เคนตะและคาซิมิเดินมาหยุดอยู่หน้า ประตูเหล็กฉุกเฉิน บานใหญ่ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ บานประตูถูกปิดตายด้วยโซ่ขนาดใหญ่และกุญแจสนิมเขรอะบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนาน เคนตะมองสำรวจโดยรอบ ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
“โซ่เส้นใหญ่ขนาดนี้ จะงัดยังไงคะเคนตะ?” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงกังวล เธอพยายามใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดูรายละเอียด แต่ความมืดมิดรอบข้างกลับยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด เคนตะลองเอามือจับโซ่ เขาออกแรงดึงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย “มันล็อกแน่นมาก คงต้องใช้แรงเยอะหน่อย หรือไม่ก็ต้องใช้พลังอาคม” เขากลับมามองรอบตัวอีกครั้ง “แต่ฉันไม่คิดว่านี่คือทางออกที่เราจะเดินผ่านไปง่ายๆ” “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ?” คาซิมิขมวดคิ้วสงสัย เคนตะชี้ไปที่รอยขีดข่วนบนพื้นและผนังใกล้กับประตู “ดูนี่สิ รอยขีดข่วนพวกนี้มันดูใหม่กว่าส่วนอื่นๆ ของห้างมาก เหมือนมีบางอย่างพยายามจะเปิดประตู หรือบางอย่างพยายามจะออกจากประตูนี้มา” เขามองเข้าไปในความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในห้างร้าง “อีกอย่าง...นาฬิกาอาคมของเธอยังคงเตือนอยู่ใช่ไหม?” คาซิมิยกข้อมือขึ้นดู นาฬิกาของเธอยังคงสั่นเตือนเบาๆ แต่เข็มนาฬิกาไม่ได้ชี้ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่แน่นอน มันหมุนวนไปมาอย่างช้าๆ ราวกับปีศาจอยู่รายล้อมพวกเขาไปหมด “ใช่ค่ะ มันยังเตือนอยู่ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่ามาจากทิศไหน” “นั่นแหละปัญหา” เคนตะถอนหายใจ “ถ้ามันมาจากทิศทางไหนชัดๆ เราคงรับมือได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่มันเหมือนกับว่า...เราถูกล้อมไว้แล้ว” ทันใดนั้นเอง ฟุ่บ! แสงไฟฉายในมือของเคนตะก็ดับวูบลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ความมืดมิดเข้าปกคลุมทุกสิ่งโดยสมบูรณ์ ความเงียบที่ไร้เสียงใดๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัว “เคนตะ! ไฟฉายคุณ!” คาซิมิร้องด้วยความตกใจ เธอลองเปิดไฟฉายในมือของตัวเอง แต่ก็พบว่ามันดับไปเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้!” เคนตะสบถ เขาลองเคาะไฟฉายเบาๆ พยายามเปิดมันอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีแสงใดๆ ปรากฏขึ้น “มันต้องมีอะไรบางอย่างทำกับไฟฉายของเรา” แกรก! แกรก! เสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากรอบด้าน ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังขยับตัวอยู่ในความมืด คาซิมิรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นยะเยือกที่ปะทะกับต้นคอ เธอรีบหันไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดสนิท “เคนตะ...ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ เราเลย” เธอพูดเสียงสั่น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิด “ฉันก็รู้สึก” เคนตะตอบ เขากระชับมีดอาคมแน่น “พวกมันไม่ได้โจมตีเราตรงๆ แต่มันกำลังเล่นงานประสาทสัมผัสของเราอยู่” เขานึกถึงสิ่งที่ลุงซาโตรุเคยสอนไว้เกี่ยวกับปีศาจบางประเภทที่สามารถบิดเบือนการรับรู้ของมนุษย์ได้ “คาซิมิ เธอพอจะร่ายคาถาที่ช่วยเพิ่มการรับรู้ได้ไหม?” คาซิมิพยายามรวบรวมสมาธิ เธอหลับตาลงเพื่อตัดการมองเห็นที่ไร้ประโยชน์ออกไป และพยายามเพ่งไปที่พลังอาคมในตัว “ฉันจะลองดูค่ะ...คาถา ‘นิมิต’...” เธอเริ่มร่ายคาถา เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พลังอาคมสีฟ้าอ่อนๆ เริ่มเรืองรองขึ้นจากตัวเธออีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้เปล่งแสงออกมาให้เห็นด้วยตาเปล่า มันเป็นพลังงานที่แผ่ซ่านออกไปในอากาศ คล้ายกับคลื่นเสียงที่มองไม่เห็น เมื่อคาถาจบลง คาซิมิก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอไม่ได้มองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยแสงสว่าง แต่กลับเห็นเป็นภาพเรืองรองของพลังงานที่อยู่ในความมืด เธอเห็นโครงสร้างของห้างร้าง เห็นประตูเหล็ก และที่สำคัญ...เธอเห็น เงา จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบตัวพวกเขา เงาเหล่านี้ไม่ได้มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงกลุ่มหมอกควันที่บิดเบี้ยว ล้อมรอบพวกเขาไว้แน่นหนา “เคนตะ! มีเงาปีศาจเต็มไปหมดเลย! มันอยู่รอบตัวเรา!” คาซิมิอุทานด้วยความตกใจ “มันอยู่ทุกทิศทางเลยค่ะ!” เคนตะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากปีศาจเหล่านั้น “ฉันรู้แล้ว” เขากัดฟันกรอด “พวกมันคงตั้งใจให้เราติดกับดักนี้” “แล้วเราจะทำยังไงดีคะ? เรามองไม่เห็นพวกมันเลย!” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง การมองเห็นด้วยพลังอาคมของเธอทำให้เธอเห็นถึงจำนวนปีศาจที่มหาศาล ซึ่งเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าการมองไม่เห็นเสียอีก “เราต้องหาแกนกลางของพวกมัน” เคนตะพูด “ปีศาจพวกนี้มักจะมีตัวแม่ หรือผู้นำที่ควบคุมพวกมันอยู่ ถ้าเราจัดการตัวนั้นได้ ที่เหลือก็จะอ่อนแอลง” เขาหันไปทางคาซิมิ “เธอใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอส่องเข้าไปในความมืดได้ลึกแค่ไหน?” คาซิมิพยายามเพ่งสมาธิอีกครั้ง ภาพเรืองรองของเงาปีศาจเริ่มชัดเจนขึ้น เธอเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกมัน ราวกับเส้นใยบางๆ ที่เชื่อมโยงจากเงาหนึ่งไปยังอีกเงาหนึ่ง และทั้งหมดนั้นก็เชื่อมโยงไปที่จุดศูนย์กลางจุดหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในความมืดมิดของห้างร้าง “ฉันเห็นค่ะ! เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ลึกเข้าไป...มันเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของพลังงานพวกนี้!” คาซิมิชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มันอยู่ลึกเข้าไปในตัวอาคาร!” เคนตะพยักหน้า “ดีมาก! เราต้องบุกเข้าไปที่นั่น” “แต่พวกมันเยอะมากเลยนะคะเคนตะ! ถ้าเราเดินเข้าไปตรงๆ เราต้องโดนโจมตีแน่ๆ!” คาซิมิท้วงด้วยความกังวล “นั่นแหละคือสิ่งที่พวกมันต้องการ” เคนตะตอบ “พวกมันต้องการให้เรากลัวจนไม่กล้าเคลื่อนไหว เพื่อให้เราหมดแรงไปเอง” เขากลับมาที่ประตูเหล็กฉุกเฉินอีกครั้ง “ประตูนี้...คงเป็นทางที่พวกมันใช้ล่อเรามา” “แล้วเราจะทำยังไงคะ? เราจะไปที่จุดศูนย์รวมนั้นได้ยังไง?” คาซิมิถาม เคนตะมองไปที่โซ่ที่ล็อกประตู “ฉันจะใช้พลังทั้งหมดที่มีเปิดประตูนี้ ไม่ใช่เพื่อออกไป แต่เพื่อสร้างแรงปะทะที่พอจะสลายเงาพวกนี้ออกไปชั่วคราว แล้วเราจะพุ่งเข้าไปให้เร็วที่สุด!” “แต่ถ้าคุณเปิดไม่ได้ล่ะคะ?” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงกังวล เคนตะยิ้มมุมปาก “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วคาซิมิ เราต้องเสี่ยง” เขายื่นมีดอาคมให้คาซิมิ “เธอถือมีดฉันไว้ ถ้าฉันพลาด...เธอรู้หน้าที่ของเธอใช่ไหม?” คาซิมิรับมีดอาคมมาด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความมุ่งมั่นที่ผสมปนเปกัน “ฉัน...ฉันเข้าใจค่ะ” เธอรู้ว่าเคนตะกำลังขอให้เธอเตรียมพร้อมที่จะจัดการกับวิญญาณของเขา หากเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเหล่านี้ เคนตะหลับตาลง เขาตั้งสมาธิ พลังอาคมสีเงินเริ่มไหลเวียนรอบกายของเขาอย่างเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กล้ามเนื้อของเขาเกร็งแน่น เส้นเลือดปูดโปนขึ้นตามแขน ครืนนนนน! เสียงคำรามต่ำๆ ออกมาจากลำคอของเคนตะ พลังงานมหาศาลถูกรวบรวมไว้ที่สองมือของเขาที่กำลังจับโซ่เหล็กที่ล็อกประตูไว้ “ไปเถอะคาซิมิ! ตอนนี้แหละ!” เคนตะตะโกนลั่น เขาออกแรงดึงโซ่อย่างสุดกำลัง พลังอาคมสีเงินพุ่งออกมาจากมือของเขาเข้าปะทะกับโซ่เหล็ก เสียงโลหะที่บิดเบี้ยวจากการถูกพลังงานมหาศาลกระแทกดังสนั่นห้างร้าง เปรี๊ยะ! ครืดดดดด! โซ่เหล็กขาดสะบั้นด้วยแรงของเคนตะ ประตูเหล็กบานใหญ่ถูกกระแทกออกไปด้านนอกด้วยแรงมหาศาล โครมมมมม! เสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้างร้าง แรงปะทะจากการเปิดประตูทำให้เงาปีศาจที่อยู่รอบตัวพวกเขากระจายตัวออกไปชั่วขณะหนึ่ง “ตอนนี้แหละคาซิมิ!” เคนตะตะโกน เขาพุ่งตัวเข้าไปในความมืดที่ลึกเข้าไปในห้างร้างทันที โดยไม่หันกลับไปมองประตูที่พังทลาย คาซิมิรีบวิ่งตามเคนตะไปอย่างไม่คิดชีวิต เธอใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอเป็นเครื่องนำทาง เธอเห็นเงาปีศาจกำลังรวมตัวกันอีกครั้งจากด้านหลังและรอบข้าง พยายามจะเข้ามาโอบล้อมพวกเขา “พวกมันกำลังตามมาแล้วค่ะเคนตะ!” คาซิมิร้องเตือน เคนตะวิ่งนำหน้าไปอย่างไม่ลดละ เขาพยายามใช้ความเร็วและทิศทางที่คาซิมิบอกเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกับเงาปีศาจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกเขาพุ่งทะลุผ่านกองซากปรักหักพัง พลางหลบหลีกเศษแก้วที่กระจัดกระจาย “เกาะฉันไว้ให้แน่นคาซิมิ!” เคนตะตะโกน เมื่อเขากระโดดข้ามซากเสาที่ล้มขวางทาง คาซิมิพยักหน้า เธอจับแขนเขาแน่น แต่แล้ว ทันใดนั้นเอง พื้นด้านหน้าของพวกเขาก็ทรุดตัวลง โครมมมม! เคนตะเบรกตัวกะทันหัน ทำให้ทั้งคู่เกือบจะตกลงไปในหลุมมืดเบื้องล่าง “บ้าจริง!” เคนตะสบถ เขาใช้ไฟฉายที่ยังคงดับอยู่ส่องลงไปในหลุม แต่ก็ไม่เห็นก้นหลุมเลย “มันเป็นกับดักอีกแล้ว!” แกรก! แกรก! เสียงเงาปีศาจที่ตามหลังมาใกล้เข้ามาทุกที พวกมันกำลังล้อมพวกเขาไว้จากทุกทิศทาง “เราถูกต้อนจนมุมแล้วค่ะเคนตะ!” คาซิมิพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง เคนตะมองไปรอบตัวด้วยแววตาที่มุ่งมั่น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะยอมแพ้ “ไม่หรอกคาซิมิ ตราบใดที่เรายังยืนอยู่ตรงนี้ เราก็ยังไม่แพ้!” เขามองไปที่จุดศูนย์รวมพลังงานที่คาซิมิเคยบอก “มันต้องอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ” “แล้วเราจะไปถึงมันได้ยังไงคะ?” คาซิมิถาม ดวงตาของเธอมองเห็นเงาปีศาจที่กำลังบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ เคนตะหันไปมองคาซิมิ “เธอเชื่อใจฉันไหมคาซิมิ?” คาซิมิพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แน่นอนค่ะ!” “ดีมาก!” เคนตะยิ้ม “ฉันจะใช้พลังอาคมทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างทาง เธอต้องใช้คาถา ‘นิมิต’ ของเธอให้ถึงขีดสุด เพื่อนำทางฉันไปที่จุดศูนย์รวมนั้น และเตรียมขวดกักเก็บวิญญาณให้พร้อม” เขาหันไปเผชิญหน้ากับความมืดที่เต็มไปด้วยเงาปีศาจ “เราจะแหวกฝูงพวกมันไป!” แสงสีเงินวูบวาบจากตัวเคนตะอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่แสงที่พุ่งออกมาเพื่อโจมตี แต่มันกลับแผ่ขยายออกไปรอบตัวเขาและคาซิมิราวกับเกราะป้องกัน เปล่งแสงเรืองรองในความมืดมิดของห้างร้าง คล้ายกับดวงดาวที่ส่องประกายท่ามกลางราตรีที่มืดมิดที่สุด “ไปกันเลยคาซิมิ!” เคนตะตะโกนลั่น เขาพุ่งตัวเข้าไปในวงล้อมของเงาปีศาจที่มองไม่เห็น โดยมีคาซิมิที่ใช้พลังอาคมนำทางอยู่เคียงข้าง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลัง แต่เป็นการต่อสู้กับความมืดมิดและกับดักที่มองไม่เห็นเคนตะและคาซิมิเดินมาหยุดอยู่หน้า ประตูเหล็กฉุกเฉิน บานใหญ่ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ บานประตูถูกปิดตายด้วยโซ่ขนาดใหญ่และกุญแจสนิมเขรอะบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนาน เคนตะมองสำรวจโดยรอบ ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด“โซ่เส้นใหญ่ขนาดนี้ จะงัดยังไงคะเคนตะ?” คาซิมิถามด้วยน้ำเสียงกังวล เธอพยายามใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดูรายละเอียด แต่ความมืดมิดรอบข้างกลับยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดเคนตะลองเอามือจับโซ่ เขาออกแรงดึงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย “มันล็อกแน่นมาก คงต้องใช้แรงเยอะหน่อย หรือไม่ก็ต้องใช้พลังอาคม” เขากลับมามองรอบตัวอีกครั้ง “แต่ฉันไม่คิดว่านี่คือทางออกที่เราจะเดินผ่านไปง่ายๆ”“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ?” คาซิมิขมวดคิ้วสงสัยเคนตะชี้ไปที่รอยขีดข่วนบนพื้นและผนังใกล้กับประตู “ดูนี่สิ รอยขีดข่วนพวกนี้มันดูใหม่กว่าส่วนอื่นๆ ของห้างมาก เหมือนมีบางอย่างพยายามจะเปิดประตู หรือบางอย่างพยายามจะออกจากประตูนี้มา” เขามองเข้าไปในความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในห้างร้าง “อีกอย่าง...นาฬิกาอาคมของเธอยังคงเตือนอยู่ใช่ไหม?”คาซิมิยกข้อมือขึ้นดู นาฬิกาของเธอยังคงสั่นเตือนเบาๆ แต่เข็มนาฬิกาไม่ได้ชี้ไป
ความเงียบที่กลับคืนมาหลังจากปีศาจถูกกักเก็บช่างหนักอึ้งและน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม คาซิมิรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่คืบคลานเข้าจับจิตใจ แม้ว่าภารกิจแรกจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เธอก็ยังคงไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ ห้างร้างที่มืดมิดและกว้างใหญ่ ราวกับจะค้นหาภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นอยู่“เคนตะ...คุณบาดเจ็บนี่นา” คาซิมิเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง แสงจากไฟฉายในมือเธอส่องไปที่ไหล่ของเขา เสื้อผ้าที่เคยสะอาดบัดนี้มีรอยฉีกขาด และคราบเลือดสีเข้มก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเคนตะพยักหน้ารับเล็กน้อย พยายามปั้นยิ้มบางๆ “นิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” เขาปัดมือที่เปื้อนเลือดออกอย่างไม่ใส่ใจ “แค่นี้สบายมาก” แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่พยายามเก็บซ่อน“สบายมากอะไรกันคะ เลือดออกเยอะขนาดนี้” คาซิมิขมวดคิ้วมุ่น เธอหยิบผ้าสะอาดในกระเป๋าเป้ใบเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรจงทำความสะอาดบาดแผลและพันผ้าพันแผลให้เขาอย่างเบามือ “คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้นะคะ นี่มันแค่ตัวแรกเอง เราไม่รู้หรอกว่าข้างหน้าจะเจออะไรอีก”เคนตะมองท่าทีที่ห่วงใยของเธอ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “รู้แล้วน่า ขอบคุณนะคาซิม
แสงไฟจากประตูมิติบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้า คาซิมิมองมันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความลังเลอย่างเห็นได้ชัด ความมืดที่รออยู่ด้านหลังบานประตูดูดกลืนทุกสิ่งจนน่าขนลุก เคนตะที่ยืนอยู่ข้างกาย สัมผัสได้ถึงความสั่นเทาเล็กน้อยจากมือที่เขากุมไว้ เขากระชับมือคาซิมิมั่นขึ้นเล็กน้อย พยายามส่งผ่านความอบอุ่นและความมั่นใจไปให้เธอ“ไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน” เคนตะเอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม พยายามให้เสียงของเขาหนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสยบความกังวลในใจของเธอคาซิมิเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาคู่สวยสะท้อนความกลัวอย่างปิดไม่มิด “เรา...เราจะได้กลับออกมาอีกไหม” เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับความหวังที่ริบหรี่กำลังจะมอดดับลงเคนตะยิ้มบาง ๆ พยักหน้าให้กำลังใจ “ได้สิ ฉันสัญญา เราต้องกลับมาแน่นอน” เขาเน้นคำว่า "สัญญา" เพื่อให้เธอเชื่อมั่นในคำพูดของเขา “แต่ตอนนี้เราต้องไปแล้ว”คาซิมิพยักหน้ารับช้า ๆ ด้วยแววตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนที่ทั้งคู่จะรวบรวมความกล้า ก้าวเท้าผ่านมิติอันบิดเบี้ยวเข้าไปทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตูมิติ โลกที่คุ้นเคยก็ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ความหน