ผมไม่พร้อมจริงๆ เขาว่ากันว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน ผมก็ยึดคตินี้เพราะยังมีเวลาให้เรียนรู้อีกมากตลอดชีวิตนี้ แต่ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลกับใคร“ทำไมล่ะ หรือว่าไม่มีเงิน”เจ้าสัวถามสีหน้าแสดงความห่วงใยจนรู้สึกได้ แต่ผมก้มหน้าเก็บซ่อนความรู้สึกไว้“ตาถามทำไมไม่ตอบ”“ผมมีฮะ”“แล้วทำไมไม่เรียนต่อ รู้ไหมความรู้สำคัญมากนะ สมัยนี้เรียนไม่จบมีใบปริญญาเป็นใบเบิกทาง เราจะใช้ชีวิตยากมาก”“ผมรู้ฮะ แต่เจ้าสัวไม่ต้องเป็นห่วงผมนะฮะ ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าสัวรับผมเข้าตระกูลเพราะสงสารที่ผมตัวคนเดียวหรือเพราะปู่ขอร้อง แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินทองของตระกูลเจริญศิริกุลแม้แต่บาทเดียวฮะ”“คิดว่าฉันห่วงเรื่องเงินเหรอ”“แล้วเจ้าสัวห่วงเรื่องอะไรถึงอยากพบผมฮะ”“ที่ตาเป็นห่วงก็เพราะว่าเราเป็นหลานของตา”“อะไรนะฮะ!”เจ้าสัวลูบหัวผมแผ่วเบาก่อนจะเล่าต่อ “แม่ของเราชื่อแก้วเป็นลูกสาวคนกลางของตา ส่วนพ่อของเราชื่อภัทรเป็นลูกชายคนเดียวของสมศักดิ์ พวกเขาพบกันเพราะตากับปู่เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่เพราะภัทรเป็นนักดนตรีไม่มีอนาคต ตาจึงสั่งห้ามพวกเขาคบกัน”“แล้วทำไม!”ผมหลุดปากถามไปแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ถูกรถชน
ผมเห็นพยาบาลสาวสีหน้าพิกลก็อยากหยุมหัวคนปากเสียขี้แกล้ง แต่นั่นยังไม่ขั้นสุดเท่าคำพูดต่อมา“วันนี้ก็เลยถือโอกาสพามาเยี่ยมพ่อสามีสักหน่อย”“คุณ!”“ทำไม” เขายิ้มตาหยีล้อเลียน“พูดแบบนี้ผมเสียหายนะ”“นายเสียหายคนเดียวที่ไหน”“โธ่!” ผมหมดคำจะพูด ไม่คิดว่านายตรีคชาจะหน้าด้านระดับสิบขนาดนี้ “เอ่อ เขาพูดเล่นไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”ผมโบกมือปฏิเสธแต่นายตรีคชายังไม่ยอมหยุด เขาโอบไหล่ผมแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าผู้คน พยาบาลสาวมองผมกับเขาสลับกันแล้วได้แต่อมยิ้ม เขาจึงพาผมที่ยืนตัวแข็งทื่อเดินผ่านวอร์ดที่เต็มไปด้วยพยาบาลและญาติคนไข้ที่มาติดต่อ ไม่สนคนที่ผ่านไปมาและลอบมองเราผมพยายามปลดมือเขาออกอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้จึงต้องยอมให้เขาลากไปจนกระทั่งถึงห้องคนไข้พิเศษ ผมอ่านป้ายชื่อคนไข้ที่แปะอยู่หน้าห้องในใจนายคชา เจริญศิริกุลเป็นเจ้าสัวคนนั้นจริงๆ ที่ให้คนมาจัดการงานศพให้ปู่ ดีเหมือนกันผมก็อยากจะไปขอบคุณเขาที่ช่วยเป็นธุระจัดงานให้นาฬิกาติดผนังบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า ในห้องจึงมีเพียงแสงไฟสลัวจากหัวเตียงและหน้าจอโทรทัศน์ที่ให้ความสว่างภายใน เจ้าสัวคชานอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ ใกล้กันมีเด็กหญิงนารานอน
เขาพูดเท่านั้นก็คว้าแขนผมลากไปขึ้นรถ ผมที่ตั้งตัวไม่ทันจึงถลาตามแรงดึงจนถูกผลักหน้าคะมำเข้าไปที่นั่งตอนท้ายตามด้วยเขาที่ตามเข้ามาประกบ“ผมไม่ไปกับคุณนะ ผมต้องทำงาน!”“ไม่ทันแล้วล่ะ” เขาบอกเยาะๆ “พรุ่งนี้ฉันจะให้สนมาลาออกให้นาย”“เฮ้ย! ได้ไงอะคุณ โอ๊ย!”ผมเจ็บเพราะถูกมือแข็งแกร่งของเขารั้งไว้แล้วดึงตัวเข้าหา ผมนิ่งงันไปครู่หนึ่งก็พยายามตะเกียกตะกายไปที่ประตูอีกฝั่ง แต่ช้ากว่าเขาที่โน้มตัวเข้าใส่“จะหนีฉันไปไหนอีก คี”“ผมจะไปไหนก็เรื่องของผม เราทางใครทางมัน ผมไม่ว่างไปกับคุณ ไม่ไป ไม่ไป ได้ยินไหม” ผมโพล่งไม่พอกำปั้นทุบถองหน้าอกของเขาด้วยความโมโห จึงถูกเขาผลักจนหงายหลังแล้วพาตัวขึ้นคร่อม“จะทำอะไร ปล่อยผมนะ!”“ไม่มีทาง ไม่มีทางปล่อยอีกแล้ว!”ผมอึ้ง!เขาหมายถึงอะไร ทำไมแววตาของเขาถึงได้เจ็บปวดนัก“คี ไปด้วยกันเถอะนะ ขอร้อง”ผมงันไปกับเสียงสี่เสียงแปดที่เขาพ่นข้างหู จากร่างกายที่ขัดขืนเมื่อครู่ก็หยุดลงราวกับอัตโนมัติ ผมแพ้แล้วกับแววตาอ้อนวอนที่ส่งมา มันทัชใจจนไปต่อไม่ได้ ดิ้นรนไม่ไหวหรือผมจะชอบเขาจริงๆ...นายตรีคชากับผมจ้องตากันครู่ใหญ่ ราวกับดวงตาของเราดึงดูดและโหยหากันและกัน ผมค่อยๆ เอ
“พี่ไปเทคคอร์สสั้นๆ แล้วก็มีข่าวเรื่องเรียนมาบอกนายด้วยนะ”“อ๋อ ฮะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ขณะสบตาเขาด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้า “แล้วนี่พี่ฟ้าไม่มาด้วยเหรอฮะ”“พี่เลิกกับฟ้าแล้ว”ผมงันไปกับสิ่งที่พี่จุลบอก สีหน้าพี่จุลไม่ได้ดูเศร้ามากมายไม่เหมือนคนที่เลิกกับแฟน หรือที่จริงพวกเขาอาจจะเลิกกันนานแล้วเพราะเวลาก็ผ่านมานานกว่าครึ่งปีแล้วนี่นาผมไม่มีคำถามอีกแต่ปลอบเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “เสียใจด้วยนะฮะ พี่จุล”“ไม่เป็นไร” เขาตอบพลางถามผมกลับ “แล้วคีกับแฟนล่ะ”“แฟนผมเหรอฮะ”“อืม... ยังรักกันดีไหม” พี่จุลเข้าใจว่าผมกับนายตรีคชาเป็นแฟนกันจริงๆ เพราะเขาประกาศลั่นกลางงานซะขนาดนั้น แต่ผมกับหมอนั่นก็แค่คนผ่านมาผ่านไป เรื่องระหว่างเราไม่มีอะไรจริงเลย“ผม...”“นายไม่อยากพูดถึงก็ไม่เป็นไร”“ฮะ”ผมกับพี่จุลได้แต่อ้ำอึ้งเหมือนไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ ทั้งที่เมื่อก่อนเราสองคนมีเรื่องคุยกันมากมาย ผมจึงผายมือไปที่ร้านตัดสินใจกลับเข้าไปด้านใน“ผมไปนะ”“นายเปลี่ยนเบอร์เหรอ”ผมนิ่งไป ผมไมได้เปลี่ยนหรอก ก็แค่บล็อกเขาไว้ ทั้งโทรศัพท์ ไลน์ ไอจี เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไม่เหลือสักช่องทาง ทั้งพี่จุลกับนายตรีคชา ผมไม่ติดต่อใค
ผมเจอมันบนโต๊ะทำงานของเขา มันวางอยู่อย่างไร้ค่าทั้งที่เป็นสมบัติหวงแหนหนึ่งเดียวของพ่อที่ผมเก็บไว้หลงเหลือเป็นความทรงจำ ผมหามันแทบพลิกแผ่นดินหลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น คิดว่ามันคงหายไปในช่วงชุลมุนไม่น่าจะหาเจอแล้ว แต่ผมกลับเจอของแทนใจของพ่อที่คอนโดของคนที่ผมนอนด้วยถึงสองครั้งสองคราที่แท้เขาคือคนเมื่อสามเดือนก่อนที่ทิ้งผมไว้ในห้องจนมีคนมาพบเข้า ผมอับอายกับคำดูถูกจากใครไม่รู้และไม่รู้เลยว่าคนที่ผมนอนด้วยเป็นใครด้วยซ้ำ คนฉวยโอกาสที่แสร้งมาทำดีให้ผมตายใจแล้วตักตวงความสุขจากเรือนร่างผมหมุนปากกาในมือไปมา จู่ๆ น้ำตาก็ร่วง...“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอ่อนโยนที่นั่งข้าง เธอเป็นหญิงชราวัยเจ็ดสิบเศษท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มานั่งข้างผมที่ป้ายรถเมล์นี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงตอบเธออย่างเสียไม่ได้“ผมไม่เป็นไรฮะ”“แต่ดูหน้าไม่ดีเลยนะ”“ไม่มีอะไรจริงๆ ฮะ”ผมส่ายหน้า พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนโง่ แต่คำพูดของเธอทำให้ผมพูดไม่ออก“หรือว่าถูกสาวทิ้งสิท่า”“โอ๊ย! เปล่าฮะ” ผมรีบตอบ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกฮะ”“งั้นถูกหนุ่มทิ้ง”“โอ๊ย! ยิ่งไม่ใช่ให
“ผมรู้ แต่ว่า...” เขาตอบเสียงแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบจากสายลมผมรู้ว่าเขาลังเล อาจเพราะเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับผมมาก่อน แต่ผมไม่แคร์ ไม่ใช่ไม่รู้แต่ยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสนใจใครนอกจากปากท้องของตนเองนักหรอกแต่ผมก็เข้าใจเขา...“งั้นมาเป็นคนติดตามฉัน ทำงานกับฉันไหม”“ทำงานกับคุณเนี่ยนะ” “อืม... เป็นเลขาฉัน ให้ฉันเป็นบอสนาย”ผมนึกอะไรได้ก็ยกแม่น้ำทั้งห้ามาหมด ในเมื่อเขาเกรงสายตาคน ผมก็จะหาตำแหน่งที่สมควรให้พอที่เราจะอยู่ด้วยกันได้และเขาอยู่ในสายตาของผมอันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องบอกใครเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรคีตาก็ถือว่าเป็นลูกบุญธรรมของพ่อผมแล้ว เขากับผมเปรียบไปก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน“คุณจะเป็นบอส แล้วจะให้ผมเป็นเบ๊คุณเนี่ยนะ” คีตาถามไม่พอยังหัวเราะจนตาหยี “ผมเป็นแค่เด็กจบมัธยม ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ความรู้เฉพาะทางอะไรก็ไม่มีนะฮะ”“ของแบบนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก”“แต่ผมไม่ชอบงานแบบคุณ” “ฉันไม่สน ฉันต้องการนาย”คีตาเงียบไป เขาซุกหน้าเข้ากับอกผมจนรู้สึกถึงลมหายใจเข้าบอก ครู่หนึ่งเขาก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะเงยหน้าถาม “แล้วน้องน