เข้าสู่ระบบความเงียบที่กลับคืนมาหลังจากปีศาจถูกกักเก็บช่างหนักอึ้งและน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม คาซิมิรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่คืบคลานเข้าจับจิตใจ แม้ว่าภารกิจแรกจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เธอก็ยังคงไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ ห้างร้างที่มืดมิดและกว้างใหญ่ ราวกับจะค้นหาภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นอยู่
“เคนตะ...คุณบาดเจ็บนี่นา” คาซิมิเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง แสงจากไฟฉายในมือเธอส่องไปที่ไหล่ของเขา เสื้อผ้าที่เคยสะอาดบัดนี้มีรอยฉีกขาด และคราบเลือดสีเข้มก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เคนตะพยักหน้ารับเล็กน้อย พยายามปั้นยิ้มบางๆ “นิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” เขาปัดมือที่เปื้อนเลือดออกอย่างไม่ใส่ใจ “แค่นี้สบายมาก” แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่พยายามเก็บซ่อน “สบายมากอะไรกันคะ เลือดออกเยอะขนาดนี้” คาซิมิขมวดคิ้วมุ่น เธอหยิบผ้าสะอาดในกระเป๋าเป้ใบเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรจงทำความสะอาดบาดแผลและพันผ้าพันแผลให้เขาอย่างเบามือ “คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้นะคะ นี่มันแค่ตัวแรกเอง เราไม่รู้หรอกว่าข้างหน้าจะเจออะไรอีก” เคนตะมองท่าทีที่ห่วงใยของเธอ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “รู้แล้วน่า ขอบคุณนะคาซิมิ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาของเธอ “แต่ถ้าไม่มีเธอคอยสนับสนุน ฉันก็คงแย่เหมือนกันนะ” คาซิมิเงยหน้าขึ้นมองเขาเมื่อพันผ้าเสร็จแล้ว “เราต้องพึ่งพากันและกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ นี่เป็นภารกิจของพวกเรา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “วิญญาณนี่จะเอาไปทำอะไรคะ?” เธอชูขวดที่กักเก็บดวงวิญญาณของปีศาจขึ้น เคนตะรับขวดมาดู เขามองดูดวงวิญญาณสีดำที่ลอยวนอยู่ในนั้นด้วยแววตาครุ่นคิด “เราจะนำมันไปให้ลุงซาโตรุ ท่านคงรู้วิธีจัดการกับมัน” เขาพูดถึงลุงซาโตรุ ผู้เป็นอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านอาคมผู้ชรา “แต่ตอนนี้เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ก่อน และต้องสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีเงาปีศาจตัวอื่นซ่อนอยู่” ทันใดนั้นเอง นาฬิกาอาคมบนข้อมือของคาซิมิก็สั่นเตือนขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงร้องเตือนที่ดังลั่นอย่างบ้าคลั่งเหมือนเมื่อครู่ มันเป็นเสียงเตือนที่เบาลง ชี้ไปที่ทิศทางหนึ่งอย่างไม่สม่ำเสมอ “เคนตะ...มันยังไม่หมด” คาซิมิพูดเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเล็กน้อย “ดูเหมือนมันจะอยู่ไม่ไกลจากเราด้วย” เคนตะหันไปมองตามทิศทางที่นาฬิกาชี้ เขากระชับมีดอาคมในมือแน่นขึ้น “เข้าใจแล้ว งั้นเราไปกันเลย” เขากระซิบ “ระวังตัวไว้ให้ดีนะคาซิมิ ที่นี่มันแปลกๆ” ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แสงไฟฉายของเคนตะสาดส่องไปตามทางเดินที่มืดมิดและคับแคบ เศษซากของสิ่งของที่ถูกทิ้งร้างกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ผนังอาคารมีรอยแตกร้าวและคราบสกปรก คล้ายกับว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างมานานหลายสิบปี เสียงฝีเท้าของทั้งคู่สะท้อนก้องไปทั่วห้างร้างที่เงียบสงัด ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ “คุณรู้สึกไหมคะ เคนตะ? เหมือนมีบางอย่างจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา” คาซิมิพูดเสียงกระซิบ เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับมีดวงตาที่มองไม่เห็นจับจ้องมาที่พวกเขา เคนตะพยักหน้า “ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน ระวังให้ดีนะคาซิมิ อย่าเผลอ” เขาพูดพลางกวาดไฟฉายไปทั่วบริเวณ จ้องมองเงาที่เต้นระบำไปตามแสงไฟ ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากมุมมืด กึก...กึก... เสียงคล้ายการลากอะไรบางอย่างหนักๆ ที่พื้น คาซิมิสะดุ้งสุดตัว เธอจับแขนเคนตะแน่น “นั่นมันเสียงอะไรคะ?” เธอถามเสียงสั่น เคนตะเบิกตากว้าง “เงียบไว้ก่อน” เขาดึงคาซิมิให้หลบเข้าไปหลังเสาใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กึก...กึก...แคร่ก! เงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากความมืด มันไม่ใช่เงาปีศาจรูปร่างคล้ายหมอกควันเหมือนตัวแรก แต่เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองยิ่งกว่า นั่นคือ เงาปีศาจโครงกระดูก ร่างกายของมันผอมเกร็งจนเห็นกระดูกที่โผล่ออกมาอย่างชัดเจน แขนขาที่ยาวผิดปกติกำลังลากเศษซากโลหะที่บิดเบี้ยวไปกับพื้น ทำให้เกิดเสียงอันน่าขนลุก ดวงตาของมันเป็นโพรงมืดสนิท แต่กลับให้ความรู้สึกว่ากำลังจ้องมองมาที่พวกเขา “มัน...มันไม่ใช่แค่เงาปีศาจธรรมดา” คาซิมิพูดเสียงสั่น ตัวเธอกำลังสั่นเทาด้วยความกลัว “มันมีกายหยาบที่ชัดเจนกว่าตัวแรก” เคนตะกัดฟันกรอด เขากำมีดแน่น “ดูเหมือนเราจะเจอ ‘ปีศาจชั้นสูง’ เข้าแล้วสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ปีศาจพวกนี้จะแข็งแกร่งกว่า และมีพลังทำลายล้างสูงกว่ามาก” เงาปีศาจโครงกระดูกดูเหมือนจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา มันหันหัวที่ไร้เนื้อหนังมาทางที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ชิ้นส่วนโลหะที่มันลากมาด้วยถูกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี เกิดเสียงดัง เคร้ง! “มันเห็นเราแล้ว!” คาซิมิร้องเตือน เคนตะพยักหน้า เขาดึงคาซิมิให้ถอยออกไปช้าๆ “เราต้องล่อมันออกไปที่โล่งกว่านี้” เขาพูดเสียงกระซิบ “ไม่งั้นเราจะสู้ลำบาก” แต่ปีศาจโครงกระดูกไม่รอให้พวกเขาถอยหนี มันพุ่งเข้าใส่ทันทีด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แขนกระดูกของมันเหวี่ยงเข้าใส่ราวกับแส้ คาซิมิกรีดร้องออกมาเมื่อแรงลมจากการฟาดฟันเฉียดหน้าเธอไปอย่างหวุดหวิด “เร็วเข้าคาซิมิ!” เคนตะตะโกนพลางพุ่งตัวออกไปขวางทางปีศาจ เขาใช้มีดอาคมปัดป้องการโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่แรงของมันมหาศาลจนเขาต้องกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว “คุณไหวไหมคะ!” คาซิมิตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง เคนตะตอบกลับมาด้วยเสียงหอบ “ไหว! แต่เราต้องรีบ!” เขามองเห็นประตูเหล็กบานใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกฉุกเฉินอยู่ไม่ไกล “คาซิมิ! ทางนั้น! เราต้องไปที่นั่น!” ทั้งคู่เริ่มวิ่งหนี ปีศาจโครงกระดูกไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ เสียงกระดูกกระทบกันดังแกรกกราก ก้องไปทั่วห้างร้าง แสงไฟฉายของเคนตะสั่นไหวไปมา ทำให้เงาของพวกเขาวิ่งนำหน้าไปก่อนราวกับเงาของผีร้าย “มันเร็วมาก!” คาซิมิหอบหายใจ “เราจะวิ่งถึงประตูนั้นได้ยังไงคะ!” เคนตะหันไปมองปีศาจที่กำลังตามมาอย่างกระชั้นชิด เขารู้ดีว่าถ้ายังอยู่ในพื้นที่แคบๆ แบบนี้พวกเขาต้องเสียเปรียบแน่นอน “ฉันจะถ่วงเวลาให้ เธอวิ่งไปก่อนเลย!” “ไม่นะคะ! คุณจะสู้คนเดียวไม่ได้!” คาซิมิตะโกนปฏิเสธทันที เธอไม่มีทางทิ้งให้เคนตะเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายเพียงลำพัง “ฟังฉันคาซิมิ! ถ้าเราไม่แบ่งหน้าที่กัน เราจะตายทั้งคู่!” เคนตะตะโกนกลับไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังและเด็ดขาด “ฉันจะจัดการมันให้ช้าลง เธอต้องเตรียมขวดให้พร้อม ถ้าฉันจัดการมันได้ วิญญาณของมันจะออกมา เธอต้องกักเก็บมันทันที!” คาซิมิลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเคนตะ เธอก็รู้ว่าเขาเอาจริง เธอพยักหน้าอย่างจำยอม “ระวังตัวด้วยนะคะ!” เคนตะหันกลับไปเผชิญหน้ากับปีศาจโครงกระดูก เขาพุ่งเข้าใส่มันอีกครั้งด้วยความเร็วที่น่าตกใจ มีดอาคมของเขาฟาดฟันเข้าใส่กระดูกของปีศาจอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีผลอะไรมากนัก เคร้ง! ปีศาจโครงกระดูกเหวี่ยงแขนยาวๆ ของมันเข้าใส่เคนตะอย่างแรง เคนตะเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่แรงลมจากมันก็ซัดร่างเขาจนล้มลงไปกองกับพื้น มีดอาคมหลุดจากมือไปไกล “เคนตะ!” คาซิมิกรีดร้องด้วยความตกใจ เธอเห็นปีศาจกำลังจะย่ำเท้าเข้าใส่เขา ทันใดนั้นเอง แสงเรืองรองสีฟ้าอ่อนๆ ก็ปรากฏขึ้นรอบตัวคาซิมิ เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะร่ายคาถาป้องกัน แต่ความตกใจทำให้พลังอาคมของเธอบางส่วนถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปีศาจโครงกระดูกชะงักไปชั่วขณะ มันดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อยเมื่อเห็นแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากตัวคาซิมิ นี่คือพลังที่แตกต่างออกไปจากอาคมของเคนตะ “คาซิมิ! ทำอะไรบางอย่างสิ!” เคนตะตะโกนบอก เขาดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่แรงจากปีศาจที่กดทับเขาอยู่ทำให้เขาขยับตัวลำบาก คาซิมิหลับตาลง เธอรวบรวมสมาธิ พลังอาคมสีฟ้าอ่อนๆ รอบตัวเธอก็สว่างวาบขึ้น แสงนั้นส่องสว่างไปทั่วบริเวณราวกับแสงจากดวงจันทร์ยามค่ำคืน “คาถาพันธนาการ!” คาซิมิเปล่งเสียงออกมาด้วยความมุ่งมั่น พลังอาคมสีฟ้าอ่อนๆ พุ่งออกจากตัวเธอ กลายเป็นโซ่ตรวนแสงที่พันธนาการแขนขาของปีศาจโครงกระดูกเอาไว้ ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วขณะหนึ่ง เคนตะที่เห็นดังนั้นก็ฉวยโอกาส เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีกระโดดหลบออกมาจากใต้ร่างของปีศาจ และพุ่งไปคว้ามีดอาคมของเขาที่ตกอยู่ “ดีมากคาซิมิ!” เคนตะตะโกนชม เขาเห็นช่องทางแล้ว เขากระโดดเข้าใส่ปีศาจโครงกระดูกที่ถูกตรึงไว้ด้วยโซ่แสงจากอาคมของคาซิมิ มีดอาคมในมือของเขาเรืองรองด้วยพลังสีเงินที่เข้มข้นกว่าเดิม ฉัวะ! เคนตะแทงมีดเข้าที่กลางกะโหลกศีรษะของปีศาจโครงกระดูกอย่างเต็มแรง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสนั่นกว่าครั้งแรก ร่างกายที่แข็งแกร่งของมันเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และค่อยๆ แตกสลายกลายเป็นผงธุลีสีดำที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ ก่อนจะรวมตัวกันเป็น ดวงวิญญาณสีดำทมิฬ ที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงวิญญาณตัวแรก ลอยเคว้งอยู่เบื้องหน้า “คาซิมิ! ตอนนี้แหละ!” เคนตะตะโกนบอกพลางชี้ไปที่ดวงวิญญาณ คาซิมิที่เหนื่อยหอบจากการร่ายคาถาพันธนาการ รีบเปิดฝาขวดกักเก็บวิญญาณทันที คาถาบทเดิมถูกร่ายออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “จงมา! วิญญาณร้าย จงถูกกักขัง!” ดวงวิญญาณสีดำทมิฬถูกดูดเข้าไปในขวดอย่างรวดเร็ว แสงเรืองรองสีเงินวูบหนึ่งปรากฏขึ้นบนขวด ก่อนที่จะจางหายไปอีกครั้ง ทั้งคู่ยืนหอบหายใจในความเงียบสงัดของห้างร้างที่กลับมามืดมิดอีกครั้ง เคนตะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง คาซิมิรีบเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง “คุณโอเคไหมคะเคนตะ?” เธอถามเสียงสั่น “ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอย่างนั้นได้ยังไง” เธอหมายถึงคาถาพันธนาการที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน เคนตะยิ้มให้เธอเล็กน้อย “เธอทำได้ดีมากคาซิมิ พลังอาคมของเธอมันพิเศษกว่าที่คิดไว้เยอะเลย” เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้างที่มืดมิด “ดูเหมือนการมาที่นี่จะไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดไว้ตอนแรกเลยนะ” คาซิมิพยักหน้าเห็นด้วย เธอกำขวดกักเก็บวิญญาณไว้แน่น “แล้วเราจะไปไหนต่อคะ? ยังมีปีศาจเหลืออยู่ไหม?” เคนตะมองไปที่ประตูเหล็กฉุกเฉินที่อยู่ไม่ไกล “เราต้องไปที่ประตูนั้นก่อน” เขาพยายามลุกขึ้นยืน “ส่วนปีศาจ...ฉันเชื่อว่ายังมีอีก” เขามองเข้าไปในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดของห้างร้าง “ความมืดที่นี่มันลึกกว่าที่คิด และมันไม่ได้มีแค่เงาปีศาจที่เราเห็นตรงหน้าหรอกนะคาซิมิ” สิ้นเสียงของเคนตะ สายลมเย็นยะเยือกก็พัดผ่านเข้ามาในห้างร้าง กลิ่นสนิมและกลิ่นอับชื้นที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ขนแขนของทั้งคู่ลุกชัน พวกเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังตื่นขึ้นในความมืดที่ซ่อนเร้นหลังจากที่เคนตะกำจัดราชันย์แห่งวิญญาณบาปได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็ยืนอยู่หน้า ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ สีทองอร่าม มันลอยอยู่เหนือพื้นเบื้องหน้ารอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ผ้ายันต์ผืนนี้ไม่ได้แผ่พลังธาตุที่รุนแรงเหมือนผืนอื่น แต่มันแผ่ ความสงบและความว่างเปล่า ที่น่าขนลุกออกมาเคนตะเดินเข้าไปใกล้ผ้ายันต์อย่างระมัดระวัง เมื่อเขาแตะมัน พลังอาคมจากผ้ายันต์ทั้งสี่ผืน ที่เขาครอบครองอยู่ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!> เคนตะ: “คาซิมิ...ฉันรู้สึกว่าพลังงานทั้งหมดกำลัง หลอมรวม กัน! มัน...สมบูรณ์แล้ว!”> ทันใดนั้น ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ ก็เรืองแสงจ้าขึ้น แล้ว เสียงทุ้มลึก ก็ดังก้องอยู่ในหัวของพวกเขา!> เสียงปริศนา: “ยินดีต้อนรับ...ผู้แสวงหาพลังแห่งการผนึก...แต่พลังแห่งวิญญาณนี้...ไม่สามารถถูกนำไปได้โดยง่าย”> การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์จากรอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ร่างโปร่งใส ก็ปรากฏตัวขึ้น มันดูเหมือนมนุษย์ แต่ร่างกายของมันหมุนวนราวกับ ฝุ่นดาวและแสง ที่ถูกบิดเบือน!ผู้พิทักษ์: มิธรัส (Mithras - The Guardian of Null)ลักษณะ/ขนาด: ร่างโปร่งแสงที่สูงประมาณ 2 เมตร ไม่มีเพศที่ชัดเจน ร่างกายประกอบด้วยแสงที่สั่นไหว มีดวงตาสองดวงท
เคนตะและคาซิมิใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงในการปีนขึ้นสู่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า พวกเขาใช้ พลังแห่งลม (ผ้ายันต์ที่ 4) เพื่อเพิ่มความว่องไว และ พลังแห่งเงา (คาซิมิ) เพื่อหลีกเลี่ยงปีศาจที่ลาดตระเวนอยู่ตามทางเมื่อพวกเขามาถึง ห้องควบคุมระบบศูนย์กลาง ที่ชั้นบนสุด พวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ถูกทำลายจนหมดสิ้น กลางห้องมี รอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ที่แผ่พลังงานมหาศาลออกมา!และที่ด้านหน้าของรอยแยกมิตินั้น ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ ก็กำลังเรืองแสงอย่างเจิดจ้า!แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเข้าไป กลิ่นอายของพลังปีศาจที่รุนแรงที่สุด ก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา!“คาซิมิ! ระวัง!” เคนตะคำรามจากเงามืดและซากปรักหักพัง ปีศาจทั้งหมด 15 ตัว ก็พุ่งเข้าล้อมพวกเขาไว้! พวกมันคือ อสุรกายที่ถูกส่งมาโดยตรงจากมิติปีศาจ เพื่อปกป้องผ้ายันต์แห่งวิญญาณ!การปะทะครั้งใหญ่: การหลอมรวมเพื่อเอาชีวิตรอดเคนตะและคาซิมิอยู่กลางวงล้อม ปีศาจ 15 ตัวที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าล้วนมีความสามารถที่ซับซ้อนและแข็งแกร่งกว่าปีศาจตัวก่อนๆ ที่เคยเจอมา> เคนตะ: “คาซิมิ! ใช้ นิมิต หาจุดอ่อนที่ซับซ้อนที่สุดของพวกมัน!
ทันทีที่คาซิมิและเคชิกลับมาถึงที่ซ่อน ป้าซาเอะก็เริ่มพิธีรักษาเคนตะทันที ป้าซาเอะใช้ คาถาหลอมรวมแสง ของเธอเพื่อหลอมรวมแร่รัตนากาลเข้ากับพลังอาคมฟื้นฟูแสงสีทองอ่อนๆ ห่อหุ้มร่างของเคนตะ บาดแผลไฟไหม้ที่แขนของเขาค่อยๆ สมานตัวลงอย่างรวดเร็ว พลังอาคมที่เคยแห้งเหือดก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้งในอัตราที่น่าอัศจรรย์หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เคนตะก็ลืมตาขึ้น เขาขยับแขนขวาได้อย่างคล่องแคล่วและรู้สึกแข็งแกร่งกว่าเดิม> เคนตะ: “ฉันรู้สึกดีกว่าที่เคยเป็นมา...นี่คือพลังของแร่รัตนากาลสินะ”> คาซิมิ: “ใช่ค่ะเคนตะ...คุณต้องขอบคุณเคชิและป้าซาเอะ”> เคนตะมองไปที่คาซิมิที่ใบหน้ายังซีดเซียว และเคชิที่เหนื่อยล้า “ขอบคุณมากจริงๆ ฉันจะไม่ทำให้การเสียสละของพวกคุณสูญเปล่า”คำสั่งสุดท้ายก่อนการเดินทางเมื่อเคนตะฟื้นตัวเต็มที่ ป้าซาเอะก็เรียกเขากับคาซิมิมาพบอีกครั้ง> ป้าซาเอะ: “ตอนนี้เจ้ามีพลังอาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลเจ้าแล้วเคนตะ และหนูคาซิมิ...ก็มีพลังจิตที่ได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุด”> ป้าซาเอะ: “แต่การต่อสู้ที่รอพวกเจ้าอยู่ข้างหน้าคือ การต่อสู้ทางกายภาพที่แท้จริง! ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ
เคนตะและคาซิมิกลับมาถึงที่ซ่อนของผู้รอดชีวิตในสภาพที่ย่ำแย่ คาซิมิอ่อนล้าจากการใช้พลังอาคมคนเดียว ส่วนเคนตะก็ทรุดหนักจากการบาดเจ็บที่แขนขวาและภาวะพลังงานอาคมพร่องป้าซาเอะรีบเข้าตรวจอาการเคนตะทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด> ป้าซาเอะ: “บาดแผลไฟไหม้ที่แขนขวาของเคนตะลึกมาก...มันไม่ใช่แค่ไฟธรรมดา แต่เป็นการกัดกินของ พลังงานอาคมร้อน ที่ทำลายแกนพลังงานของเขา”> คาซิมิ: “แล้วเราจะทำยังไงดีคะป้าซาเอะ?”> ป้าซาเอะ: “ข้าสามารถเยียวยาบาดแผลภายนอกได้ แต่การซ่อมแซมแกนพลังงานที่เสียหายนั้น...ต้องใช้ แร่รัตนากาล (Chronos Ore)”> แร่รัตนากาลเป็นแร่ในตำนานที่เชื่อกันว่ามีพลังในการฟื้นฟูอาคมบริสุทธิ์และสามารถเร่งการเติบโตของพลังงานอาคมได้> เคชิ: “แร่รัตนากาล...ผมจำได้! มันเป็นแร่ที่ถูกใช้ตกแต่งใน ห้องจัดแสดงอัญมณี ของห้างสรรพสินค้า! มันอยู่ในกล่องนิรภัยเหล็กกล้าที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์!”> ป้าซาเอะ: “ใช่! แต่การจะสกัดแร่นั้นออกมาใช้ได้ ต้องใช้ คาถาหลอมรวมแสง ของข้า...และเราต้องมีแร่นั้นก่อน”> ทุกคนรู้ดีว่าห้องจัดแสดงอัญมณีเป็นพื้นที่เปิดกว้างและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในห้าง> คาซิมิ: “ฉันจะไปเองค่ะ! ฉันยัง
เคนตะและคาซิมิออกจากห้องเตาหลอมพร้อมกับ ผ้ายันต์แห่งลม ในมือ แม้จะได้รับชัยชนะ แต่เคนตะก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถ่ายโอนพลังป้องกันในช่วงท้ายของการต่อสู้ แขนขวาของเขาถูกไอความร้อนกัดกินจนเป็นรอยไหม้พุพอง และร่างกายของเขาก็อ่อนแรงจากการใช้ธาตุคู่เกินขีดจำกัด“เราต้องกลับไปหาเคชิเดี๋ยวนี้เคนตะ!” คาซิมิกล่าวด้วยความเป็นห่วง เธอพยุงร่างของเคนตะไว้เคนตะกัดฟันแน่น “ฉันไหวคาซิมิ...รีบไปกันเถอะ ก่อนที่ปีศาจตัวอื่นจะได้กลิ่นเลือดของเรา”ทั้งคู่ใช้พลังอาคมที่เหลืออยู่ของคาซิมิสร้าง เกราะพรางตัว (Stealth Cloak) ที่มองไม่เห็นและปราศจากกลิ่น เพื่อพยายามหลบหนีออกจากชั้นใต้ดินที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาเดินตามทางที่เคชิเคยให้ไว้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไกลออกไป แต่ปลอดภัยที่สุดกับดักที่คาดไม่ถึงพวกเขาเดินทางผ่านซอกหลืบของโกดังสินค้าที่มืดมิดและเย็นชื้นอย่างเงียบๆ คาซิมิใช้ ‘นิมิต’ สแกนทุกตารางนิ้วของการเดินทาง เธอรู้ดีว่าในสภาพที่เคนตะบาดเจ็บ พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้วเมื่อพวกเขามาถึงทางแยกสุดท้ายก่อนจะถึงทางเข้าลับของที่ซ่อน คาซิมิก็หยุดชะงักทันที!“เคนตะ...หยุดค่ะ” เธอสั่งเสียงกระซิบอย่างตื่นตร
เคนตะและคาซิมิมาถึงหน้าห้องเตาหลอมที่ลึกที่สุดของห้างสรรพสินค้า ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ปิดอยู่แผ่รังสี ความร้อนที่แผดเผา ออกมาอย่างรุนแรงเคนตะใช้ผ้ายันต์แห่งดิน (ผืนที่ 1) แตะที่ประตูเหล็ก ครืนนน! พลังแห่งดินทำให้ประตูเหล็กเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็น ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและไอร้อน * สภาพแวดล้อม: ห้องโถงนี้ดูเหมือนเป็นโรงงานเก่าที่ถูกทิ้งร้าง มีเตาหลอมขนาดมหึมาสามเตาตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งส่งแสงสีส้มแดงออกมาอย่างบ้าคลั่ง อากาศร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และกำมะถัน * เป้าหมาย: ผ้ายันต์แห่งลม (ผืนที่ 4) คาดว่าจะถูกซ่อนอยู่ใน แกนควบคุมความดัน ที่อยู่เหนือเตาหลอมกลาง“ความร้อนสูงมากเคนตะ!” คาซิมิกล่าวพลางใช้มือป้องใบหน้าจากความร้อนเคนตะหยิบผ้ายันต์แห่งน้ำ (ผืนที่ 2) ออกมา เขารวบรวมพลังอาคมแล้วร่าย คาถา ‘ม่านไอน้ำเย็น’ อย่างรวดเร็ว ฟู่! ไอน้ำเย็นก่อตัวเป็นม่านบางๆ รอบตัวพวกเขา ทำให้ความร้อนที่เข้ามาบรรเทาลงได้ชั่วคราว“เราต้องเร็วคาซิมิ! ม่านไอน้ำจะอยู่ได้ไม่นานในความร้อนขนาดนี้!”การต้อนรับของอสุรกายแห่งความร้อนทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องโถง เสียงโหยหวน ก็ดังขึ้นจา







