“อยู่เฉยๆ” เขาไม่ยอม พร้อมออกคำสั่งเสียงเข้มพร้อมส่งสายตาดุมาให้ฉัน เขาจับข้อเท้าฉันขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาถอดรองเท้าผ้าใบของฉันออกด้วย ฉันพยายามจะขัดขืน แต่เพราะสายตาคมคู่นั้น ฉันก็เลยต้องยอม
“อ๊ะ...ซี๊ดดด” ฉันซูดปากพลางนิ่วหน้า เมื่อเขาจับข้อเท้าฉันหมุนไปหมุนมา ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บมาก แค่แปล๊บๆ
“หึ! ก็ไม่ได้เป็นไรมากนิ ทำไมไม่ลุกไปตบยัยนั่นสักฉาด ปล่อยให้เขารังแกอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง” เขาพูดขึ้นพลางปล่อยมือจากข้อเท้าฉัน และหยิบรองเท้าผ้าใบขึ้นมาจะใส่ให้ แต่ฉันแย่งมาได้ก่อน ใครจะกล้าปล่อยให้เขาทำให้ล่ะ แค่นี้ใจก็เต้นจนไม่เป็นจังหวะแล้ว
“ทำไมคุณพูดแบบนั้นละคะ เธอเป็นผู้หญิงของคุณนะ” ฉันพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาพลางโน้มตัวลงใส่รองเท้าตัวเอง
“ใครบอกเธอ ว่านั่นผู้หญิงของฉัน” เขาเลื่อนหน้ามาสบตาฉันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่ฉันไม่ได้สนใจฟังที่เขาพูดสักนิด ตอนนี้ฉันได้ยินแต่เสียงใจตัวเองที่มันดังขึ้นแบบจับจังหวะไม่ได้ สายตานั่นก็เหมือนมีมนตร์สะกดยังไงก็ไม่รู้ ฉันไม่สามารถควบคุมอะไรในตัวเองได้เลยสักอย่าง
“ฮะ...เฮีย จอดตรงนี้ให้หนูหน่อยสิคะ”เสียงเล็กเอ่ยขึ้นเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก ผมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างๆ ที่นั่งทำตาปริบๆ ตอนนี้ผมโคตรจะหงุดหงิดแต่สุดท้ายก็เลี้ยวเข้าข้างทางให้เธอจนได้ พอรถจอดสนิท หนูเฌอก็เปิดประตู วิ่งลงจากรถไปทันที แล้วผมก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าเธอจะไปไหนตอนนี้ผมมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง พวกไอ้แบล็คมันจะทันได้เห็นหน้าหนูเฌอรึเปล่าวะ แล้วถ้ามันเห็นล่ะ ยัยนี่ต้องเป็นอันตรายแน่ โว๊ยย...กูอยากจะบ้าตาย อะไรกันวะเนี่ย เมียก็ไม่ใช่ ใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เข้ามาวุ่นวายอยู่ในชีวิตผมให้มันได้ทุกเรื่องซิน่าผมเอามือขึ้นยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เธอไปเอาความใจกล้าบ้าบิ่นแบบนี้มาจากไหนวะ ทีกับผม...แค่ตะคอกนิดเดียวกลัวจนหัวหด แต่เหตุการณ์เสี่ยงตายเมื่อกี้นี้กลับไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นี่เธอต้องคลั่งไคล้ผมเบอร์ไหนวะ ถึงกล้าเอาชีวิตตัวเองมาแลกแบบนี้แกร่กกเสียงเปิดประตูรถปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนร่างบางจะขึ้นมานั่งบนเบาะพร้อมกับถุงอะไรสักอย่างในมือ ผมก็ไม่ได้สนใจ รู้แต่ว่าพอเธอดึงประตูปิดเข้ามาผมก็เข้าเกียร์พร้อมจ
[Chernarin Talk]ฉันนั่งเช็ดผมตัวเองพลางมองปลายเท้าข้างซ้าย แล้วหยุดยิ้มออกมาซ้ำๆ เหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน ใครจะคิดล่ะว่าจะมีโอกาสได้มาใกล้ชิดคนที่แอบชอบมาตั้งหกปี แถมยังได้เรียกเขาว่า เฮีย อีก งุ้ยๆๆๆ เขินจัง แค่คิดก็มีความสุขแล้วLine~ Line~ฉันลุกเดินไปหยิบมือถือมาเปิดดูไลน์กลุ่มที่มีทั้งใยไหมและปังปอนด์อยู่ในนั้นด้วย อิปังไลน์มาทำไมไหนบอกจะไปเที่ยวกับพวกรุ่นพี่ที่คณะPung_pond : ส่งรูปภาพให้คุณPung_pond : บอกได้คำเดียว เละ!Pung_pond : ส่งตำแหน่งที่ตั้งให้คุณพอเห็นรูปที่ปังปอนด์ส่งมาให้เท่านั้นแหละ ไม่ต้องคิดเลย ฉันรีบแต่งตัวในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะพาตัวเองไปยังตำแหน่งที่ตั้งที่ปังปอนด์ส่งมาให้ทันที พี่สาวฉันเมาเละเทะขนาดนั้นได้ยังไงกัน ว่าแต่มันไปกับใครนะ ทำไมเขาถึงปล่อยให้พี่สาวฉันมีสภาพแบบนั้นได้ไม่นานฉันก็มาหยุดยืนอยู่หน้าผับ The one ที่อยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ฉันเท่าไหร่นัก ก่อนจะไลน์หาปังปอนด์ แต่มันกลับบอกว่าไม่เห็นพี่สาวฉันซะแล้ว มันเผลอหันไปชนแก้วกับผู้แป๊บเดียวก็หายไปเลย ฉันเลยบอกให้มันออกมาหาฉันข
ผมสาวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาลของไอ้หมอแบบเร่งรีบ จนแทบจะเรียกว่าวิ่งเลยก็ได้ หลังได้รับสายจากไอ้ยูตะว่าเกิดเรื่องขึ้นที่สนามแข่งรถ ตอนแรกกะว่าจะไปกินอาหารฝีมือยัยเด็กต๊องนั่นซะหน่อย สุดท้ายไม่ได้แม้แต่ไปส่งเธอด้วยซ้ำและตอนนี้ผมต้องลืมเรื่องยัยหนูเฌอนั่นไปก่อนครืดดดด...ปึงประตูห้องพักฟื้นระดับ VIP ถูกเลื่อนออกอย่างแรงจนกระแทกอีกฝั่งเสียงดังลั่นก่อนผมจะพุ่งตัวเข้าไป ผมเห็นสีหน้าไอ้หกตัวในห้องก็รู้แหละ ว่าแม่งไม่ธรรมดาแน่ๆ ก่อนจะหันไปมองยังเตียงคนไข้โครมม!!“แม่งเอ๊ยย!!” ผมออกแรงถีบเก้าอี้ตัวที่ใกล้เท้าที่สุดจนล้มระเนระนาดพลางสบถออกมาเสียงลั่นด้วยความโมโหเมื่อเห็นสภาพลูกน้องตัวเอง ที่นอนอยู่บนเตียงมีผ้าพันแผลแทบจะทั้งตัว มันไม่ได้หมดสตินะ แต่คงจะขยับตัวไม่ได้แน่ๆ เพราะดูจากการที่มันกลอกลูกตามามองผม คงจะขยับปากไม่ได้ด้วยซินะ ไม่งั้นคงไม่เงียบแบบนี้แน่ ปกติแม่งกวนตีนและก็พูดมากฉิบหาย มันคือ ไอ้เรย์ ลูกน้องคนสนิท ที่คอยดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับสนามแข่งให้ผมและไว้ใจได้มากที่สุด มันอยู่กับผมมาหลายปี รู้ใจกันจนไม่ต้องพูดอะไร“ไอ้เหี้ยแบล็ค&rdq
“อยู่เฉยๆ” เขาไม่ยอม พร้อมออกคำสั่งเสียงเข้มพร้อมส่งสายตาดุมาให้ฉัน เขาจับข้อเท้าฉันขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาถอดรองเท้าผ้าใบของฉันออกด้วย ฉันพยายามจะขัดขืน แต่เพราะสายตาคมคู่นั้น ฉันก็เลยต้องยอม“อ๊ะ...ซี๊ดดด” ฉันซูดปากพลางนิ่วหน้า เมื่อเขาจับข้อเท้าฉันหมุนไปหมุนมา ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บมาก แค่แปล๊บๆ“หึ! ก็ไม่ได้เป็นไรมากนิ ทำไมไม่ลุกไปตบยัยนั่นสักฉาด ปล่อยให้เขารังแกอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง” เขาพูดขึ้นพลางปล่อยมือจากข้อเท้าฉัน และหยิบรองเท้าผ้าใบขึ้นมาจะใส่ให้ แต่ฉันแย่งมาได้ก่อน ใครจะกล้าปล่อยให้เขาทำให้ล่ะ แค่นี้ใจก็เต้นจนไม่เป็นจังหวะแล้ว“ทำไมคุณพูดแบบนั้นละคะ เธอเป็นผู้หญิงของคุณนะ” ฉันพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาพลางโน้มตัวลงใส่รองเท้าตัวเอง“ใครบอกเธอ ว่านั่นผู้หญิงของฉัน” เขาเลื่อนหน้ามาสบตาฉันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่ฉันไม่ได้สนใจฟังที่เขาพูดสักนิด ตอนนี้ฉันได้ยินแต่เสียงใจตัวเองที่มันดังขึ้นแบบจับจังหวะไม่ได้ สายตานั่นก็เหมือนมีมนตร์สะกดยังไงก็ไม่รู้ ฉันไม่สามารถควบคุมอะไรในตัวเองได้เลยสักอย่าง
หลายวันต่อมา....@ ห้างสรรพสินค้า“ไหนบอกแค่มากินข้าว?”ผมขืนแรงลากของ น้ำฟ้า คู่ขาคนใหม่หมาดๆ ที่เพิ่งพากันออกมาจากโรงแรมได้สักพักนี่เอง ก่อนจะพากันมาหาอะไรกินที่นี่ ความจริงผมไม่ค่อยได้พาใครมากินข้าวแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ตัวเด็ดจริงๆ แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะหงุดหงิดแหละ เพราะมันนอกเหนือจากที่เธอขอ พาผมมาหยุดหน้าร้านเสื้อผ้าสุดหรูเฉย เรื่องเงินน่ะผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปัญหาคือมันใช่หน้าที่ของผมเหรอ ที่จะต้องมานั่งเฝ้าเธอแบบนี้“นะคะ แป๊บเดียวเองค่ะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างออดอ้อนออเซาะ เกาะแขนผมพลางเอาหน้ามาซบ หึ! ผู้หญิงคนนี้ยังไม่รู้จักผมดีพอซินะ มารยาหญิงใช้ไม่ได้กับผมนะ บอกก่อน“ปล่อย!” คำสั่งเสียงเข้มหลุดออกจากปากผมพร้อมๆ กับแขนผมก็หลุดจากการเกาะกุมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเธอยอมปล่อยตามคำสั่งนะ แต่ผมเองเนี่ยแหละที่สะบัดออกอย่างไม่ไยดี ก่อนจะสาวเท้าเดินแบบไม่ฟังใคร เด็ดแค่ไหนผมก็ไม่ได้ง้อนะ ไม่จำเป็นเลยสำหรับผม“เดี๋ยวสิคะ รอฟ้าด้วย” เธอรีบเดินตามมาเกาะแขนผมเหมือนเดิม ก่อนฝีเท้า
สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กก็รีบลุกไปตักข้าวแล้วกลับมานั่งที่เดิม แต่ไม่กล้าเงยหน้ามามองผม ยัยเด็กบ้านี่ทำให้ผมโมโหได้ตลอดเวลาเลยซินะ แต่ในทางกลับกัน เธอก็ทำให้ผมยิ้มได้ด้วย ตลกชะมัด ไอ้ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเธอเรานั่งกินข้าวกันมาสักพัก โดยที่ยังมีคนแอบมองผมอยู่เป็นระยะ แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า หึ! แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวในจานตัวเองต่อ ปล่อยให้เธอทำอะไรที่อยากจะทำตามสบาย จะว่าไป ฝีมือยัยเด็กนี่ใช้ได้เลยแหละ อร่อยกว่าที่บ้านผมอีกนะเนี่ย เก่งใช้ได้ เห็นต๊องๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะทำกับข้าวแถมทำได้ดีมากซะด้วย“ชื่ออะไร” ผมหาเรื่องชวนเธอคุย เพราะดูเหมือนเธอจะเกร็งๆ และมันทำให้ผมกินข้าวไม่อร่อย“เฌอค่ะ เฌอนารีน” เธอตอบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ“หือ นี่อะไร” ผมเอ่ยถามทันทีที่ตักน้ำพริกถ้วยเล็กบนโต๊ะอาหารเข้าปาก เพราะมันอร่อย...อร่อยมาก ผมไม่เคยชอบกินน้ำพริกแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนมากมันจะเหม็นแล้วก็เผ็ด แต่สำหรับที่แม่ครัวตัวน้อยนี่ทำ มันทั้งหอมแล้วก็กลมกล่อม ไม่ได้เผ็ดโด่งเหมือนที่ผมเคยกิน“น้ำพริกอ่องค่ะ คุณชอบเหรอคะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้น แววตาวาววับเป็นประกาย ราวกับว่า