LOGIN
“คุณหนู คุณหนู ตื่นครับ รถไฟมาถึงแล้ว เร็วเข้า ถ้าพลาดเที่ยวนี้ต้องรออีกสามวันเลยนะครับ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น ร่างของซุยหลันซีถูกเขย่าเบาๆ ทำให้เธอเกิดความรำคาญเล็กน้อยจึงใช้มือปัดออก พูดกับคนที่มาปลุกเธอให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุขด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เพ่ยเพ่ย อย่ามากวนได้ไหม ฉันง่วง จะนอน วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน” พูดจบก็พลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง แต่แทนที่จะคว้าเอาเจ้าขนฟูมากอดเหมือนวันอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอหล่นลงพื้นเสียงดังตุ๊บ
“โอ๊ย เพ่ยเพ่ย ยัยบ้า ไม่ตื่นแค่นี้ถึงกับถีบฉันตกเตียงเลยเหรอ!”
ซุยหลันซีลูบบั้นท้ายตนเองป้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่หวังจะจัดการเพื่อนสาวคนสนิทที่แกล้งกันได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะสภาพแวดล้อมที่ซุยหลันซีเห็นอยู่เต็มสองตาตอนนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งเก่าและทรุดโทรม ที่สำคัญคือมีเสียงดังจอแจเต็มไปหมด ซุยหลันซีเหลียวมองไปรอบๆ ก็ยิ่งตกตะลึงตาค้าง เพราะห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตร เธอเห็นผู้คนกำลังหลั่งไหลไปขึ้นรถไฟขบวนหนึ่ง
“รถไฟ สถานีรถไฟเหรอ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเองด้วยความงงงวย กำลังคิดว่าฝันไปอยู่หรือเปล่า ซุยหลันซีหยิกเนื้อที่ขาตัวเอง
“ซี๊ด...” ก็เจ็บนี่นา ไม่ได้ฝันไปเสียหน่อย
“คุณหนู เราต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ” เสียงของชายคนเดิมเอ่ยเตือนขึ้นอีกครั้ง ช่วยให้ซุยหลันซีรู้สึกตัวหลุดออกจากภวังค์ ถึงแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็เอ่ยถามออกไป
“นี่คุณ ไปไหน ฉันต้องไปไหน”
“คุณหนู ลืมไปแล้วหรือครับ พวกเราต้องเดินทางไปกว่างโจวกัน ตอนนี้รถไฟมาแล้ว ถึงเวลาต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ”
ชายหนุ่มบอกพลางลุกขึ้นสำรวจดูกระเป๋าของตนเองและของภรรยา เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นด้วยสองมือ พลางปรายตามองมายังซุยหลันซีที่ทำสีหน้างงงวยอยู่บนพื้น
“ไปเถอะเราต้องเดินทางกันอีกสองวัน”
“เอ่อ...” ซุยหลันซีตกใจลุกพรวดขึ้นยืน ก้มลงจัดเสื้อผ้าด้วยความเคยชิน ขณะที่ใช้มือจัดเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ถึงกับอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้น มันช่างล้าสมัย ที่สำคัญเธอสวมกระโปรงกับรองเท้าคัชชูสีดำมีสายรัดเหมือนกับรองเท้านักเรียนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันนี่นะสวมรองเท้าคัทชู กับกระโปรง” ซุยหลันซีเปรยกับตนเองเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายคนนั้นกำลังก้าวขึ้นรถไฟ
ซุยหลันซีกลัวจะหลงกับผู้ชายคนนั้น คนที่เรียกเธอ คล้ายกับรู้จักกัน ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อชายหนุ่มคนนี้ไปก่อน แล้วปัดทุกความสงสัยทิ้งไป
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกระเป๋าถือวางอยู่บนม้านั่งก็คิดว่าน่าจะเป็นกระเป๋าของตนเอง จึงรีบคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินจนเกือบจะวิ่งเพื่อตามชายตรงหน้าให้ทัน
“เดี๋ยวนะขึ้นรถไฟก็ต้องมีตั๋ว แล้วฉันมีตั๋วหรือเปล่า?”
ซุยหลันซีระหว่างเดินตามชายคนนั้นก็นึกเอะใจขึ้นมา จึงลองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงก็เจอกับกระดาษแข็งสีขาวใบหนึ่ง เมื่อหยิบออกมาดูก็ปรากฏว่าเป็นตั๋วรถไฟ ในนั้นระบุว่า
ต้นทางคือปักกิ่ง ปลายทางคือกว่างโจว
วันที่บนตั๋วระบุว่า วันที่ 10 เมษายน 1985
นอกจากนี้ก็ยังมีหมายเลขรถไฟ ประเภทที่นั่งและราคาตั๋ว
ข้อมูลทุกอย่างซุยหลันซีอ่านแค่เพียงผ่านตา แต่มาสะดุดแทบหัวคะมำเมื่อเห็นวันที่บนตั๋ว
“หนึ่ง เก้า แปด ห้า ตายแน่ฉัน ฉันกำลังฝันไปแน่ๆ ตื่นสิ ตื่น” ซุยหลันซีหยุดเดินแล้วยกมือตบหน้าตนเองไปสองสามที ทำให้ผู้โดยสารที่เดินตามหลังมาถึงกับอารมณ์เสีย
“นี่ คุณ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเสียสติ ถ้าไม่ไปก็ขยับให้คนอื่นเดินสิ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินตามหลังซุยหลันซีมาตั้งแต่หัวขบวนพูดขึ้นมาเสียงดัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างก็ยื่นหน้าเบี่ยงตัวพากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ” ซุยหลันซีได้ยินดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะหันไปขอโทษคนข้างหลังและเดินตามหาตู้รถไฟที่ปรากฏบนตั๋ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นตู้นอนส่วนตัวสองที่นั่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเธอก็มาถึงตู้ขบวนรถไฟของเธอ พอมาถึงก็พบว่าชายคนที่เธอไล่ตามมานั่งอยู่ที่นั่น
“อ้าว คุณนั่งตรงนี้เหรอ” ซุยหลันซีเอ่ยถามพลางนั่งลงแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว
“คุณหนู เราเดินทางด้วยกัน ที่นั่งก็ต้องด้วยกันอยู่แล้ว”
“หา? ฉันว่าจะถามคุณหลายครั้งแล้ว คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?” ซุยหลันซีจ้องไปยังใบหน้าคมคร้าม พลางพิจารณาชายตรงหน้าอย่างละเอียด เขาเป็นคนที่สูงมาก น่าจะสูงเกือบๆหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าคมคาย ผิวขาวคล้ายกับดาราจีนที่เธอชอบ ใบหน้าเย็นชา เหมือนจะมีอยู่หน้าเดียว เธอมองเขาเงียบๆ
หล่อไม่เบา เสียแต่ขี้เก๊กไปหน่อย
“คุณหนู ผมไม่ตลกด้วยนะครับ”
เติ้งเว่ยหมิงใช้หางตามองเธอกลับ คุณหนูที่เมื่อก่อนเอาแต่กลั่นแกล้งและรังแกเขา ด้วยถือว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กในบ้าน เป็นลูกไล่ของเธอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไม่มีวันไหนที่จะไม่ถูกเธอกลั่นแกล้ง
แต่สายตาชื่นชมนั่นมันคืออะไร? ร้อยวันพันปีคุณหนูผู้เย่อหยิ่งและสูงส่งไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มองเขาสักครั้ง เติ้งเว่ยหมิงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ฉันก็ไม่ตลก เห็นเรียกฉันว่าคุณหนูๆ ตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันแค่สงสัยก็เลยถามดู” น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าล้อเล่น ทำให้เติ้งเว่ยหมิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
คุณหนูผู้เอาแต่ใจคนเก่าหายไปไหน? หรือว่าหลังจากที่ต้องแต่งงานกับเขา เธอก็เสียใจจนเสียสติไปแล้ว?
“คุณหนูจำไม่ได้เหรอครับว่าเราแต่งงานกันแล้ว และกำลังจะเดินทางไปกว่างโจว” เสียงทุ้มๆ ของเขาตอบเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ซุยหลันซีถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นายว่าไงนะ นะ...นายกับฉัน แต่งงานกันแล้ว ไม่จริง! นายโกหกใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ซุยหลันซีตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเป็นรอบที่สาม ความจริงที่ออกจากปากคนที่เธอคิดว่าน่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้
“ผมรู้ว่าคุณหนูเกลียดผม ไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้คุณหนูไม่ใช่คุณหนูผู้สูงส่งลูกสาวท่านนายพลอีกต่อไปแล้ว แต่คุณหนูคือภรรยาของผม คนงานในบ้านที่ต่ำต้อยคนนี้”
เติ้งเว่ยหมิงตอบคำถามที่เดียวจบทุกคำ ซุยหลันซีถึงกับไปไม่เป็น เธอกำลังช็อกกับข้อมูลที่ได้รับ
เติ้งเว่ยหมิงเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขากลับแปลกใจว่าเมื่อเห็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่งทำหน้างงงวย แทนที่จะรู้สึกดีใจ มีความสุขที่สามารถเอาคืนเธอได้ แต่ลึกๆ ในใจกลับเกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมา
เติ้งเว่ยหมิงสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ผมจะไปตู้อาหาร คุณหนูจะไปด้วยกันไหม หรือจะให้ผมซื้อกลับมาให้”
“ฉันยังไม่หิว นายไปเถอะ” ซุยหลันซีเอ่ยตอบด้วยอาการเหม่อลอย พลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เหมือนกับไม่ต้องการคุยด้วยอีกต่อไป
เติ้งเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่เซ้าซี้ เขาเดินออกจากตู้นอนไปยังตู้อาหาร
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลกลางเมืองปักกิ่ง ซุยหลันซีในชุดคนไข้นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าไร้สีเลือด แต่ยังคงความงดงามแฝงด้วยความสงบ ห้องที่เธอนอนอยู่ดูอบอุ่นกว่าห้องพักฟื้นทั่วไป ข้างเตียงมีกระถางดอกลิลลี่สีขาววางไว้ เติมความสดชื่นให้กับบรรยากาศ“นี่ฉัน...กลับมาที่ยุคของฉันแล้วใช่ไหม?”เธอถามตัวเอง หลังจากที่ยืนมองร่างของตนเองที่นอนอยู่บนเตียงจากนั้น ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหน้าห้องพักฟื้น เสียงนี้คุ้นเคยจนเธอรู้สึกอบอุ่น เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยลี่ลี่และเหอจิ้ง พวกเขาต่างถือถุงใส่อาหารและเครื่องดื่มมาด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“หลันหลัน! เธอต้องภูมิใจแน่ๆ”เพ่ยเพ่ยวางถุงไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับจับมือขวาของซุยหลันซีขึ้นมาจับไว้ “คอมมิคของพวกเราผ่านการพิจารณาแล้วนะ! สำนักพิมพ์ใหญ่เซ็นสัญญาแล้วด้วย”ลี่ลี่หัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว จะขี้เซานอนไปถึงเมื่อไหร่ ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นดีใจ ฉลองกับพวกเราดีกว่าไหม”เหอจิ้งที่มักพูดน้อยที่สุดในกลุ่ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราส
ในงานเลี้ยงหลังการแสดงแบบ ซุยหลันซีกำลังจิบน้ำชาอย่างสงบ ด้วยเธอยังให้นมลูกอยู่จึงไม่สะดวกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สายตากวาดมองผู้คนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะ“คุณซุย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักขึ้นเป็นภาษาจีนกลางที่มีสำเนียงกวางตุ้งแทรกซุยหลันซีหันไปพบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทาเข้ม รูปร่างท้วมภูมิฐาน เขายิ้มอย่างมีไมตรีก่อนแนะนำตัว“ผมหว่องไห่เฉิง จากห้างสรรพสินค้าไท่ผิงหยางในฮ่องกงครับ” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย “ชุดที่คุณออกแบบ...น่าสนใจมากทีเดียว”เติ้งเว่ยหมิงที่ยืนอยู่ข้างภรรยา สังเกตเห็นประกายในดวงตาของนักธุรกิจผู้นี้ นั่นคือสายตาของคนที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ“ขอบคุณมากค่ะ” ซุยหลันซีตอบอย่างถ่อมตน พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ“ทราบมาว่าคุณเพิ่งเริ่มออกแบบได้ไม่นาน” หว่องไห่เฉิงเอ่ยต่อ สายตาประเมินอย่างแยบยล “แต่ลายเส้นของคุณ...มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ”“คุณชมเกินไปแล้วค่ะ” ซุยหลันซียิ้มบาง “ฉันแค่พยายามผสมผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับรสนิยมร่วมสมัย”“นั่นสิ” หว่องไห่เฉิงพยักหน้าอย่างเห็
ในเวลาตอนเย็นที่เป็นการแสดงที่แท้จริง ทุกคนจากคณะของประเทศจีนก็มาเตรียมตัวในส่วนที่ทางเจ้าภาพจัดให้ไว้ ไมเคิลมาประกบคณะจากโรงงานเฟิ่งหยุนตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วที่ห้องเตรียมตัวชั้นล่างของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องที่มีการจัดงาน เทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกง ปี 1986 ซุยหลันซียืนจ้องชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ ที่แขวนอยู่บนราวด้วยสายตาพิถีพิถัน ผ้าไหมสีม่วงอมน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับใต้แสงไฟ ลายปักนกหงส์ทองและดอกโบตั๋นที่ปักด้วยด้ายเงินดูมีชีวิตชีวา“พี่หลันหลัน” เสี่ยวน่าที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จเดินเข้ามาหา “พี่คิดว่าชุดนี้จะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจฮ่องกงไหมคะ”“แน่นอนสิจ๊ะ” ซุยหลันซียิ้มให้กำลังใจ“เธอสวยมากวันนี้ เสี่ยวจูแต่งหน้าให้เข้ากับชุดได้ดีทีเดียว”เสี่ยวจูที่ยืนจัดอุปกรณ์แต่งหน้าอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภูมิใจ “ฉันตั้งใจมากเลยนะคะ วันนี้ต้องให้เสี่ยวน่าสวยที่สุด”หวงเสี่ยวเหมยเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง “นี่ลำดับการเดินแบบ เราเป็นลำดับที่สาม ต่อจากร้านเสื้อดังของฮ่องกง”ซุยหลันซีพยักหน้า มือเธอสัมผัสผ้าไหมของชุดอีกครั้ง นึกถึงคำพู
รุ่งขึ้นหลังจากที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ไมเคิลก็มาพาคณะของประเทศจีนไปเยี่ยมชมสถานที่เป็นแลนด์มาร์กของฮ่องกง ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนของโรงงานเฟิงหยุนนั่นเองฟ้าใสไร้เมฆในยามสายทำให้การเริ่มต้นทัวร์ฮ่องกงของพวกเขาเป็นไปอย่างสดใส ไมเคิลวางแผนเส้นทางอย่างละเอียด เริ่มจากพีคแทรมที่พาทุกคนขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาวิกตอเรีย“นี่คือพีคแทรม รถรางที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888” ไมเคิลอธิบายขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในรถรางไม้เก่าแก่ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปบนเขาวิกตอเรีย เสียงล้อเหล็กครูดกับรางดังเป็นจังหวะซุยหลันซีนั่งข้างหน้าต่างบานเล็ก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มซุยอวี้เซียนที่กำลังงอแง เด็กน้อยคงไม่คุ้นชินกับการเดินทางแบบนี้ ส่วนเติ้งเจียหาวนั่งบนตักของเติ้งเว่ยหมิง มือน้อยๆ เกาะขอบหน้าต่างแน่น ทุกครั้งที่รถรางสั่นไหว“พี่เสี่ยวเหมยคะ ดูตึกพวกนั้นสิ” เสี่ยวจูชี้ไปยังอาคารสูงสิบกว่าชั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมอ่าว ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหวงเสี่ยวเหมยมองตามนิ้วชี้ของเสี่ยวจู ใบหน้าเผยความประหลาดใจไม่ต่างกัน “ฮ่องกงช่างแตกต่างจากกว่างโจวจริ
ซุยหลันซีเดินทางมาถึงวันจัดงานก่อนล่วงหน้าถึงสามวัน เนื่องจากว่าเธอเดินทางกับเด็กเล็กจึงต้องการให้มีเวลาได้พักผ่อนไมเคิล เป็นคนที่มีความสามารถพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีนกลาง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนพื้นเมืองของฮ่องกง แต่ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษเนื่องจากฮ่องกงยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั่นเอง ในการสื่อสาร ไมเคิลใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารจากคณะที่มาจากประเทศจีนด้วยการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพของไมเคิล ทำให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น คณะของพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการผ่านช่องทางสำหรับแขกของรัฐบาล“โรงแรมที่พวกเราจะเข้าพักคือ เดอะซาเลสเบอรี วายเอ็มซีเอ ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ยครับ” ไมเคิลอธิบายขณะนำทางทุกคนขึ้นรถบัสปรับอากาศ“เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง พวกคุณจะได้เห็นอ่าววิกตอเรียและเส้นขอบฟ้าของเกาะฮ่องกงได้อย่างชัดเจนจากห้องพัก”หวงเสี่ยวเหมยกระซิบกับซุยหลันซี “โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านนายพลกุ้ยช่วย ถึงได้พักโรงแรมระดับนี้ในราคาถูก”ซุยหลันซีพยักห
หนึ่งวันก่อนการเดินทางไปฮ่องกง ที่โรงงานเฟิงหยุน มีการประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้ง“ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม?”เสียงใสของหวงเสี่ยวเหมยดังขึ้นในห้องประชุมของโรงงานเฟิงหยุน หญิงสาวกำลังตรวจรายการเอกสารและสัมภาระครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศซุยหลันซีพยักหน้า พลางก้มมองแฟ้มเอกสารตรงหน้า ภายในบรรจุแบบเสื้อที่เธอทุ่มเทออกแบบจนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ จะได้ร่วมแสดงในงานเดินแบบที่ฮ่องกง งานนี้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาจากหกเดือนมาเป็นหนึ่งปี“นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของพวกเรา” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“งานนี้จะมีนักธุรกิจจากฮ่องกงมาร่วมงานมากมาย ถ้าพวกเขาสนใจในแบบของเรา... ดังนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานออกมาให้อย่างเต็มที่”ซุยหลันซีนักออกแบบ เสี่ยวน่านางแบบและเสี่ยวจูช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะต่างพยักหน้ารับ พวกเธอจะร่วมเดินทางไปในฐานะผู้ช่วย&nbs




![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


