LOGINนั่นจึงเท่ากับว่าน้ำในทะเลอาจจะไม่ปลอดภัย บางทีแม่น้ำสาขาทุกสายก็อาจจะปนเปื้อนไปด้วยเชื้อแล้วก็ได้ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงโบ๊ทจึงได้ขยับนิ้วมือกับแหวนทั้ง 5 ของเขาอีกที
.
“ฟิ้ว~!”
โดรนอารักขาลำเก่งโฉบปักหัวลงมาจากเบื้องบน ราวกับพญาอินทรีย์พร้อมเข้าประจำที่
.
มันยื่นท่อนเหล็กสีเงินลักษณะคล้ายก้านปรอทวัดไข้ออกมาจากลำตัวส่วนล่าง ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่กระสุน .35 มม. จำนวนมหาศาลร่วงกราวลงมาเมื่อตอนก่อน ความยาวของอุปกรณ์ชนิดนี้น่าจะราว 2 ไม้บรรทัดเห็นจะได้ และโบ๊ทเรียกมันว่า “โคโรน่ามิเตอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับตรวจหาเชื้อโควิดโดยเฉพาะ
.
เขาสั่งการให้โดรนอารักขาหย่อนมันลงไปในน้ำทะเล แกว่งส่ายวนคนไปมาราว 20 - 30 ทีโดรนก็ยกตัวเองขึ้นจากน้ำ ปรากฏว่าไฟสถานะบนลำโดรนถึงกับแดงโล่! การลิงค์สัญญาณเกิดขึ้นทันที ก่อนจะฉายค่าสถานะและชุดข้อมูลพร้อมกับผลแล็บไปยังกระจกครอบแก้วที่โบ๊ทสวมใส่อยู่ พลันเปลี่ยนใบหน้าบ่องแบ้วของเขาให้กลายเป็นจอแสดงผลไปในบัดดล
.
“มันก็เหมือนการ “swab”(สว็อป) ตอนเราไปให้หมอแหย่จมูกนั่นแหละครับพี่ ๆ แค่เปลี่ยนจากรูจมูกคนเป็นน้ำทะเล ว่าแต่ผลเป็นไงบ้างครับ? ”
โบ๊ทส่งเสียงถาม
.
แพรวได้แต่ส่ายหัวเพราะผลขึ้นว่า “Positive” ตัวเบ้อเร่อ เพิ่มเติมด้วยการแฉลบสายตามองไปที่ตัวโดรน ราวกับต้องการจะบอกให้น้องดูแลอุปกรณ์ของตัวเองสักหน่อย เพราะตอนนี้แม้แต่ก้านเหล็กโคโรน่ามิเตอร์แข็ง ๆ ก็ยังโดนเชื้อ COVID-19 ย่อยจนเหลืออยู่แค่กระจิ๋วเดียวห้อยต่องแต่งแล้ว
.
นำมาสู่ปัญหาที่คิดไม่ตกอีกที ห้าชีวิตยืนนิ่งอยู่ตรงท่าเรือ ต่างคนต่างพูดไม่ออกได้แต่มองตาเท่านั้น ไม่แปลกใจที่ทำไมเสาตอม่อของท่าเรือถึงเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว และเชื่ออีกว่าอีกสักประเดี๋ยวแม้แต่ตัวพวกเขาเอง ก็คงจะยืนชมวิวเตร็ดเตร่อยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ แพรวจึงล้วงกระเป๋าเป้ควักเอากระป๋องก๊าซออกมาเติมให้แก่น้อง ๆ จะบ้าตายตกอยู่ในสถานการณ์คับขันทีไร ปริมาณก๊าซในการใช้หายใจมีแต่จะลดฮวบลงทุกที แพรวถึงกับสบถออกมาด้วยความอารมณ์เสีย
.
“โถ่เอ๊ย! อุตส่าห์ฝ่าดงพงไพรมาถึงนี่แล้วแท้ ๆ แถมยังมีเรือให้ใช้ฟรีอีกต่างหาก คิดว่าโชคดีแล้วที่ไหนได้ดันดีไม่สุด! เซ็งชะมัด!”
.
พูดไม่พูดเปล่าสาวเจ้ายังชี้นิ้วกลับหลังไปที่โกดัง เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงเรือยอร์ชลำหนึ่งที่ต่อค้างไว้ภายในอู่ซ่อม มันน่าจะเป็นเรือหรูของพวกไฮโซที่ยังต่อไม่เสร็จ ถึงได้มีเครนกับสายเคเบิ้ลมากมายห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด พาหนะลำนี้ถูกขึงให้ลอยอยู่สูงจากผิวน้ำมากกว่า 3 เมตร และตอนนี้แม้แต่เสากระโดงเรือก็ยังไม่มีให้เห็น
.
โบ๊ทก็เลยจัดแจงใช้สกิลที่ตนถนัดขยับนิ้วดุ๊กดิ๊ก พลันส่งโดรนอารักขาให้บินขึ้นไปแสกนโครงสร้างภายในให้ ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็คือ
.
“ตู๊ดดด ๆ , ตุ๊ดดด ๆ , ตุ๊ดดด ๆ”
.
“อืม..”
“ไม่ใช่แค่ไม่มีใบเรือพี่ ขนาดเครื่องยนต์ก็ยังไม่มีเลย ที่สมบูรณ์สุดมีแค่กระดูกงูกับโครงตัวถังทรงโค้ง ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะรับน้ำหนักของพวกเราทุกคนไหวไหม หลังคาข้างบนยังทำไม่เสร็จหมดสิทธิ์สำหรับการหาจุดบังแดดกันฝน โดยรวมแล้วสภาพดูไม่พร้อมใช้งานเอาซะเลยครับ”
.
ช่างเป็นการรายงานที่บัดซบรูหูที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมา แพรวก็เลยยิ่งคิดหนักขึ้นไปอีก เธอคลึงคางเดินวนไปวนมาอยู่รอบท่าเรือ พลางทอดสายตามองสิ่งต่าง ๆ ที่พอจะใช้เป็นช้อยด์ทางเลือกอื่นได้ ขณะเดียวกันพวกเจนิสก็กำลังง่วนอยู่กับการสับเปลี่ยนท่อก๊าซ เพื่อเติมอากาศเข้าสู่หน้ากากครอบแก้วให้แก่กันและกันอยู่ ควันฟดฟองฟู่! มองไกล ๆ แล้วเหมือนกลุ่มคนเหล่านี้กำลังปาร์ตี้ดูดบารากุกันอยู่ก็มิปาน ต่างก็แค่เป็นควันสีแดงไม่ใช่สีขาว
.
แต่หารู้ไม่ว่าประกายเล็ก ๆ ตรงนี้นี่เอง ที่ทำให้แพรวคิดอะไรดี ๆ ออก เธอถึงกับสั่งให้ทุกคนหยุดกิจกรรมแล้วฟังคำชี้แจงจากเธอ
.
“ครีดดด~! , ครืดดด~! , ซ่าาาา , ซ่าาาา”
(เสียงคลื่นกระทบท่าเรือ)
.
"ด้วยความที่เป็นทะเลเปิดและเดือนนี้เป็นเดือนพฤศจิกา นั่นหมายความว่าตกกลางคืนน้ำทะเลจะหนุนสูงกว่าระดับนี้มาก หากเราใช้ประโยชน์จากกระแสน้ำตามธรรมชาติได้ ก็แปลว่าเครื่องยนต์บนเรือก็ไม่จำเป็น เราแค่ต้องอ่านกระแสน้ำให้ออกบวกกับคัดท้ายให้ตรงจังหวะสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการออกไปสู่โลกภายนอก”
“ทีนี้ย้อนกลับไปที่เรือ ฉันพิจารณาแล้วว่าเราไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากเจ้านี่ ท้องเรือที่ยังห้อยต่องแต่งนั่นตกกลางคืนฉันอยากให้โบ๊ทใช้โดรนตัดสายเคเบิลที่ยึดมันออกไปซะ ปล่อยมันลงสู่ผิวน้ำแล้วเราจะออกเดินทางกันทันที”
.
จบตรงนี้โบ๊ทก็สวนขึ้นแทบจะทันควัน!
.
“พี่จะบ้าเหรอพี่แพรว! ขืนทำงั้นเชื้อในทะเลก็กัดเรือจนผุพังหมดสิ! เราจะไปได้ไกลสักแค่ไหนเชียว ต่อให้มีแรงจากกระแสน้ำช่วยผมก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้อยู่ดี พอเถอะ! ไม่เวิร์คอย่างแรง! ไม่ผ่าน ๆ !”
.
ทั้งกวักมือทั้งส่ายหัวไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโบ๊ทผิดหวังแค่ไหน แพรวจึงหันหน้าไปที่เจนิสที่เพิ่งเติมก๊าซใส่หน้ากากให้เพื่อนเสร็จ ควันสีแดงจากเลือด LGBT ยังคงฟุ้งโขมงโฉงเฉง สบโอกาสให้ได้ใช้สิ่งนี้ประกอบคำอธิบาย
.
“เจ้าก๊าซกระป๋องเหล่านี้แหละคือตัวแปรสำคัญของแผน ฉันเรียกมันว่ากระบวนการ “Chemical resistance” ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการใช้ก๊าซที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียมคลอไลต์ เคลือบวัสดุที่เป็นโลหะให้มีความคงทนแข็งแรงมากขึ้น"
"ถ้าโดรนของเธอพ่นไฟได้เหมือนลำก่อนก็จงใช้มันซะโบ๊ท เพราะความร้อนที่ระดับ 1,000 องศาขึ้นไปจะทำให้ก๊าซโมเลกุลเดี่ยวเปลี่ยนโครงสร้างผลึกเป็นไอออนที่แตกตัวเป็นโมเลกุลคู่ จากนั้นเราจะทำให้มันเย็นลงด้วยการใช้น้ำทะเลที่มีอยู่ถมเถด้านล่าง หากทำได้เร็วพอปฏิกิรยาจะทำให้เหล็กกล้าที่ใช้เป็นฐาน เปลี่ยนโครงสร้างเป็นมาเทนไซต์ที่มีความแข็งแรงสูง แล้วเราก็จะล่องเจ้าเศษเหล็กนี่ออกสู่โลกกว้างได้โดยไม่โดนเชื้อ COVID-19 กัดกินลำเรือ”
.
แพรวร่ายยาวเป็นฉาก ๆ แต่คนฟังนี่สิที่ถึงกับอ้าปากเหวอ โดยเฉพาะเจนิสที่ประหลาดใจมากจนต้องโพล่งคำออกมา
.
“โหพี่แพรวเก่งจัง! พี่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ?”
.
“อ่าว! นี่พี่ไม่เคยบอกเธอหรอกเหรอว่าพี่เป็นนักศึกษาคณะเภสัช ถึงจะเรียนไม่จบเพราะตึกมหาลัยถูกไวรัสกัดกินไปหมด แต่ยังไงซะเรื่องสารเคมีพวกนี้ก็พอจะมีความรู้อยู่บ้าง มันไม่ใช่ทฤษฎีที่ซับซ้อนอะไรเลย ที่จริงผู้คนเขาก็ใช้กันอยู่ดาษดื่นในอุตสาหกรรมเคลือบผิวโลหะหรือเซรามิค แต่เราแค่ได้เปรียบกว่าพวกเขาหน่อย ตรงที่เรามีก๊าซต้านเชื้อของบริษัท AP อยู่ถึง 4 กระเป๋าเป้! มากจนไม่รู้จะมากยังไง!”
.
“มันพอใช่ไหมครับ!?”
เสียงเล็ก ๆ แลบออกมาจากปากโบ๊ท
.
“ต้องรอดูนะ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอจะกล้าเสี่ยงไปกับพี่รึเปล่า? ถ้ากล้า! รอน้ำขึ้นคืนนี้แล้วเรามาลงเรือลำเดียวกันเลย!”
.
แพรวทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ตายก็ตายในเมื่ออยู่ที่นี่ต่อไปก็ตายอยู่ดี ก็เลยไม่รู้ว่าจะกลัวไปทำไม
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ