สาวเจ้านัยต์ตาสวยเดินย้อนกลับมาหาเพื่อน มิวท์เก็บสมาร์ทโฟนใส่ไว้ในกระเป๋าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ประเด็นที่สนทนากันเมื่อครู่คือการคบชู้ยั่วผัวเพื่อนเห็น ๆ ในหัวเธอกำลังรบราฆ่าฟันระหว่างถูกผิด เปรมบอกเลิกแพรวไปแล้วนั่นคือความจริง แต่ความจริงอีกข้อที่ว่าแพรวเป็นเพื่อนสนิทของเธอก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ ดูทรงแล้วการปล่อยตัวปล่อยใจคงไม่ทำให้เธอหลุดพ้นจากการเป็นผู้มีมลทินมัวหมอง
.
"ทำยังไงดี.. เราจะทำยังไงดี.. จะผ่านสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ยังไง ขึ้นห้องก็ไม่ได้เพราะมีพี่เปรมดักรออยู่ โถ่เอ๊ย!"
กัดเล็บเครียดจนไม่รู้จะหาทางออกยังไง รู้ตัวอีกทีหน้าขาส่วนบนก็ชนเข้ากับขอบโต๊ะของเจ้าหน้าที่ซะแล้ว
.
"โครมมมม!"
.
"เฮ๊ย! , น้อง!"
ร่างหนาในชุดยูนิฟอร์มลุกขึ้นเท้าสะเอว
.
"ขอโทษค่ะ.. หนูเดินใจลอยไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ!"
มิวท์รีบแก้ตัว
.
ทว่าเจ้าหน้าที่หุ่นหมีคนนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปทางอื่น
.
"พี่ไม่ได้หมายถึงน้อง พี่หมายถึงเพื่อนน้องสองคนนี้ต่างหาก บอกขอใช้โทรศัพท์โทรหาที่บ้านจนครึ่งชั่วโมงผ่านไปยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย พี่ว่าน้องสามคนเซ็นต์รับสารภาพซะเถอะเรื่องมันจะได้จบ ๆ จะลีลาไปเพื่อ หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ กล้องวงจรปิดก็มี"
ตวาดเสียงดังจนน่ากลัว จากมือที่ท้าวสะเอวอยู่บัดนี้ย้ายขึ้นมากอดอกหุนหัน
.
ทำให้มิวท์ต้องนั่งลงร่วมโต๊ะกับพีและแพรวตามระเบียบ นิสิตสามคนนั่งตัวสั่นหวาดผวาไม่ต่างจากลูกหมาที่โดนเอาไปปล่อยวัด ที่ต่างจากคนอื่นหน่อยก็เห็นจะเป็นแพรวผู้มีแอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือดมากกว่าคนอื่น เธอยังคงไม่รู้ความจริงว่ามิวท์แอบไปโทรศัพท์กับใคร แล้วมิวท์เองก็เหมือนจะคิดได้ในใจว่าสิ่งที่ทำนั้นมันผิด เธออาจจะสำนึกผิดแล้วก็ได้ ก็เลยเอื้อมมือขึ้นไปโอบไหล่แพรวเอาไว้พลางดึงเข้ามากอด
.
"ไม่ต้องกลัวนะแพรว.. เดี๋ยวมิวท์จัดการเองถ้าไม่รอดยังไง คนของคุณพ่อก็จะเคลียร์ให้เราได้^^"
.
ดวงตาของทั้งสองจ้องมองกัน ดวงหน้าใกล้กันไม่ถึงเสี้ยวเซนติเมตร ทว่าจู่ ๆ พีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็สะดีดสะดิ้งขึ้นมา เขากระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณว่าพระบิดาได้เสด็จมาถึงแล้ว
.
"มาแล้วค่ะ! , มาแล้ว! , พ่อหนูมาแล้ว! เตรียมตัวเตรียมใจได้เลยคุณตำรวจพวกคุณโดนแน่!"
พีตะโกนด้วยความมั่นใจ จนกลายเป็นมิวท์อีกครั้งที่ดึงเขาให้นั่งลง
.
"ชู่ววววว..อย่ากระโตกกระตากนักสิพี , เงียบ!"
.
"ใช่! อีบ้า! อดีตผู้ต้องหาเมาแล้วครับเนี่ยะนะ? มันน่าเบ่งตรงไหน? ถ้าเป็นอดีตผู้การหรือสส.นักการเมืองฉันจะไม่ว่าสักคำ"
แพรวตวาดดุ
.
.
กระบะบุโรทั่งตีโค้งขึ้นมาจอดเทียบที่หน้าด่าน สีของมันดำคล้ำมีสนิมขึ้นบ้างตามขอบล้อ ถัดขึ้นมาถึงบานประตูมีสติกเกอร์โลโก้บริษัท AP เวอร์ชั่นเก่าแปะหราอยู่ บางทีพ่อของพีอาจจะมีอดีตบางอย่างกับบริษัท AP มาก่อน มิวท์ไม่รู้ แพรวก็ไม่รู้ พวกเธอเพิ่งเคยเห็นพ่อของพีเป็นครั้งแรก สวนทางกับพีลูกชายที่บัดนี้ได้สลัดตูดออกจากเก้าอี้ พลางเดินโทง ๆ บิดเอวออกจากเต็นท์ไปรับพ่อให้เข้ามาเคลียร์คดีให้
.
"พ่อคร๊าบบบ.. บ.. บ พ่อคร๊าบบบ.. บ.. บ ช่วยน้องพีด้วยคร๊าบบบ"
.
"พลั๊วววว!"
เสียงฝ่ามือกระทบกระโหลกดังราวกับลูกปืน ร่างสูงโปร่งกราวร่วงลงกับพื้นพับเพียบในท่าที่อุบาทว์ลูกตาต่อผู้พบเห็น
.
"มึงเลิกทำตัวเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแบบนี้ซะทีเถอะวะ! กูอายเขาที่มีลูกสร้างแต่เรื่องอย่างมึง!"
.
"พ่อบูลลี่หนูอ่ะ.."
พีกระแอมเสียงเศร้า เขาวาดฝ่ามือจับพวงแก้มตัวเองน้ำตาไหลนอง
.
"มู่ลี่สิมึงอ่ะ! บูลลี่ห่าอะไร! ลุกขึ้นมาแล้วพากูเข้าไปหาตำรวจ แม่งเสียเวลากูชิบเป๋ง!"
.
"อะ...อือ...อ..อ.. ครับ..บ..บ..."
.
ลุกขึ้นผายมือทั้งน้ำตา บุคลิกพีเปลี่ยนไปในบัดดล จากกระเทยควายพูดมากกลายสภาพเป็นลูกหมีตัวน้อย ๆ เขาเดินนำพ่อมาที่โต๊ะตรงกลางเต็นท์ ที่ตรงนั้นมีมิวท์กับแพรวนั่งรออยู่ ด้านหลังเป็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบทั้งโขยง ทุกคนต่างมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสายตาเดียวกัน พ่อพีไม่ใช่คนธรรมดา ระวังได้ต้องระวังหรือไม่ก็ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้
.
"นี่ครับพ่อ.. ข้างหน้านี่เอง.. เชิญเจรจาได้เลยครับ"
พีผายมือส่วนแพรวกับมิวท์นั้นยกมือไหว้ พวกเธอปลีกตัวมาหลบอยู่ด้านหลังพี เปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้นั่งที่เก้าอี้
.
สถานการณ์มาคุมาก ความตรึงเครียดแผ่รัศมีไปทั่วบริเวณ กระทั่งแพรวต้องกอดเอวของมิวท์เอาไว้แน่น เธอมูล์ฟตัวเองมาอยู่ด้านหลัง พาดคางเข้าที่ไหล่ซุกใบหน้าลงที่ซอกคอ กดสายตาลงต่ำจ้องมองเหตุการณ์ผ่านทางซอกหูขาว ๆ ที่หอมน้ำหอมกลิ่นสดชื่น
.
"อย่ากลัวไปเลยแพรว.. ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นมิวท์คิดว่าพ่อพีน่าจะเอาอยู่ ดูแกเข้มแข็งมากเลยนะ"
มิวท์กระซิบ
.
"ฉันไม่เชื่อแบบนั้นน่ะสิ.. เธอไม่รู้หรอกว่าอีพีมันบอกอะไรฉัน ลุงคนนั้นไม่ใช่คนที่เราจะไว้ใจอะไรได้เลย ฉันว่าเส้นสายบริษัทพ่อเธอยังน่าไว้ใจกว่า"
.
ลูกสาวนายทุนยิ้มออกมาแหย ๆ ไม่มีใครเข้าใจว่าเธอคิดอะไรในหัว รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนั้นดูไม่ออกเลยว่ามิวท์จะเป็นคนร้ายไปได้ยังไง เธอกระชับมือแพรวให้กอดแน่นขึ้น พลันกระซิบออกมาเบา ๆ
.
"มิวท์รักแพรวมากนะ.."
เบามาก.. เบาจนคนที่กอดอยู่แทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย
.
.
ตัดภาพไปที่พีกระเทยควาย เขายืนตัวเกร็งอยู่ห่างจากคู่เพื่อนหญิงประมาณหนึ่งช่วงแขน สายตาโฟกัสไปที่คุณพ่อ คอยเฝ้าดูอย่างตั้งใจว่าแกจะเจรจาให้ลูก ๆ หลุดพ้นไปจากห่วงโซ่ชะตากรรมนี้ได้รึเปล่า
.
"เพล้งงงง!"
แก้วน้ำแตกกระจาย ถีบเก้าอี้ที่นั่งอยู่ล้มคว่ำกระเด็นกระดอน
.
"เฮ่ย! ใครใหญ่สุดในนี้ออกมาคุยกับฉันหน่อยสิวะ!"
คุณพ่อแผดเสียงยืนจังก้าชี้หน้าด่า เพียงเท่านี้ก็เรียกตีนเจ้าหน้าที่ให้มายืนออกันให้พรึบ
.
"คุณจะทำอะไร?! ทำไมต้องโวยวายก็ในเมื่อลูกคุณทำผิดกฎหมายจริง!"
เจ้าหน้าที่คนเดิมพยายามจะอธิบาย
.
"ไอ้หน้าจืดมึงเป็นใครไอ้สัด?! กูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดพื้นที่ตรงนี้กูรู้จักหมด มึงไม่ใช่หัวหน้าไปเรียกคนที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่มาเดี๋ยวนี้! , ไป!"
.
ยื่นมือขวาข้ามโต๊ะเข้าไปขย้ำคอเสื้อ พ่ออีพีออกแรงกระชากจนเสื้อกั๊กตัวหนาลอยข้ามโต๊ะติดมือขึ้นมา
.
"ผะ..ผมเป็นเจ้าหน้าที่อสม. เป็นอาสาสมัครชุดควบคุมโรค! ปะ..ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ~!"
.
"ถุย!"
"กูไม่เชื่อ! มึงมีหนังสืออนุญาตแต่งตั้งจากทางราชการรึเปล่า? หนึงสือราชการมึงอยู่ไหน! เอามาโชว์ดิ๊ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ยยย!!"
.
"โครมมมม!"
.
ชูร่างขึ้นสุดไหล่แข้งขาแกว่งไกวลอยไม่ติดพื้น ก่อนจะทุ่มคนทั้งคนลงสู่พื้นปูนด้านล่างมันซะอย่างงั้น!
.
"เฮ้! หยุดเลย! อย่าเข้ามาเชียวนะเว่ย! เพราะขนาดตัวกูยังมีหนังสือราชการเยอะกว่าพวกมึงอีก ไปเรียกตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในด่านนี้มา กูจะคุยกับเขาเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกลูกกะจ๊อก! , ไป!"
.
"โครมมมมม!!!"
ถีบโต๊ะล้มคว้ำไปอีกตัว ข้าวของกระจายเกลื่อนเถื่อนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
.
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจึงจำเป็นจะต้องวิ่งอ้อมออกไปด้านหลังเพื่อทำตามข้อเรียกร้อง เช่นกันกับอาสาสมัครรายอื่นที่ปล่อยให้คุณพ่อกร่างต่อไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญ แกควักเอาซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากเสื้อโค้ท ก่อนจะเททุกอย่างออกมาโชว์ให้คนเห็น ปรากฏว่าที่เตรียมมาก็เป็นเอกสารของทางราชการจริง ๆ แต่หนักไปทางใบสั่งขับรถเร็ว , เมาเหล้ายามวิกาล, แล้วก็หมายศาลคดีเมาแล้วขับอื่น ๆ !
.
"เย็ดเข้! อย่างงี้ก็ได้เหรอวะ?!"
คือประโยคที่บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างตะโกนถามกัน
.
เดชะบุญที่ทีมนายตำรวจยศใหญ่ได้เดินทางมาถึงพอดี ความโกลาหลจึงหยุดลง และเสี้ยวอึดใจที่กลุ่มผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สบตากับคุณพ่อ พวกเขาก็ถึงกับชะงัก
.
"นี่มึงอีกแล้วหรอ?!"
ท่านผู้กำกับเอ่ย
.
"โดนคดีเมาแล้วขับอีกแล้วเหรอ? บันทึกประจำวันเพิ่งเขียนไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะ"
สิบเวรที่มาด้วยกันเสริม
.
"ขวดเหล้าลุงยังเป็นของกลางอยู่ที่โรงพักอยู่เลย"
ร้อยเวรสำทับ
.
สารพัดสิ่งล้วนบ่งชี้ว่าพ่อของพีสนิทกับตำรวจทั้งโรงพักอย่างที่ว่า แกติดคุกบ่อยจนตำรวจเกรงใจ ความเบื่อหน่ายทำให้ทุกคนไม่อยากยุ่งกับแก โดยเฉพาะท่านผู้กำกับที่ทำหน้าเซ็งราวกับหลุมขนมครก บอกตามตรงว่าแกไม่น่าลดตัวมาถึงที่นี่เลย
.
"เฮ้อ..แล้วครั้งนี้โดนคดีอะไรอีกล่ะ?"
.
"ไม่ได้โดนครับแต่ลูกโดน! ทั้งสามคนเลย! ผมขอได้ไหมครับ..ผมไหว้ล่ะ.. เห็นแก่ลูกแก่หลาน.. มาสิ! พวกเรามายืนรวมกันตรงนี้แล้วทำตามพ่อ"
กวักมือเรียกหยอย ๆ นิสิตสามคนเดินเข้ามาใกล้แบบไม่ค่อยเข้าใจนัก
.
ทันใดนั้นเองพ่อของพีก็ทรุดตัวลงคุกเข่า แกพนมมือก้มลงกราบแทบเท้าท่านผกก. ต่อหน้าเจ้าหน้าที่อสม.ทุกคน พลันเรียกร้องให้ลูก ๆ ทั้งสามคนทำตามด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ขัดลุคนักเลงที่ผ่านมามาก ภาพการกระชากเจ้าหน้าที่ขึ้นไหล่แล้วทุ่มลงพื้นกลายเป็นอดีตอันแสนสั้น ความจริงก็คือความจริง ว่าแกไม่ใช่คนมีเส้นสายบารมีอะไร แล้วก็ไม่ได้ทนงตัวจนเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนั้น แกก็แค่พ่อคนหนึ่งที่รักลูกแล้วก็ไม่อยากให้เด็ก ๆ เสียอนาคต
.
"ได้โปรดเถอะครับท่านอย่าเอาเรื่องพวกเขาเลย ให้พวกเขาไปในทางที่ดีเถอะ คนเรามันพลาดกันได้ ผมขอโอกาสให้พวกเขาด้วยเถอะครับ ผมกราบล่ะ"
มือยังคงกราบหน้าผากยังคงจรดพื้น เด็ก ๆ เองก็ทำตามไม่มีใครคิดถึงความอับอายอะไรแล้ว แต่ก็นะ! ถ้ามีใครมาเห็นเข้าแล้วถ่ายคลิปเอาไว้ รับรองได้กลายเป็นไวรัลใหญ่โตแน่ คงได้ออกรายการดังในทีวี แล้วก็คงจะโดนพิธีกรถามจี้ ว่าเหตุใดลูกสาวบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงต้องก้มหัวกราบตำรวจ
.
ด้วยความตั้งใจตรงนี้ผู้กำกับก็เลยยอมปล่อย
.
"เออ ๆ เอางั้นก็ได้ปล่อย ๆ ไปเหอะ จับไปก็เสียดายข้าวคุก เปลืองงบประมาณแผ่นดินเปล่า ๆ ไอ้ขี้เมานี่คงต้องปล่อยให้มันขับรถชนคอสะพานตายเองนั่นแหละ กฏหมายคงทำอะไรคนหน้าด้านแบบมันไม่ได้หรอก!"
"เดี๋ยวให้อสม. วัดอุณหภูมิ ทำบันทึกไว้แล้วก็ปล่อยตัวไปเลยนะ น่ารำคาญชะมัด ฉันขอตัวก่อนล่ะ"
.
สั่งการเสร็จทั้งคณะก็เดินกลับไป ทิ้งไว้เพียงประชาชน 4 คน ที่หมดซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่ได้โดนล่วงละเมิดทางรูทวาร แต่ท่วงท่าการก้มกราบกรานต่อผู้มีอำนาจ ก็คงไม่ต่างจากขอทานธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
“ซ่าาาา~!”เสียงโครงเรือยอร์ชที่ยังต่อไม่เสร็จกระทบผิวน้ำกระซ่านเซ็น พอดีกันกับโดรนอารักขาที่ใช้งานได้โคตรจะคุ้ม มันตัดสายเคเบิลที่ยึดโยงออกไปหมดสิ้น พลันลอยขึ้นไปบนฟ้าเพื่อทำหน้าที่ฉายไฟส่องสว่างลงมา ราวกับสปอร์ตไลท์ตามสนามกีฬากลางแจ้ง.“แชะ! , แชะ!”.ราตรีกาลเข้าครอบครองท้องฟ้า ส่วนท้องธาราก็เป็นไปตามการคำนวณ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจริงเฉกเช่นที่แพรวฟันธงเอาไว้ ต่างคนต่างรีบกระโจนลงเรือ และแม้ตัวบอดี้จะโคลงเคลงหนักมาก แต่ก็นับว่าดีอย่างที่ยังพอจะแบกรับน้ำหนักของทุกคนไหว ในส่วนนี้ต้องยกเครดิตให้กับทักษะของช่างต่อเรือ หรือไม่ก็เศรษฐีเจ้าของทุนทรัพย์ เพราะลำพังก้าวแรกที่ย่ำลงมา แพรวก็เห็นแล้วว่าทุกส่วนของโครงสร้างล้วนทำขึ้นจากวัสดุชั้นเยี่ยมเกรดพรีเมี่ยมทั้งสิ้น .เธอสั่งให้สองเด็กสาวเพื่อนเจนิสเอาเศษไม้แผ่นแบน ที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปมาทำเป็นที่คัดท้าย มีความโชคดีอย่างที่ของเหล่านี้ไม่ใช่ของหายากอะไรนัก ถ้าอยู่บนเรือที่ยังต่อไม่เสร็จ หลังจากนั้นก็สั่งให้พวกเธอ Stand by รอคัดท้ายตามคำสั่งอีกที ก็เลยเหลือแต่เจนิสกับโบ๊ทที่ยังว่างงานและยังไม่ได้รับมอบหมายให้ทำอะไร.เรือค่อย ๆ แล่นออ
นั่นจึงเท่ากับว่าน้ำในทะเลอาจจะไม่ปลอดภัย บางทีแม่น้ำสาขาทุกสายก็อาจจะปนเปื้อนไปด้วยเชื้อแล้วก็ได้ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงโบ๊ทจึงได้ขยับนิ้วมือกับแหวนทั้ง 5 ของเขาอีกที .“ฟิ้ว~!”โดรนอารักขาลำเก่งโฉบปักหัวลงมาจากเบื้องบน ราวกับพญาอินทรีย์พร้อมเข้าประจำที่.มันยื่นท่อนเหล็กสีเงินลักษณะคล้ายก้านปรอทวัดไข้ออกมาจากลำตัวส่วนล่าง ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่กระสุน .35 มม. จำนวนมหาศาลร่วงกราวลงมาเมื่อตอนก่อน ความยาวของอุปกรณ์ชนิดนี้น่าจะราว 2 ไม้บรรทัดเห็นจะได้ และโบ๊ทเรียกมันว่า “โคโรน่ามิเตอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับตรวจหาเชื้อโควิดโดยเฉพาะ.เขาสั่งการให้โดรนอารักขาหย่อนมันลงไปในน้ำทะเล แกว่งส่ายวนคนไปมาราว 20 - 30 ทีโดรนก็ยกตัวเองขึ้นจากน้ำ ปรากฏว่าไฟสถานะบนลำโดรนถึงกับแดงโล่! การลิงค์สัญญาณเกิดขึ้นทันที ก่อนจะฉายค่าสถานะและชุดข้อมูลพร้อมกับผลแล็บไปยังกระจกครอบแก้วที่โบ๊ทสวมใส่อยู่ พลันเปลี่ยนใบหน้าบ่องแบ้วของเขาให้กลายเป็นจอแสดงผลไปในบัดดล.“มันก็เหมือนการ “swab”(สว็อป) ตอนเราไปให้หมอแหย่จมูกนั่นแหละครับพี่ ๆ แค่เปลี่ยนจากรูจมูกคนเป็นน้ำทะเล ว่าแต่ผลเป็นไงบ้างครับ? ”โบ๊
ห้าชีวิตกับอีกหนึ่งลำโดรนย่างกรายเข้ามายังโซนลับแลแห่งนี้ด้วยความมุ่งมั่น ย้อนกลับไปไม่ได้คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง ส่วนการไปต่อไม่ได้เพราะข้างหน้ามีแต่ทะเลคือเหตุผลข้อที่สอง แพรวก็เลยเดินนำหน้าแบกกระเป๋าเป้อาด ๆ พลางควัก Glock 18 อาวุธประจำกายขึ้นมาประทับเล็งเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เรียนตามตรงว่าท่าเรือเป็นแอเรียที่เธอมีข้อมูลน้อยมากเมื่อเทียบกับที่อื่น ที่นี่แทบจะไม่ได้ถูกเขียนรายละเอียดใด ๆ ไว้ในแผนที่เลย ฉะนั้นหน้าที่ของมันจึงจบลงเพียงเท่านี้.“พรึบ!”แพรวพับแผนที่เก็บเข้าไปในกระเป๋า สื่อให้ทุกคนเห็นว่าแต่นี้ต่อไปคือการด้นสดล้วน ๆ พลาดก็คือตายและถ้าไม่อยากตายก็จงอย่าพลาด.“ระวังตัวด้วยทุกคน เราจะเข้าไปในโกดังนั่นดู คิดว่าน่าจะเป็นคลังเก็บสินค้าและบันไดลงสู่ท่าเรือก็น่าจะอยู่ในนั้น”แพรวกระซิบบอก.เช่นกันกับเจนิสกับเพื่อน ๆ ที่ต่างก็ระวังหน้าระวังหลังให้กันเป็นอย่างดี เธอจับมือโบ๊ทเอาไว้แทบจะตลอดเวลา โดยหารู้ไม่ว่าโดรนอารักขาที่ลอยอยู่บนฟ้า นั้นมีขีดความสามารถที่สูงกว่าคนจริง ๆ อย่างพวกเธอสามคนรวมกันซะอีก.“ไม่เป็นไรครับพี่เจนิสไม่ต้องดูแลผมดีนักหรอก ทางที่ดีผมว่าพ
พรรคพวกของโบ๊ทมีกันอยู่หลายคน แล้วก็ดำรงชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากการตามล่าของพวก AP เหมือนกับแคลนอื่น ๆ พวกเขามี LGBT รวมอยู่ในกลุ่มเยอะ ก่อนที่ความผิดพลาดจะมาเกิดขึ้นที่ท้องฟ้าจำลอง เมื่อหน่วยแพทย์ของ AP ที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมเกิดย้อนกลับมาเช็คทรัพย์สิน มีการปะทะกันเกิดขึ้น! แคลนของโบ๊ทแตกเป็นเสี่ยงเนื่องจากไปถือวิสาสะยึดเอาแลนด์มาร์คตรงนี้เป็นจุดพักแรม ผู้คนก็เลยถูกกวาดต้อนไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงพ่อแม่ของเขาด้วย .ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมโบ๊ทถึงรอดมาได้นั้น ก็อยู่ที่แหวนทั้ง 5 วงบนนิ้วมือของเขานั่นเอง อุปกรณ์ชิ้นนี้มีไว้ใช้บังคับโดรนมากกว่า 150 ลำ บางลำเป็น Riot โดรนติดอาวุธหนัก บางลำเป็นโดรนอารักขา ส่วนบางลำก็เป็นโดรนข่าวสาร โบ๊ทใช้พวกมันอย่างคล่องแคล่วในการต่อสู้กับพวก AP และขับไล่พวกทรราชเหล่านี้ออกไปจากอาคารท้องฟ้าจำลองได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าก็ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นการอยู่คนเดียวในอาคารหลังโตแบบโดดเดี่ยว พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เพื่อนฝูงพี่น้องก็โดนหางเลขไปด้วยหมด.ย้อนกลับไปหลายตอนก่อนหน้านี้ เราจึงได้เห็นโบ๊ทใช้กล้องโทรทัศน์ส่องหาแคลนที่ยังมีผู้รอดชีวิตไปทั่วเมือง จนกระทั่งมาพบกับกลุ่
เสมือนหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่กระเสือกกระสนหาทางรอด ตัวเป็นจักรกลทว่าข้างในคงมีจิตวิญญาณของปลาช่อนที่กำลังจะโดนทุบหัวบรรจุอยู่ Riot โดรนถึงได้แสดงพฤติกรรมเกรี้ยวกราดดังที่เห็น เปลวไฟพ่นออกมารอบทิศราวกับลูกข้างที่รวมร่างกับกระบองไฟ มันพ่นขู่คำรามแล้วก็ได้ผล เมื่อกลุ่มเรดี้ทั้ง 4 นางต่างก็ถอยกรูออกห่างไปทุกที พอเจนิสลองสืบเท้าเข้าไปใกล้มันก็พ่นไฟออกมาใส่อีก.“อ๊ายยย! ไม่ได้เลยพี่แพรวไฟร้อนมากค่ะ!”เธอรีบผินหน้ากลับมาบอก.สวนทางกับแพรวที่มีประสบการณ์มากกว่า หลังจับสัญญาณได้จากไฟสถานะบนตัวโดรนที่มีการกระพริบเปลี่ยนจังหวะไป พลางบอกให้น้อง ๆ ตระเตรียมอาวุธขึ้นมือเอาไว้.“ไม่เป็นไรเจนิส.. ไม่ต้องเข้าไปหรอก.. เราแค่ต้องตามเจ้านี่ไปก็พอ”.“ไปไหนอ่ะพี่?”.“เดี๋ยวก็รู้! เจ้าโดรนนี่ไม่มีทางทำแบบนี้ได้ถ้าไม่มีใครบังคับ.. เชื่อฉัน!”.แล้วก็จริงอย่างที่แพรวสันนิษฐาน ผ่านไปราว 3 นาทีกับอีกนิดหน่อยแก๊สในตัวก็หมดลง จากไฟพุ่ง ๆ ตอนนี้แค่ถ่มถุยออกมายังยากลำบาก ไหนจะท่วงท่าการบินที่กระท่อนกระแท่นเต็มทีนั่นอีก เพดานบินเริ่มลดระดับต่ำลง Riot โดรน เริ่มเบี่ยงเส้นทางบินหนีออกไปอีกฝั่งผ่านการร่อนที่เอียงกระเ
เหลือเชื่อว่าจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดแทนที่กระสุนปืน เจนิสส่งทุกคนเข้านอนและตอบแทนความไว้ใจจากแพรวด้วยการห่มผ้าให้กับพี่สาว แม้จะรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงยากที่จะข่มตาหลับ แต่ชีวิตนั้นก็ต้องก้าวต่อไป แพรวอุตส่าห์นำทุกคนให้รอดมาถึงพื้นที่ใต้ทางด่วนตรงนี้ได้ แล้วมีหรือที่สายแข็งนักนอนเช้าอย่างเจนิสจะไม่ตอบแทนกลับไปบ้าง.เธอค่อย ๆ ย่องห่างออกมาจากจุดพัก สอดส่ายสายตาผ่านทะลุไปตามซอกหลืบต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าสงสัย พลันตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่าเสียงจิ้งหรีดนั้นมาจากไหน ถ้าเป็นเสียงปืนหรือเสียงคนฆ่ากันตายยังจะเป็นไปได้มากกว่า.“นั่นน่ะสิ! แปลกมากเลย? โควิดมันกินได้แม้กระทั่งผนังปูน แล้วกับสิ่งมีชีวิตเปลือกหุ้มอย่างจิ้งหรีดกลางคืนเนี่ยะนะ ไม่ใช่ล่ะ! เป็นไปไม่ได้!”“ถ้าเราไม่หูแว่วไปเอง เราควรจะตรวจสอบทุกจุดที่น่าสงสัยให้ละเอียดที่สุด”.กระชับหน้ากากครอบแก้วให้ติดแน่น ตัวเลขสถานะก๊าซลดลงเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น ส่วนในมือที่ถืออยู่ก็คือพลองไม้ขนาดยาวที่เป็นเหมือนอาวุธประจำกายของเธอ มันทั้งง่อนแง่นแล้วก็ดูบอบบางจนจินตนาการไม่ออกว่าถ้าเอาไปฟาดหัวใครเข้า Damage จะเข้าสักเท่าไหร่ แต่ครานั้นเจนิสก็