“....”“อันนี้ดีกว่า เดี๋ยวเฮียสั่งให้” พูดจบเขาก็จัดแจงเดินไปสั่งอาหารตามที่บอกทันที ฉันทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปตาปริบๆ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะฉันเองก็ยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร เฮียวาโยน่าจะเคยมาที่นี่ น่าจะรู้แหละว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย แล้วเฮียวาโยก็เดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉันพร้อมกับตอบคำถามที่ฉันถามไปสักพักใหญ่นั้นแล้ว“วันหลังค่อยทำกิน วันนี้หนูน่าจะเหนื่อยแล้วก็หิวด้วยใช่ม่ะ” ก็ใช่นะ...เขาพูดถูกฉันทั้งเหนื่อยแล้วก็หิว แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่จะทำอาหารไม่ได้ซะหน่อย“แต่หนูก็ทำได้นะ ถ้าเฮียอยากกิน ไม่เหนื่อยเลยสักนิด” ฉันบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับยิ้มหวาน ก่อนที่เฮียวาโยจะยื่นมือข้างหนึ่งมาแนบแก้มฉันใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินแล้วหยุดไป“ทำไมถึง...”“คะ…?” ฉันกำลังจะถามต่อแต่ทว่าแม่ค้าดันเอาอาหารมาเสิร์ฟซะก่อน เฮียวาโยชักมือกลับในทันที ก่อนที่เราทั้งสองจะเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่อาหารบนโต๊ะแทน&ldq
เฮียวาโยเลือกที่จะพาฉันออกมาจากสนามแข่งรถแทนที่จะกลับเข้าไปตอบคำถามร้อยแปดของบรรดาเพื่อนๆ เขาและฉันคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอ…หนึ่ง....เพื่อนๆ ของเขาจะไม่หยุดคาดคั้นถ้าไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ อันนี้ฉันเดาจากสภาพการณ์ที่ได้เห็นมาสอง...เฮียวาโยก็คงจะไม่อยากตอบเพราะถ้าเขาอยากให้คนอื่นรู้คงพูดไปนานแล้วและสาม...ข้อนี้สำคัญมากฉันไม่อยากให้เฮียวาโยกลับไปเป็นสภาพแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่เขาเงียบไปแบบนั้นฉันไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนและควรทำตัวยังไง ณ เวลานี้ฉันก็ยังไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เขาเป็นแบบนั้นซูเปอร์คาร์คันหรูเคลื่อนไปตามถนนที่จุดหมายอาจเป็นที่ไหนสักแห่งฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็ไม่สนใจมันเท่าไหร่หรอก ฉันสนใจคนที่อยู่หลังพวงมาลัยนั่นมากกว่า สายตายังคงจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่ลดละพร้อมกับคำถามอีกตั้งหลายข้อที่วนอยู่ในหัว...แต่ก็ไม่กล้าถาม เขาก็บอกแล้วนิว่าไม่ได้โกรธ แต่ฉัน...ก็ไม่สบายใจนี่นา“หนูเฌอ”“คะ...?” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะดึง
ร่างผมถลาไปตามแรงตบของผู้มาเยือน ความคิดหลุดลอยไปกลางอากาศจนหมดสิ้น ไอ้ห่า...มือหรือตีนว่ะนั้น ดีนะที่มีขอบหน้าต่างกั้นไว้ ไม่งั้นผมคงได้ไปชดใช้กรรมในนรกแทนแล้วล่ะ เวรจริงๆ“เป็นเหี้ยอะไรของมึง” ประโยคแรกหลังจากที่มันตบไหล่ผมฉาดใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นห่วงเนอะ ไอ้เพื่อนเหี้ย ตบซะไม่ยั้งมือเลย“....” ผมเงียบและเลือกที่จะด่ามันทางสายตาแทน ก่อนจะสะบัดไหล่เพื่อให้มือที่มันวางพาดอยู่หลุดไป แล้วหันมาสนใจบุหรี่ในมือต่อ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มันก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ยังจะถามเพื่อ…? น่าหงุดหงิดชะมัดก็ไอ้แม็กซ์นี่แหละที่เป็นคนไปกับผมวันนั้น และมันแม่งไม่ได้รู้สึกผิดเหี้ยอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ ไม่รู้จิตใต้สำนึกแม่งไปหลบอยู่ซอกตีน ซอกเล็บ ซอกไหนสักซอกที่น้อยนิดมากๆ หรือไม่ก็อาจไม่มีอยู่ในตัวมันเลยด้วยซ้ำ อย่างเหี้ย...“มึงจะคิดมากอะไรนักว่ะ เรื่องมันตั้งหกปีละ...”พลั่ก!! ...ปึก!ผมไม่อดทนฟังให้จบประโยคหันไปผลักอกไอ้เพื่อนเวรอย่างแรงจนร่างมันเซถลาไปชนเข้ากับกำแพงแบบไม่ทันตั้งตัว มันชะงักไ
“ว้าววว...”พี่หนูดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเป็นเรื่องที่สุดแสนเซอร์ไพรส์สำหรับเธอยิ่งนัก ทุกคนในห้องก็ดูไม่ต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องเล่ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มีเพียงสายตาที่ตวัดมองพี่หนูดาอย่างดุดันจนริมฝีปากบางที่กำลังจะขยับพูดจำเป็นต้องเม้มเป็นเส้นตรงพร้อมกับกลืนคำพูดที่ไม่อาจมีใครรู้ได้ลงลำคอไปในทันที เพราะมันอาจอันตรายถึงชีวิตเลยก็เป็นได้และไม่ควรเสี่ยงเลยจริงๆเฮียวาโยหลุบมองมือตัวเองที่ประสานกันแน่น ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟาเดินตรงไปยังประตูแบบรีบร้อน และ….ปึง!!“....”ประตูถูกปิดลงอย่างแรงจนเสียงดังสนั่นนั่นบ่งบอกถึงอารมณ์ผู้กระทำได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ติดว่าผนังถูกสร้างด้วยกระจกเกรดพรีเมียมอย่างดีนะ มีละเอียดแน่ รับรองได้เลย ส่วนฉันไม่เพียงแค่ตกใจเท่านั้น แต่ยังร้อนใจมากๆ อีกด้วย เขาดูตกใจเล็กน้อยตอนฉันเริ่มเรื่องและนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ เขาจำได้หรือเปล่าฉันก็ไม่รู้ เฮียวาโยเป็นคนโผงผาง ใจร้อน อะไรไม่ถูกใจก็พร้อมจะพุ่งชนได้เสมอ แต่พอมาเทียบกับการนิ่งเงียบแบบนี้แล้ว การกระทำที่เคยผ่านมาเหล่านั้นไม่น่ากลัวเลยสักนิดปฏิกิริยาแบบนั้นมันหมายควา
แอ๊ดดดดเสียงประตูนั้นดึงความสนใจฉันไปได้ในทันทีเพราะเราต่างเฝ้ารอมันอยู่ ทั้งฉันและพ่อพุ่งตัวไปที่ชายร่างสูงที่เดินออกมาในชุดกาวน์ทันที ยิงประโยคคำถามรัวๆ ใส่อย่างร้อนรน โดยไม่มีใครฟังใครจนนายแพทย์ใหญ่ต้องปรามขึ้น"ภรรยาผมเป็นไงบ้างครับ/แม่หนู แม่ปลอดภัยไหมคะ"“ใจเย็นก่อนนะครับ ตอนนี้หมอผ่าเอากระสุนออกเรียบร้อยแล้ว”สิ้นเสียงหมอเราทั้งคู่ก็พากันสงบสติลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็นั่นแหละ ดีใจได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองเมื่อได้ฟังประโยคถัดมาของหมอ“แต่คนไข้เสียเลือดมาก ตอนนี้เลือดที่ทางโรงพยาบาลมีไม่พอ หมอกำลังขอเลือดจากที่อื่นมาแต่คิดว่าไม่น่าจะทัน เราต้องการเลือดกรุ๊ปเอบี ด่วนครับ”ฉันและพ่อก็ชะงักไปในทันที ในครอบครัวเรามีแม่เพียงคนเดียวที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี ทั้งพ่อ ฉัน และพี่สาว ต่างมีเลือดกรุ๊ปเอกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้ ณ เวลาแบบนี้ เราจะไปหาเลือดที่ไหนทันกันเล่า….“ญาติมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคนไข้ไหมครับ”ร่างของพ่อถอยไปทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ฉันเองก็จนห
ย้อนไปหกปีก่อน….“หนูว่าเหมาะกับแม่มากเลยนะ”ฉันหันไปบอกผู้เป็นมารดาที่กำลังมองกระเป๋าใบใหม่อย่างปลื้มปีติขณะเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า ท่านละสายตาจากของขวัญชิ้นโปรดมาส่งยิ้มหวานให้พร้อมพยักหน้ารับเห็นด้วยกับประโยคที่เพิ่งจบไป ก่อนที่ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นฮีโร่ในชีวิตจริงเพียงคนเดียวของฉันจะเสริมขึ้นแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ“พ่อตาถึงใช่ม้า…?”“จ้าๆๆ”แม่ตอบแกมประชดประชันเล็กน้อยพร้อมกับเอื้อมไปหยิกแก้มสามีตัวเองเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ภาพตรงหน้า ถึงแม้ฉันจะเห็นมาตั้งแต่จำความได้แต่ก็ยังคงต้องยิ้มตามอยู่ทุกครั้งไป ถึงพ่อจะมีนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่สุดท้ายแม่ก็ยังเป็นคนเดียวที่ท่านอยากจะรักษาไว้ ไม่เคยปล่อยปละละเลยหรือทิ้งไปไหน วันสำคัญของแม่ทุกๆ วัน ทุกๆ ปี ท่านก็จะมีของขวัญและเซอร์ไพรส์ให้ตลอด อย่างเช่นวันนี้ ที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของแม่ พ่อยังคอยเติมความหวานอยู่ตลอดไม่ปล่อยให้ชืดจางไปเลยเราทั้งสามคนยังคงเดินหยอกล้อเล่นกันไปเรื่อยๆ ตามทางลาดจอดรถในห้างนั้นตามประสา