LOGINเคนตะและคาซิมิเดินมาหยุดอยู่หน้า ประตูเหล็กฉุกเฉิน บานใหญ่ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ บานประตูถูกปิดตายด้วยโซ่ขนาดใหญ่และกุญแจสนิมเขรอะบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนาน เคนตะมองสำรวจโดยรอบ ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
“โซ่เส้นใหญ่ขนาดนี้ จะงัดยังไงคะเคนตะ?” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงกังวล เธอพยายามใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดูรายละเอียด แต่ความมืดมิดรอบข้างกลับยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด เคนตะลองเอามือจับโซ่ เขาออกแรงดึงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย “มันล็อกแน่นมาก คงต้องใช้แรงเยอะหน่อย หรือไม่ก็ต้องใช้พลังอาคม” เขากลับมามองรอบตัวอีกครั้ง “แต่ฉันไม่คิดว่านี่คือทางออกที่เราจะเดินผ่านไปง่ายๆ” “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ?” คาซิมิขมวดคิ้วสงสัย เคนตะชี้ไปที่รอยขีดข่วนบนพื้นและผนังใกล้กับประตู “ดูนี่สิ รอยขีดข่วนพวกนี้มันดูใหม่กว่าส่วนอื่นๆ ของห้างมาก เหมือนมีบางอย่างพยายามจะเปิดประตู หรือบางอย่างพยายามจะออกจากประตูนี้มา” เขามองเข้าไปในความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในห้างร้าง “อีกอย่าง...นาฬิกาอาคมของเธอยังคงเตือนอยู่ใช่ไหม?” คาซิมิยกข้อมือขึ้นดู นาฬิกาของเธอยังคงสั่นเตือนเบาๆ แต่เข็มนาฬิกาไม่ได้ชี้ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่แน่นอน มันหมุนวนไปมาอย่างช้าๆ ราวกับปีศาจอยู่รายล้อมพวกเขาไปหมด “ใช่ค่ะ มันยังเตือนอยู่ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่ามาจากทิศไหน” “นั่นแหละปัญหา” เคนตะถอนหายใจ “ถ้ามันมาจากทิศทางไหนชัดๆ เราคงรับมือได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่มันเหมือนกับว่า...เราถูกล้อมไว้แล้ว” ทันใดนั้นเอง ฟุ่บ! แสงไฟฉายในมือของเคนตะก็ดับวูบลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ความมืดมิดเข้าปกคลุมทุกสิ่งโดยสมบูรณ์ ความเงียบที่ไร้เสียงใดๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัว “เคนตะ! ไฟฉายคุณ!” คาซิมิร้องด้วยความตกใจ เธอลองเปิดไฟฉายในมือของตัวเอง แต่ก็พบว่ามันดับไปเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้!” เคนตะสบถ เขาลองเคาะไฟฉายเบาๆ พยายามเปิดมันอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีแสงใดๆ ปรากฏขึ้น “มันต้องมีอะไรบางอย่างทำกับไฟฉายของเรา” แกรก! แกรก! เสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากรอบด้าน ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังขยับตัวอยู่ในความมืด คาซิมิรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นยะเยือกที่ปะทะกับต้นคอ เธอรีบหันไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดสนิท “เคนตะ...ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ เราเลย” เธอพูดเสียงสั่น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิด “ฉันก็รู้สึก” เคนตะตอบ เขากระชับมีดอาคมแน่น “พวกมันไม่ได้โจมตีเราตรงๆ แต่มันกำลังเล่นงานประสาทสัมผัสของเราอยู่” เขานึกถึงสิ่งที่ลุงซาโตรุเคยสอนไว้เกี่ยวกับปีศาจบางประเภทที่สามารถบิดเบือนการรับรู้ของมนุษย์ได้ “คาซิมิ เธอพอจะร่ายคาถาที่ช่วยเพิ่มการรับรู้ได้ไหม?” คาซิมิพยายามรวบรวมสมาธิ เธอหลับตาลงเพื่อตัดการมองเห็นที่ไร้ประโยชน์ออกไป และพยายามเพ่งไปที่พลังอาคมในตัว “ฉันจะลองดูค่ะ...คาถา ‘นิมิต’...” เธอเริ่มร่ายคาถา เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พลังอาคมสีฟ้าอ่อนๆ เริ่มเรืองรองขึ้นจากตัวเธออีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้เปล่งแสงออกมาให้เห็นด้วยตาเปล่า มันเป็นพลังงานที่แผ่ซ่านออกไปในอากาศ คล้ายกับคลื่นเสียงที่มองไม่เห็น เมื่อคาถาจบลง คาซิมิก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอไม่ได้มองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยแสงสว่าง แต่กลับเห็นเป็นภาพเรืองรองของพลังงานที่อยู่ในความมืด เธอเห็นโครงสร้างของห้างร้าง เห็นประตูเหล็ก และที่สำคัญ...เธอเห็น เงา จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบตัวพวกเขา เงาเหล่านี้ไม่ได้มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงกลุ่มหมอกควันที่บิดเบี้ยว ล้อมรอบพวกเขาไว้แน่นหนา “เคนตะ! มีเงาปีศาจเต็มไปหมดเลย! มันอยู่รอบตัวเรา!” คาซิมิอุทานด้วยความตกใจ “มันอยู่ทุกทิศทางเลยค่ะ!” เคนตะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากปีศาจเหล่านั้น “ฉันรู้แล้ว” เขากัดฟันกรอด “พวกมันคงตั้งใจให้เราติดกับดักนี้” “แล้วเราจะทำยังไงดีคะ? เรามองไม่เห็นพวกมันเลย!” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง การมองเห็นด้วยพลังอาคมของเธอทำให้เธอเห็นถึงจำนวนปีศาจที่มหาศาล ซึ่งเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าการมองไม่เห็นเสียอีก “เราต้องหาแกนกลางของพวกมัน” เคนตะพูด “ปีศาจพวกนี้มักจะมีตัวแม่ หรือผู้นำที่ควบคุมพวกมันอยู่ ถ้าเราจัดการตัวนั้นได้ ที่เหลือก็จะอ่อนแอลง” เขาหันไปทางคาซิมิ “เธอใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอส่องเข้าไปในความมืดได้ลึกแค่ไหน?” คาซิมิพยายามเพ่งสมาธิอีกครั้ง ภาพเรืองรองของเงาปีศาจเริ่มชัดเจนขึ้น เธอเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกมัน ราวกับเส้นใยบางๆ ที่เชื่อมโยงจากเงาหนึ่งไปยังอีกเงาหนึ่ง และทั้งหมดนั้นก็เชื่อมโยงไปที่จุดศูนย์กลางจุดหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในความมืดมิดของห้างร้าง “ฉันเห็นค่ะ! เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ลึกเข้าไป...มันเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของพลังงานพวกนี้!” คาซิมิชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มันอยู่ลึกเข้าไปในตัวอาคาร!” เคนตะพยักหน้า “ดีมาก! เราต้องบุกเข้าไปที่นั่น” “แต่พวกมันเยอะมากเลยนะคะเคนตะ! ถ้าเราเดินเข้าไปตรงๆ เราต้องโดนโจมตีแน่ๆ!” คาซิมิท้วงด้วยความกังวล “นั่นแหละคือสิ่งที่พวกมันต้องการ” เคนตะตอบ “พวกมันต้องการให้เรากลัวจนไม่กล้าเคลื่อนไหว เพื่อให้เราหมดแรงไปเอง” เขากลับมาที่ประตูเหล็กฉุกเฉินอีกครั้ง “ประตูนี้...คงเป็นทางที่พวกมันใช้ล่อเรามา” “แล้วเราจะทำยังไงคะ? เราจะไปที่จุดศูนย์รวมนั้นได้ยังไง?” คาซิมิถาม เคนตะมองไปที่โซ่ที่ล็อกประตู “ฉันจะใช้พลังทั้งหมดที่มีเปิดประตูนี้ ไม่ใช่เพื่อออกไป แต่เพื่อสร้างแรงปะทะที่พอจะสลายเงาพวกนี้ออกไปชั่วคราว แล้วเราจะพุ่งเข้าไปให้เร็วที่สุด!” “แต่ถ้าคุณเปิดไม่ได้ล่ะคะ?” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงกังวล เคนตะยิ้มมุมปาก “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วคาซิมิ เราต้องเสี่ยง” เขายื่นมีดอาคมให้คาซิมิ “เธอถือมีดฉันไว้ ถ้าฉันพลาด...เธอรู้หน้าที่ของเธอใช่ไหม?” คาซิมิรับมีดอาคมมาด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความมุ่งมั่นที่ผสมปนเปกัน “ฉัน...ฉันเข้าใจค่ะ” เธอรู้ว่าเคนตะกำลังขอให้เธอเตรียมพร้อมที่จะจัดการกับวิญญาณของเขา หากเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเหล่านี้ เคนตะหลับตาลง เขาตั้งสมาธิ พลังอาคมสีเงินเริ่มไหลเวียนรอบกายของเขาอย่างเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กล้ามเนื้อของเขาเกร็งแน่น เส้นเลือดปูดโปนขึ้นตามแขน ครืนนนนน! เสียงคำรามต่ำๆ ออกมาจากลำคอของเคนตะ พลังงานมหาศาลถูกรวบรวมไว้ที่สองมือของเขาที่กำลังจับโซ่เหล็กที่ล็อกประตูไว้ “ไปเถอะคาซิมิ! ตอนนี้แหละ!” เคนตะตะโกนลั่น เขาออกแรงดึงโซ่อย่างสุดกำลัง พลังอาคมสีเงินพุ่งออกมาจากมือของเขาเข้าปะทะกับโซ่เหล็ก เสียงโลหะที่บิดเบี้ยวจากการถูกพลังงานมหาศาลกระแทกดังสนั่นห้างร้าง เปรี๊ยะ! ครืดดดดด! โซ่เหล็กขาดสะบั้นด้วยแรงของเคนตะ ประตูเหล็กบานใหญ่ถูกกระแทกออกไปด้านนอกด้วยแรงมหาศาล โครมมมมม! เสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้างร้าง แรงปะทะจากการเปิดประตูทำให้เงาปีศาจที่อยู่รอบตัวพวกเขากระจายตัวออกไปชั่วขณะหนึ่ง “ตอนนี้แหละคาซิมิ!” เคนตะตะโกน เขาพุ่งตัวเข้าไปในความมืดที่ลึกเข้าไปในห้างร้างทันที โดยไม่หันกลับไปมองประตูที่พังทลาย คาซิมิรีบวิ่งตามเคนตะไปอย่างไม่คิดชีวิต เธอใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอเป็นเครื่องนำทาง เธอเห็นเงาปีศาจกำลังรวมตัวกันอีกครั้งจากด้านหลังและรอบข้าง พยายามจะเข้ามาโอบล้อมพวกเขา “พวกมันกำลังตามมาแล้วค่ะเคนตะ!” คาซิมิร้องเตือน เคนตะวิ่งนำหน้าไปอย่างไม่ลดละ เขาพยายามใช้ความเร็วและทิศทางที่คาซิมิบอกเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกับเงาปีศาจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกเขาพุ่งทะลุผ่านกองซากปรักหักพัง พลางหลบหลีกเศษแก้วที่กระจัดกระจาย “เกาะฉันไว้ให้แน่นคาซิมิ!” เคนตะตะโกน เมื่อเขากระโดดข้ามซากเสาที่ล้มขวางทาง คาซิมิพยักหน้า เธอจับแขนเขาแน่น แต่แล้ว ทันใดนั้นเอง พื้นด้านหน้าของพวกเขาก็ทรุดตัวลง โครมมมม! เคนตะเบรกตัวกะทันหัน ทำให้ทั้งคู่เกือบจะตกลงไปในหลุมมืดเบื้องล่าง “บ้าจริง!” เคนตะสบถ เขาใช้ไฟฉายที่ยังคงดับอยู่ส่องลงไปในหลุม แต่ก็ไม่เห็นก้นหลุมเลย “มันเป็นกับดักอีกแล้ว!” แกรก! แกรก! เสียงเงาปีศาจที่ตามหลังมาใกล้เข้ามาทุกที พวกมันกำลังล้อมพวกเขาไว้จากทุกทิศทาง “เราถูกต้อนจนมุมแล้วค่ะเคนตะ!” คาซิมิพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง เคนตะมองไปรอบตัวด้วยแววตาที่มุ่งมั่น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะยอมแพ้ “ไม่หรอกคาซิมิ ตราบใดที่เรายังยืนอยู่ตรงนี้ เราก็ยังไม่แพ้!” เขามองไปที่จุดศูนย์รวมพลังงานที่คาซิมิเคยบอก “มันต้องอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ” “แล้วเราจะไปถึงมันได้ยังไงคะ?” คาซิมิถาม ดวงตาของเธอมองเห็นเงาปีศาจที่กำลังบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ เคนตะหันไปมองคาซิมิ “เธอเชื่อใจฉันไหมคาซิมิ?” คาซิมิพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แน่นอนค่ะ!” “ดีมาก!” เคนตะยิ้ม “ฉันจะใช้พลังอาคมทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างทาง เธอต้องใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอให้ถึงขีดสุด เพื่อนำทางฉันไปที่จุดศูนย์รวมนั้น และเตรียมขวดกักเก็บวิญญาณให้พร้อม” เขาหันไปเผชิญหน้ากับความมืดที่เต็มไปด้วยเงาปีศาจ “เราจะแหวกฝูงพวกมันไป!” แสงสีเงินวูบวาบจากตัวเคนตะอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่แสงที่พุ่งออกมาเพื่อโจมตี แต่มันกลับแผ่ขยายออกไปรอบตัวเขาและคาซิมิราวกับเกราะป้องกัน เปล่งแสงเรืองรองในความมืดมิดของห้างร้าง คล้ายกับดวงดาวที่ส่องประกายท่ามกลางราตรีที่มืดมิดที่สุด “ไปกันเลยคาซิมิ!” เคนตะตะโกนลั่น เขาพุ่งตัวเข้าไปในวงล้อมของเงาปีศาจที่มองไม่เห็น โดยมีคาซิมิที่ใช้พลังอาคมนำทางอยู่เคียงข้าง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลัง แต่เป็นการต่อสู้กับความมืดมิดและกับดักที่มองไม่เห็นหลังจากที่เคนตะกำจัดราชันย์แห่งวิญญาณบาปได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็ยืนอยู่หน้า ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ สีทองอร่าม มันลอยอยู่เหนือพื้นเบื้องหน้ารอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ผ้ายันต์ผืนนี้ไม่ได้แผ่พลังธาตุที่รุนแรงเหมือนผืนอื่น แต่มันแผ่ ความสงบและความว่างเปล่า ที่น่าขนลุกออกมาเคนตะเดินเข้าไปใกล้ผ้ายันต์อย่างระมัดระวัง เมื่อเขาแตะมัน พลังอาคมจากผ้ายันต์ทั้งสี่ผืน ที่เขาครอบครองอยู่ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!> เคนตะ: “คาซิมิ...ฉันรู้สึกว่าพลังงานทั้งหมดกำลัง หลอมรวม กัน! มัน...สมบูรณ์แล้ว!”> ทันใดนั้น ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ ก็เรืองแสงจ้าขึ้น แล้ว เสียงทุ้มลึก ก็ดังก้องอยู่ในหัวของพวกเขา!> เสียงปริศนา: “ยินดีต้อนรับ...ผู้แสวงหาพลังแห่งการผนึก...แต่พลังแห่งวิญญาณนี้...ไม่สามารถถูกนำไปได้โดยง่าย”> การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์จากรอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ร่างโปร่งใส ก็ปรากฏตัวขึ้น มันดูเหมือนมนุษย์ แต่ร่างกายของมันหมุนวนราวกับ ฝุ่นดาวและแสง ที่ถูกบิดเบือน!ผู้พิทักษ์: มิธรัส (Mithras - The Guardian of Null)ลักษณะ/ขนาด: ร่างโปร่งแสงที่สูงประมาณ 2 เมตร ไม่มีเพศที่ชัดเจน ร่างกายประกอบด้วยแสงที่สั่นไหว มีดวงตาสองดวงท
เคนตะและคาซิมิใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงในการปีนขึ้นสู่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า พวกเขาใช้ พลังแห่งลม (ผ้ายันต์ที่ 4) เพื่อเพิ่มความว่องไว และ พลังแห่งเงา (คาซิมิ) เพื่อหลีกเลี่ยงปีศาจที่ลาดตระเวนอยู่ตามทางเมื่อพวกเขามาถึง ห้องควบคุมระบบศูนย์กลาง ที่ชั้นบนสุด พวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ถูกทำลายจนหมดสิ้น กลางห้องมี รอยแยกมิติสีม่วงเข้ม ที่แผ่พลังงานมหาศาลออกมา!และที่ด้านหน้าของรอยแยกมิตินั้น ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ ก็กำลังเรืองแสงอย่างเจิดจ้า!แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเข้าไป กลิ่นอายของพลังปีศาจที่รุนแรงที่สุด ก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา!“คาซิมิ! ระวัง!” เคนตะคำรามจากเงามืดและซากปรักหักพัง ปีศาจทั้งหมด 15 ตัว ก็พุ่งเข้าล้อมพวกเขาไว้! พวกมันคือ อสุรกายที่ถูกส่งมาโดยตรงจากมิติปีศาจ เพื่อปกป้องผ้ายันต์แห่งวิญญาณ!การปะทะครั้งใหญ่: การหลอมรวมเพื่อเอาชีวิตรอดเคนตะและคาซิมิอยู่กลางวงล้อม ปีศาจ 15 ตัวที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าล้วนมีความสามารถที่ซับซ้อนและแข็งแกร่งกว่าปีศาจตัวก่อนๆ ที่เคยเจอมา> เคนตะ: “คาซิมิ! ใช้ นิมิต หาจุดอ่อนที่ซับซ้อนที่สุดของพวกมัน!
ทันทีที่คาซิมิและเคชิกลับมาถึงที่ซ่อน ป้าซาเอะก็เริ่มพิธีรักษาเคนตะทันที ป้าซาเอะใช้ คาถาหลอมรวมแสง ของเธอเพื่อหลอมรวมแร่รัตนากาลเข้ากับพลังอาคมฟื้นฟูแสงสีทองอ่อนๆ ห่อหุ้มร่างของเคนตะ บาดแผลไฟไหม้ที่แขนของเขาค่อยๆ สมานตัวลงอย่างรวดเร็ว พลังอาคมที่เคยแห้งเหือดก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้งในอัตราที่น่าอัศจรรย์หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เคนตะก็ลืมตาขึ้น เขาขยับแขนขวาได้อย่างคล่องแคล่วและรู้สึกแข็งแกร่งกว่าเดิม> เคนตะ: “ฉันรู้สึกดีกว่าที่เคยเป็นมา...นี่คือพลังของแร่รัตนากาลสินะ”> คาซิมิ: “ใช่ค่ะเคนตะ...คุณต้องขอบคุณเคชิและป้าซาเอะ”> เคนตะมองไปที่คาซิมิที่ใบหน้ายังซีดเซียว และเคชิที่เหนื่อยล้า “ขอบคุณมากจริงๆ ฉันจะไม่ทำให้การเสียสละของพวกคุณสูญเปล่า”คำสั่งสุดท้ายก่อนการเดินทางเมื่อเคนตะฟื้นตัวเต็มที่ ป้าซาเอะก็เรียกเขากับคาซิมิมาพบอีกครั้ง> ป้าซาเอะ: “ตอนนี้เจ้ามีพลังอาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลเจ้าแล้วเคนตะ และหนูคาซิมิ...ก็มีพลังจิตที่ได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุด”> ป้าซาเอะ: “แต่การต่อสู้ที่รอพวกเจ้าอยู่ข้างหน้าคือ การต่อสู้ทางกายภาพที่แท้จริง! ผ้ายันต์แห่งวิญญาณ
เคนตะและคาซิมิกลับมาถึงที่ซ่อนของผู้รอดชีวิตในสภาพที่ย่ำแย่ คาซิมิอ่อนล้าจากการใช้พลังอาคมคนเดียว ส่วนเคนตะก็ทรุดหนักจากการบาดเจ็บที่แขนขวาและภาวะพลังงานอาคมพร่องป้าซาเอะรีบเข้าตรวจอาการเคนตะทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด> ป้าซาเอะ: “บาดแผลไฟไหม้ที่แขนขวาของเคนตะลึกมาก...มันไม่ใช่แค่ไฟธรรมดา แต่เป็นการกัดกินของ พลังงานอาคมร้อน ที่ทำลายแกนพลังงานของเขา”> คาซิมิ: “แล้วเราจะทำยังไงดีคะป้าซาเอะ?”> ป้าซาเอะ: “ข้าสามารถเยียวยาบาดแผลภายนอกได้ แต่การซ่อมแซมแกนพลังงานที่เสียหายนั้น...ต้องใช้ แร่รัตนากาล (Chronos Ore)”> แร่รัตนากาลเป็นแร่ในตำนานที่เชื่อกันว่ามีพลังในการฟื้นฟูอาคมบริสุทธิ์และสามารถเร่งการเติบโตของพลังงานอาคมได้> เคชิ: “แร่รัตนากาล...ผมจำได้! มันเป็นแร่ที่ถูกใช้ตกแต่งใน ห้องจัดแสดงอัญมณี ของห้างสรรพสินค้า! มันอยู่ในกล่องนิรภัยเหล็กกล้าที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์!”> ป้าซาเอะ: “ใช่! แต่การจะสกัดแร่นั้นออกมาใช้ได้ ต้องใช้ คาถาหลอมรวมแสง ของข้า...และเราต้องมีแร่นั้นก่อน”> ทุกคนรู้ดีว่าห้องจัดแสดงอัญมณีเป็นพื้นที่เปิดกว้างและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในห้าง> คาซิมิ: “ฉันจะไปเองค่ะ! ฉันยัง
เคนตะและคาซิมิออกจากห้องเตาหลอมพร้อมกับ ผ้ายันต์แห่งลม ในมือ แม้จะได้รับชัยชนะ แต่เคนตะก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถ่ายโอนพลังป้องกันในช่วงท้ายของการต่อสู้ แขนขวาของเขาถูกไอความร้อนกัดกินจนเป็นรอยไหม้พุพอง และร่างกายของเขาก็อ่อนแรงจากการใช้ธาตุคู่เกินขีดจำกัด“เราต้องกลับไปหาเคชิเดี๋ยวนี้เคนตะ!” คาซิมิกล่าวด้วยความเป็นห่วง เธอพยุงร่างของเคนตะไว้เคนตะกัดฟันแน่น “ฉันไหวคาซิมิ...รีบไปกันเถอะ ก่อนที่ปีศาจตัวอื่นจะได้กลิ่นเลือดของเรา”ทั้งคู่ใช้พลังอาคมที่เหลืออยู่ของคาซิมิสร้าง เกราะพรางตัว (Stealth Cloak) ที่มองไม่เห็นและปราศจากกลิ่น เพื่อพยายามหลบหนีออกจากชั้นใต้ดินที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาเดินตามทางที่เคชิเคยให้ไว้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไกลออกไป แต่ปลอดภัยที่สุดกับดักที่คาดไม่ถึงพวกเขาเดินทางผ่านซอกหลืบของโกดังสินค้าที่มืดมิดและเย็นชื้นอย่างเงียบๆ คาซิมิใช้ ‘นิมิต’ สแกนทุกตารางนิ้วของการเดินทาง เธอรู้ดีว่าในสภาพที่เคนตะบาดเจ็บ พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้วเมื่อพวกเขามาถึงทางแยกสุดท้ายก่อนจะถึงทางเข้าลับของที่ซ่อน คาซิมิก็หยุดชะงักทันที!“เคนตะ...หยุดค่ะ” เธอสั่งเสียงกระซิบอย่างตื่นตร
เคนตะและคาซิมิมาถึงหน้าห้องเตาหลอมที่ลึกที่สุดของห้างสรรพสินค้า ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ปิดอยู่แผ่รังสี ความร้อนที่แผดเผา ออกมาอย่างรุนแรงเคนตะใช้ผ้ายันต์แห่งดิน (ผืนที่ 1) แตะที่ประตูเหล็ก ครืนนน! พลังแห่งดินทำให้ประตูเหล็กเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็น ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและไอร้อน * สภาพแวดล้อม: ห้องโถงนี้ดูเหมือนเป็นโรงงานเก่าที่ถูกทิ้งร้าง มีเตาหลอมขนาดมหึมาสามเตาตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งส่งแสงสีส้มแดงออกมาอย่างบ้าคลั่ง อากาศร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และกำมะถัน * เป้าหมาย: ผ้ายันต์แห่งลม (ผืนที่ 4) คาดว่าจะถูกซ่อนอยู่ใน แกนควบคุมความดัน ที่อยู่เหนือเตาหลอมกลาง“ความร้อนสูงมากเคนตะ!” คาซิมิกล่าวพลางใช้มือป้องใบหน้าจากความร้อนเคนตะหยิบผ้ายันต์แห่งน้ำ (ผืนที่ 2) ออกมา เขารวบรวมพลังอาคมแล้วร่าย คาถา ‘ม่านไอน้ำเย็น’ อย่างรวดเร็ว ฟู่! ไอน้ำเย็นก่อตัวเป็นม่านบางๆ รอบตัวพวกเขา ทำให้ความร้อนที่เข้ามาบรรเทาลงได้ชั่วคราว“เราต้องเร็วคาซิมิ! ม่านไอน้ำจะอยู่ได้ไม่นานในความร้อนขนาดนี้!”การต้อนรับของอสุรกายแห่งความร้อนทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องโถง เสียงโหยหวน ก็ดังขึ้นจา






![I'll follow Apollo [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
