LOGINลงจากรถสามล้อเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ซุยหลันซีรีบเดินเข้าไปในตลาด ใช้เวลาเดินสำรวจที่ถนนเป่ยจิงลู่นานหลายชั่วโมง เหลือเวลาอีกประมาณสองชั่วโมงเติ้งเว่ยหมิงจะได้เวลาเลิกงานกลับบ้าน
ซุยหลันซียืนอยู่หน้าร้านขายผักสด ไม่แน่ใจว่าควรซื้ออะไรบ้างพลันหูได้ยินเสียงทักมาจากทางด้านหลัง
“หลันหลัน มาซื้อผักเหรอจ๊ะ”
เสียงคุ้นหูดังขึ้น เป็นหลี่ชิงหรงที่เดินจูงมือหวังเย่เล่อ ลูกชายเข้ามาหา เธอยิ้มทักทายอย่างอบอุ่น
“พี่ชิงหรงกับเล่อเล่อนั่นเอง พี่ก็มาจ่ายตลาดเหมือนกันเหรอคะ”
“จ้ะ พี่เพิ่งเสร็จธุระก่อนกลับบ้านก็เลยแวะมาตลาด วันนี้ได้อยู่บ้านกับเล่อเล่อก็เลยว่าจะทำหม้อไฟกินกัน”
หลี่ชิงหรงตอบยิ้มๆ
“จริงด้วย พี่ชิงหรง ฉันยังไม่ได้ฉลองที่มาอยู่บ้านใหม่เลย วันนี้พี่ไปกินหม้อไฟบ้านฉันดีไหมคะ อีกอย่าง ฉันอยากจะขอเรียนการทำอาหารจากพี่ด้วย พี่พอจะช่วยสอนฉันได้ไหมคะ?” หญิงสาวพูดด้วยอาการเขินอาย
“ได้สิ พี่ยินดีสอนเธออยู่แล้ว แลกกับที่เธอจะดูแลเล่อเล่อให้กับพี่ เอาล่ะ พวกเราก็ไปซื้อของสดกันเถอะ”
ปรากฏว่าของสดที่หลี่ชิงหรงพูดถึงนั้นมีเพียงแค่ผักกับเห็ดไม่กี่อย่าง ไม่มีเนื้อสัตว์ทำให้ซุยหลันซีอดแปลกใจไม่ได้
“พี่ชิงหรง กินหม้อไฟแล้วไม่ซื้อหมูหรือไก่เหรอคะ”
ได้ยินคำถามหลี่ชิงหรงยิ้มเขินอายหน้าแดง แต่ก็ตอบออกมาว่า “พี่ไม่มีเงินพอซื้อพวกเนื้อหรอก ปกติที่บ้านเวลาทำหม้อไฟจะกินแค่ผักกันน้ำมันงาเท่านั้น”
“แม่ครับ แต่วันนี้ผมอยากกินเนื้อบ้าง กินแต่ผักผมเบื่อแล้ว” เด็กน้อยกระตุกแขนมารดาพูดเสียงออดอ้อน
“เล่อเล่อ ตอนนี้เรายังไม่มีเงินพอซื้อเนื้อนะลูก รอให้แม่ได้เงินเดือนก่อน แม่สัญญาว่าจะซื้อเนื้อให้เล่อเล่อกินให้เต็มคราบไปเลย ดีไหม?” หลี่ชิงหรงย่อตัวลงปลอบลูกชาย
“พี่คะ วันนี้ฉันจะฉลองย้ายเข้าบ้านใหม่ ก็ต้องมีเนื้อสิ ไปกันเถอะเล่อเล่อ พี่สาวคนนี้จัดการเอง” พูดจบเธอก็จูงมือเด็กชายให้เดินตามไปทันที ถึงแม้เรื่องทำอาหารจะไม่ถนัด
แต่เรื่องกินเธอถนัดมาก!
ซุยหลันซีจึงซื้อวัตถุดิบเพิ่มอีกหลายอย่าง คำนวณให้เพียงพอกับจำนวนคน ดวงตาของเล่อเล่อเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
เขาจะกินเนื้อให้หนำใจไปเลย!
เสียงเปิดประตูบ้านทำให้ทั้งสามคนในห้องที่กำลังนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่ปรับให้มาเป็นเตาหม้อไฟชั่วคราวหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเติ้งเว่ยหมิง ซุยหลันซีก็รีบลุกขึ้นเดินไปหาชายหนุ่มทันที
“พี่เว่ยหมิง กลับมาแล้วเหรอคะ? วันนี้มีเพื่อนบ้านมาทำความรู้จัก และยังช่วยฉันได้มากก็เลยทำหม้อไฟเป็นการตอบแทน พี่รีบไปล้างมือแล้วมากินหม้อไฟด้วยกัน” ซุยหลันซีพูดพร้อมกับส่งยิ้มสดใสให้กับสามีของตนเอง
เติ้งเว่ยหมิงมองซุยหลันซีด้วยความแปลกใจ ไม่คุ้นเคยกับท่าทีอ่อนโยนของเธอ
“เพื่อนบ้านคนใหม่ ใคร?” เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยถามพลางวางกระเป๋าไว้ตรงที่ชั้นวางของตรงประตู
“พี่เอง อาหมิง” หลี่ชิงหรงได้ยินจึงเดินออกมาพร้อมกับเล่อเล่อ
“พี่อาหมิง พี่หลันหลันบอกว่าต่อไปเล่อเล่อจะได้กินเนื้อทุกวันด้วยครับ” เล่อเล่อพูดพลางน้ำลายก็ไหลย้อยออกมา เด็กน้อยยกมือเช็ดแทบไม่ทัน ท่าทางน่าเอ็นดูมาก
เติ้งเว่ยหมิงยิ้มให้แม่ลูกพยักหน้าให้พวกเขา แล้วก้มลงเอานิ้วเขี่ยแก้มเด็กชายเบาๆ
“พี่รีบไปล้างมือเร็วเข้า วันนี้ฉันกับพี่ชิงหรงช่วยกันทำหม้อไฟ เลี้ยงฉลองที่ได้รู้จักกันและยังเป็นเพื่อนคนแรกของฉันที่นี่ด้วย” ซุยหลันซีพูดเร่งชายหนุ่ม พลางจับมือของชายหนุ่มให้เดินไปที่โต๊ะกินข้าว เติ้งเว่ยหมิงก้มลงมือเรียวงามของคุณหนูผู้เอาแต่ใจ ที่เกลียดเขาเข้าไส้ ตอนนี้กลับพูดด้วยอย่างสนิทสนมและไพเราะ แล้วยังจับแขนของเขาอีกด้วย
ตอนแรกเขาเกือบสะบัดมือแต่ก็ยั้งตัวเองไว้ทัน ด้วยความไม่ชินเติ้งเว่ยหมิงจึงปลดแขนตนเองออกจากมือของเธอด้วยความสุภาพแล้ว ขอตัวไปล้างมือ
“เดี๋ยวฉันตักหม้อไฟให้พี่ไว้เลย รีบมานะคะ”
ซุยหลันซีกลับมานั่งที่เก้าอี้ดังเดิม ไม่ลืมทำตามที่พูด เธอจัดการตักเนื้อผักและเห็ดใส่ถ้วยใบเล็ก และยังมีถ้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ดของเธออีกด้วย พอเติ้งเว่ยหมิงล้างมือเสร็จเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าว อาหารของเขาก็พร้อมกินทันที
“พี่เว่ยหมิงทำงานมาทั้งวันคงจะเหนื่อยมาก รีบกินเถอะค่ะ ฉันกับพี่ชิงหรงช่วยกันทำสุดฝีมือเลยนะคะ”
ซุยหลันซีเอ่ยพร้อมกับเลื่อนถ้วยใบเล็กที่เต็มไปด้วยผักและเนื้อไปตรงหน้าชายหนุ่ม
“ขอบ... ขอบใจนะ” เติ้งเว่ยหมิงทำหน้านิ่ง รับถ้วยมาพร้อมกับคีบผักขึ้นมากิน ซุยหลันซีที่เพิ่งหัดทำอาหารครั้งแรกก็มองตามชายหนุ่มอย่างลุ้นในใจ ทำให้เติ้งเว่ยหมิงถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อมีคนมานั่งจ้องเขากินข้าวอย่างนี้
“น้ำจิ้มสูตรนี้ ภรรยาของเธอบอกสูตรพี่เองเลยนะ พอทำออกมาปรากฏว่ารสชาติดีมาก อาหมิงเธอลองชิมดู” หลี่ชิงหรงเห็นชายหนุ่มมีท่าทีอึดอัดจึงเอ่ยเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ลง พลางคิดในใจว่า ผัวเมียคู่นี้ดูแปลกๆ
“ครับ” ชายหนุ่มคีบเห็ดกับเนื้อลงไปจิ้มในน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ถูกรับรองอย่างแข็งขัน เมื่อชิมดูก็พบว่ารสชาติแตกต่างจากที่เคยกินอยู่เป็นประจำ อร่อยขึ้นมาก
“อร่อยไหมครับพี่อาหมิง เล่อเล่อชอบมาก”
“เล่อเล่อ แค่ขอให้มีเนื้อลูกก็ชอบหมดทุกอย่างนั่นแหละ” หลี่ชิงหรงเอ่ยล้อลูกชาย เด็กชายยิ้มเอียงอายอย่างน่าชัง
“เล่อเล่อ เอาเป็นว่าต่อไปพี่สาวคนนี้สัญญาว่าจะให้เล่อเล่อกินเนื้อทุกวันเลย” ซุยหลันซียกมือไปบิดแก้มยุ้ย ของเด็กชายอย่างมันเขี้ยว
“ดีครับ ผมชอบเนื้อ” คำตอบของเด็กชายทำให้ทั้งสองสาวหัวเราะอย่างชอบใจ แม้แต่เติ้งเว่ยหมิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
กินข้าวเสร็จหลี่ชิงหรงก็ขอตัวพาลูกชายกลับบ้าน
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลกลางเมืองปักกิ่ง ซุยหลันซีในชุดคนไข้นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าไร้สีเลือด แต่ยังคงความงดงามแฝงด้วยความสงบ ห้องที่เธอนอนอยู่ดูอบอุ่นกว่าห้องพักฟื้นทั่วไป ข้างเตียงมีกระถางดอกลิลลี่สีขาววางไว้ เติมความสดชื่นให้กับบรรยากาศ“นี่ฉัน...กลับมาที่ยุคของฉันแล้วใช่ไหม?”เธอถามตัวเอง หลังจากที่ยืนมองร่างของตนเองที่นอนอยู่บนเตียงจากนั้น ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหน้าห้องพักฟื้น เสียงนี้คุ้นเคยจนเธอรู้สึกอบอุ่น เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยลี่ลี่และเหอจิ้ง พวกเขาต่างถือถุงใส่อาหารและเครื่องดื่มมาด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“หลันหลัน! เธอต้องภูมิใจแน่ๆ”เพ่ยเพ่ยวางถุงไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับจับมือขวาของซุยหลันซีขึ้นมาจับไว้ “คอมมิคของพวกเราผ่านการพิจารณาแล้วนะ! สำนักพิมพ์ใหญ่เซ็นสัญญาแล้วด้วย”ลี่ลี่หัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว จะขี้เซานอนไปถึงเมื่อไหร่ ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นดีใจ ฉลองกับพวกเราดีกว่าไหม”เหอจิ้งที่มักพูดน้อยที่สุดในกลุ่ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราส
ในงานเลี้ยงหลังการแสดงแบบ ซุยหลันซีกำลังจิบน้ำชาอย่างสงบ ด้วยเธอยังให้นมลูกอยู่จึงไม่สะดวกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สายตากวาดมองผู้คนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะ“คุณซุย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักขึ้นเป็นภาษาจีนกลางที่มีสำเนียงกวางตุ้งแทรกซุยหลันซีหันไปพบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทาเข้ม รูปร่างท้วมภูมิฐาน เขายิ้มอย่างมีไมตรีก่อนแนะนำตัว“ผมหว่องไห่เฉิง จากห้างสรรพสินค้าไท่ผิงหยางในฮ่องกงครับ” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย “ชุดที่คุณออกแบบ...น่าสนใจมากทีเดียว”เติ้งเว่ยหมิงที่ยืนอยู่ข้างภรรยา สังเกตเห็นประกายในดวงตาของนักธุรกิจผู้นี้ นั่นคือสายตาของคนที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ“ขอบคุณมากค่ะ” ซุยหลันซีตอบอย่างถ่อมตน พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ“ทราบมาว่าคุณเพิ่งเริ่มออกแบบได้ไม่นาน” หว่องไห่เฉิงเอ่ยต่อ สายตาประเมินอย่างแยบยล “แต่ลายเส้นของคุณ...มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ”“คุณชมเกินไปแล้วค่ะ” ซุยหลันซียิ้มบาง “ฉันแค่พยายามผสมผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับรสนิยมร่วมสมัย”“นั่นสิ” หว่องไห่เฉิงพยักหน้าอย่างเห็
ในเวลาตอนเย็นที่เป็นการแสดงที่แท้จริง ทุกคนจากคณะของประเทศจีนก็มาเตรียมตัวในส่วนที่ทางเจ้าภาพจัดให้ไว้ ไมเคิลมาประกบคณะจากโรงงานเฟิ่งหยุนตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วที่ห้องเตรียมตัวชั้นล่างของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องที่มีการจัดงาน เทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกง ปี 1986 ซุยหลันซียืนจ้องชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ ที่แขวนอยู่บนราวด้วยสายตาพิถีพิถัน ผ้าไหมสีม่วงอมน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับใต้แสงไฟ ลายปักนกหงส์ทองและดอกโบตั๋นที่ปักด้วยด้ายเงินดูมีชีวิตชีวา“พี่หลันหลัน” เสี่ยวน่าที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จเดินเข้ามาหา “พี่คิดว่าชุดนี้จะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจฮ่องกงไหมคะ”“แน่นอนสิจ๊ะ” ซุยหลันซียิ้มให้กำลังใจ“เธอสวยมากวันนี้ เสี่ยวจูแต่งหน้าให้เข้ากับชุดได้ดีทีเดียว”เสี่ยวจูที่ยืนจัดอุปกรณ์แต่งหน้าอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภูมิใจ “ฉันตั้งใจมากเลยนะคะ วันนี้ต้องให้เสี่ยวน่าสวยที่สุด”หวงเสี่ยวเหมยเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง “นี่ลำดับการเดินแบบ เราเป็นลำดับที่สาม ต่อจากร้านเสื้อดังของฮ่องกง”ซุยหลันซีพยักหน้า มือเธอสัมผัสผ้าไหมของชุดอีกครั้ง นึกถึงคำพู
รุ่งขึ้นหลังจากที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ไมเคิลก็มาพาคณะของประเทศจีนไปเยี่ยมชมสถานที่เป็นแลนด์มาร์กของฮ่องกง ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนของโรงงานเฟิงหยุนนั่นเองฟ้าใสไร้เมฆในยามสายทำให้การเริ่มต้นทัวร์ฮ่องกงของพวกเขาเป็นไปอย่างสดใส ไมเคิลวางแผนเส้นทางอย่างละเอียด เริ่มจากพีคแทรมที่พาทุกคนขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาวิกตอเรีย“นี่คือพีคแทรม รถรางที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888” ไมเคิลอธิบายขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในรถรางไม้เก่าแก่ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปบนเขาวิกตอเรีย เสียงล้อเหล็กครูดกับรางดังเป็นจังหวะซุยหลันซีนั่งข้างหน้าต่างบานเล็ก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มซุยอวี้เซียนที่กำลังงอแง เด็กน้อยคงไม่คุ้นชินกับการเดินทางแบบนี้ ส่วนเติ้งเจียหาวนั่งบนตักของเติ้งเว่ยหมิง มือน้อยๆ เกาะขอบหน้าต่างแน่น ทุกครั้งที่รถรางสั่นไหว“พี่เสี่ยวเหมยคะ ดูตึกพวกนั้นสิ” เสี่ยวจูชี้ไปยังอาคารสูงสิบกว่าชั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมอ่าว ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหวงเสี่ยวเหมยมองตามนิ้วชี้ของเสี่ยวจู ใบหน้าเผยความประหลาดใจไม่ต่างกัน “ฮ่องกงช่างแตกต่างจากกว่างโจวจริ
ซุยหลันซีเดินทางมาถึงวันจัดงานก่อนล่วงหน้าถึงสามวัน เนื่องจากว่าเธอเดินทางกับเด็กเล็กจึงต้องการให้มีเวลาได้พักผ่อนไมเคิล เป็นคนที่มีความสามารถพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีนกลาง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนพื้นเมืองของฮ่องกง แต่ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษเนื่องจากฮ่องกงยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั่นเอง ในการสื่อสาร ไมเคิลใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารจากคณะที่มาจากประเทศจีนด้วยการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพของไมเคิล ทำให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น คณะของพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการผ่านช่องทางสำหรับแขกของรัฐบาล“โรงแรมที่พวกเราจะเข้าพักคือ เดอะซาเลสเบอรี วายเอ็มซีเอ ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ยครับ” ไมเคิลอธิบายขณะนำทางทุกคนขึ้นรถบัสปรับอากาศ“เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง พวกคุณจะได้เห็นอ่าววิกตอเรียและเส้นขอบฟ้าของเกาะฮ่องกงได้อย่างชัดเจนจากห้องพัก”หวงเสี่ยวเหมยกระซิบกับซุยหลันซี “โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านนายพลกุ้ยช่วย ถึงได้พักโรงแรมระดับนี้ในราคาถูก”ซุยหลันซีพยักห
หนึ่งวันก่อนการเดินทางไปฮ่องกง ที่โรงงานเฟิงหยุน มีการประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้ง“ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม?”เสียงใสของหวงเสี่ยวเหมยดังขึ้นในห้องประชุมของโรงงานเฟิงหยุน หญิงสาวกำลังตรวจรายการเอกสารและสัมภาระครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศซุยหลันซีพยักหน้า พลางก้มมองแฟ้มเอกสารตรงหน้า ภายในบรรจุแบบเสื้อที่เธอทุ่มเทออกแบบจนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ จะได้ร่วมแสดงในงานเดินแบบที่ฮ่องกง งานนี้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาจากหกเดือนมาเป็นหนึ่งปี“นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของพวกเรา” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“งานนี้จะมีนักธุรกิจจากฮ่องกงมาร่วมงานมากมาย ถ้าพวกเขาสนใจในแบบของเรา... ดังนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานออกมาให้อย่างเต็มที่”ซุยหลันซีนักออกแบบ เสี่ยวน่านางแบบและเสี่ยวจูช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะต่างพยักหน้ารับ พวกเธอจะร่วมเดินทางไปในฐานะผู้ช่วย&nbs







