆ แสงจากคริสตัลส่องกระทบใบหน้าของพวกเขา ทำให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย "มันคืออะไรเหรอครับแม่ชี?" เทนชิเอ่ยถาม พลางเอื้อมมือไปสัมผัสคริสตัลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ถูกแม่ชีปัดมือออกเบาๆ "อย่าเพิ่งจับมันเลยจ้ะหนู" แม่ชีเตือน "มันคือหินศักดิ์สิทธิ์จ้ะ เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน..." แม่ชีเริ่มเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้าและชวนให้ติดตาม เรื่องราวของหมู่บ้านที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้ แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ "...มีเรื่องเล่าว่าเหล่าวิญญาณร้ายที่ไม่ใช่เงาปีศาจอย่างที่พวกเจ้าเจอ แต่เป็นวิญญาณที่มีกายหยาบและพลังมหาศาล ได้ปรากฏตัวขึ้นจากความมืดมิด ก่อกวนอาละวาดจนผู้คนในหมู่บ้านถูกพวกมันกัดกินวิญญาณหายไปทีละคน สุสานแห่งนี้คือแหล่งรวมของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น จนกระทั่งมีนักเวทย์คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิทักษ์แห่งแสงได้เดินทางมาที่นี่ เขาเป็นผู้หญิงที่ใช้พลังเวทชั้นสูงและมีจิตใจที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก นางได้ต่อสู้กับวิญญาณร้ายเหล่านั้นอย่างดุเดือดนานหลายวันหลายคืน จนในที่สุดก็สามารถปราบปรามปีศาจเหล่านั้นและกักเก็บวิญญาณชั่วร้ายส่วนใหญ่ไว้ได้" "แล้วคริสตัลนี่มาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ?" ยูเมะถามแทรกด้วยความกระหายใคร่รู้ "หลังจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ นักเวทย์ผู้นั้นก็มอบคริสตัลวิเศษนี้ไว้ให้แก่บาทหลวงผู้ดูแลโบสถ์ในสมัยนั้น นางกล่าวว่าคริสตัลนี้จะทำหน้าที่เป็นประตูกันภัย และจะกักเก็บพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่นางใช้ในการปราบวิญญาณร้ายเอาไว้ บาทหลวงจึงนำมันมาติดตั้งไว้ที่ไม้กางเขนกลางโบสถ์เพื่อป้องกันเหล่าปีศาจร้ายและวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้เข้ามารบกวนผู้คนที่แสวงหาความสงบสุขที่นี่ได้อีก" เสียงแม่ชีถอนหายใจแผ่วเบา ความเศร้าฉายในแววตาของเธอ "แต่แล้ว...เมื่อไม่กี่วันมานี้เองจ้ะ จู่ๆ หมู่บ้านก็ตกอยู่ในความมืดสนิท ผู้คนเริ่มหายไปทีละคนอย่างเป็นปริศนา และที่เลวร้ายที่สุดคือเงาปีศาจ...แบบที่พวกเจ้าเจอเมื่อครู่ ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น ไล่ล่ากัดกินวิญญาณผู้คนอย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ยังคงไม่กล้าเข้ามาที่นี่...โบสถ์แห่งนี้จึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย คนในหมู่บ้านที่ยังเหลือรอดจึงพากันอพยพมาหลบอยู่ที่นี่อย่างสิ้นหวัง" เทนชิขมวดคิ้ว เขาหันมองไปรอบๆ โบสถ์ที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดจากข้างนอกที่เล็ดลอดเข้ามาเบาๆ "แล้วพวกเขาอยู่ไหนกันหมดล่ะครับ? ผมไม่เห็นใครเลย" แม่ชีเดินนำทั้งคู่ไปยังบันไดไม้เก่าๆ ที่ซ่อนอยู่หลังแท่นบูชา "พวกเขาอยู่ห้องใต้ดินกันจ้ะ มาสิ เดี๋ยวแม่จะพาพวกเจ้าไปพบพวกเขา" แม่ชีเปิดประตูไม้บานเล็กที่ดูเหมือนผนังธรรมดา เผยให้เห็นบันไดแคบๆ ที่ทอดลงไปสู่ความมืดเบื้องล่าง ยูเมะและเทนชิสบตากัน แววตาของพวกเขามีทั้งความกังวลและความหวังปะปนกัน พวกเขาก้าวตามแม่ชีลงไปในความมืดนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รออยู่ในห้องใต้ดินนั้น ไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิต แต่เป็นความจริงอันน่าตกใจที่อาจเชื่อมโยงกับการปรากฏตัวของเงาปีศาจทั้งหมด...การเผชิญหน้า และพลังที่ตื่นขึ้นเสียงทุบผนังโบสถ์ยังคงดังสนั่นไม่หยุดหย่อน ผสมกับเสียงกรีดร้องของผู้คนในห้องใต้ดินที่เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ยูเมะและเทนชิสบตากันอย่างมุ่งมั่น ก่อนที่เทนชิจะพยักหน้าให้ยูเมะเป็นเชิงบอกว่าเขาพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ด้านนอก"แม่ชีครับ! ผมขอให้แม่ชีช่วยเปิดประตูโบสถ์ได้ไหมครับ?" เทนชิเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเข้าใจดีว่าการเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ไม่รู้ที่มานั้นอันตรายเพียงใด แต่การปล่อยให้โบสถ์ถูกทำลายก็ไม่ใช่ทางเลือกแม่ชีลังเลเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล "แต่เด็กๆ...มันอันตรายเกินไปนะ! พวกมันกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ""เราไม่มีเวลาแล้วครับแม่ชี!" ยูเมะเสริม "ถ้าผนังโบสถ์พังลงมา พวกเราทุกคนจะตกอยู่ในอันตราย! เราต้องออกไปหยุดพวกมัน!" เธอชี้ไปที่คริสตัลสีมรกตที่บัดนี้เรืองแสงจ้าจนแทบจะแสบตาและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าพลังป้องกันของโบสถ์กำลังถูกทดสอบอย่างหนักแม่ชีเห็นถึงความมุ่งมั่นในแววตาของเด็กทั้งสอง เธอรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว "ก็ได้...แต่ต้องระมัดระวังที่สุดนะ"แม่ชีเดินไปที่ประตูโบสถ์ เธอวางมือลงบนสลักประ
แสงสลัวๆ จากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างนำทางยูเมะและเทนชิขณะก้าวลงสู่ห้องใต้ดินที่มืดมิดและชื้นแฉะ อากาศอับชื้นปะทะเข้ากับใบหน้า พร้อมกลิ่นดินและกลิ่นอับจางๆ ที่ลอยคละคลุ้ง เมื่อลงไปถึงพื้นห้องใต้ดินที่กว้างขวาง ยูเมะและเทนชิแทบหยุดหายใจ ภาพเบื้องหน้าที่เห็นทำเอาพวกเขาตกตะลึงห้องใต้ดินไม่ได้เป็นเพียงที่หลบภัย แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่เบียดเสียดกันอยู่ท่ามกลางความมืดมิด พวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังสิ่งของต่างๆ เช่น กล่องไม้, ผ้าห่มเก่าๆ หรือแม้แต่ก้อนหินขนาดใหญ่ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับจ้องมายังสองนักเรียนแปลกหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นแผ่วเบา ราวกับกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศแห่งความตึงเครียด"นี่คือผู้คนที่รอดชีวิตจ้ะ" แม่ชีเอ่ยเสียงอ่อนโยน ราวกับจะคลายความตึงเครียด แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย "พวกเขากลัว...กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว""มีคนเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ?" ยูเมะพึมพำ เธอไม่เคยเห็นความหวาดกลัวที่รุนแรงถึงขนาดนี้มาก่อนเทนชิกวาดสายตาไปรอบๆ เขาเห็นเด็กเล็กๆ กอดแม่แน่น ผู้ชายวัยกลางคนตัวสั่นระริกอยู่มุมห้อง ทุกคนอยู่ในสภาพอ่อนล้าและหวาดผวา "พวกเขาอยู่ที่นี
โครม!ประตูไม้บานหนาของโบสถ์ถูกปิดลงอย่างรวดเร็วโดยแม่ชี ทันทีที่เสียงบานประตูไม้กระแทกเข้ากับวงกบดังสนั่น ราวกับม่านพลังงานที่มองไม่เห็นได้ถูกยกขึ้น แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยวิ่งผ่านพื้นโบสถ์ ทำให้ยูเมะและเทนชิต้องทรงตัว เงาปีศาจนับร้อยที่เคยโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกพลันหยุดชะงัก พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปในความมืดมิดราวกับหมอกควัน ถูกขับไล่ด้วยพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น"พวกมันหายไปหมดเลย...ทำไมล่ะคะ?" ยูเมะเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ดวงตาของเธอฉายแววไม่เข้าใจเมื่อหันไปมองหน้าเทนชิเทนชิเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของยูเมะ เขาเองก็งุนงงไม่แพ้กันว่าพลังงานอะไรที่ทำให้เงาปีศาจจำนวนมหาศาลต้องถอยร่นไปอย่างรวดเร็วแม่ชีมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะไม้เก่าแก่กลางห้อง ยกถ้วยน้ำชาดินเผามาสองใบ รินน้ำชาอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นให้ยูเมะและเทนชิ"พวกมันไม่กล้าเข้ามาที่นี่หรอกจ้ะ" แม่ชีเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความมั่นใจเทนชิรับถ้วยน้ำชามาถือไว้ ความอุ่นของถ้วยช่วยให้มือที่สั่นเทาจากความตื่นเต้นและเหนื่อยล้าคลายลงเล็กน้อย "ทำไมล่ะครับ? แค่โบสถ์ธรรมดาทำไ
ยูเมะและเทนชิยืนประจันหน้ากัน กุมมือกันแน่นราวกับยึดเหนี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะก้าวข้ามผ่านประตูมิติที่เรืองแสงสีม่วงอย่างไม่ลังเล ทันทีที่เท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นแข็ง ร่างกายก็ถูกดึงดูดเข้าสู่สุสานต้องสาปแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลและถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดลมเย็นยะเยือกที่พัดพามาปะทะร่าง ทำให้ขนแขนของยูเมะลุกชัน เธอกระชับมือเทนชิแน่นขึ้นอีก ดวงตากลมโตของเธอกวาดมองไปรอบๆ สุสานเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหลุมศพเก่าแก่ผุพังเรียงรายเป็นทิวแถวจนสุดลูกหูลูกตา บรรจบกับป่าไม้หนาทึบที่ดูราวกับถูกกลืนกินโดยเงามืดมิด"ที่นี่มัน...หลอนชะมัด" ยูเมะเอ่ยเสียงสั่นพร่าขณะลูบแขนตัวเองเบาๆ เพื่อไล่ความรู้สึกขนลุกเทนชิไม่ตอบ แต่หยิบกล้องส่องทางไกลคู่ใจขึ้นมาแนบตา ส่องไปรอบๆ อย่างใจเย็น แม้ใจจริงเขาจะรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจไม่ต่างกัน "มันไปซ่อนอยู่ที่ไหนกันนะ" เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามมองหาเบาะแสของเงาปีศาจ แต่ก็ไร้วี่แวว"งั้นเราไปดูที่โบสถ์ตรงนั้นไหม? เผื่อมีคนอยู่" ยูเมะชี้ไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก แสงไฟสีเหลืองนวลลิบหรี่ลอดออกมาจากหน้าต่างบานเล็กๆ อย่างน่าประหลาดใจเทน