LOGIN[Matusin Talk]
ช่วงเย็นของวันต่อมา…
@Sosay Pub
“เห่ยๆๆ”
“ไอ้เฮีย ตื่น”
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนมาสะกิดเรียก ผงกหัวขึ้นเล็กน้อย หรี่ตามองไอ้คนที่มันบังอาจมาปลุกผม มันคือไอ้ดิน คนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายเจ้าพ่อมาเฟียที่ไม่รับช่วงต่อธุรกิจสีเทาของผู้เป็นพ่อสักอย่าง แต่เสือกเลือกที่จะมาเป็นเจ้าของผับเล็กๆ แห่งนี้แทน
ผมทิ้งหัวลงบนโซฟาอีกครั้งพลางยกกำปั้นทุบหน้าผากตัวเองเบาๆ ปวดหัวฉิบ
“ไมมานอนตรงนี้วะ” เสียงไอ้ยูตะเอ่ยถามก่อนที่มันจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม มันเป็นน้องชาย ไอ้วาโย เพื่อนสนิทผม
“เชี่ยยยย นี่มึงแดกคนเดียว?” ไอ้หมอไวน์ ที่เดินตามเข้ามาเอ่ยถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกองขวดเหล้าและพวกบรรดามิกเซอร์ทั้งหลายบนโต๊ะกลาง คุณหมอหนุ่มสุดหล่อ แถมยังเป็นทายาทคนเดียวของเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังใจกลางเมือง
“ตับไตพังหมดแล้วมั้ง ไอ้ฉิบหาย” นี่ก็เสียงไอ้วาโย พวกมันตามกันเข้ามาติดๆ ยังมีไอ้ธามและก็ไอ้ฟิวส์ที่เดินเข้ามาแต่ไม่ได้พูดอะไร ไอ้สองตัวนี้แม่งพอกัน ไอ้พวกกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก แต่มันกวนตีนมากนะ…บอกไว้ก่อน ไม่งั้นคบกับพวกผมไม่ได้หรอก
แน่ะ...พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้เหี้ยฟิวส์ก็เดินมาสะกิดผม พร้อมกับส่งซิกให้ลุกขึ้น
“เชี่ยไรเนี่ย วุ่นวายฉิบหาย” ผมก่นด่าให้เพื่อนตัวเอง ที่นั่งตั้งเยอะแยะ เสือกอยากจะมานั่งตรงนี้
ผมหยัดตัวขึ้นนั่งอย่างหัวเสีย มองไอ้คนหน้ามึนที่หย่อนก้นลงนั่งข้างผมตาขว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นบีบต้นคอตัวเองและบิดไปมาเล็กน้อย
“อาการมันเป็นไง” ไอ้หมอถามพร้อมยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง ตามฉบับของนายแพทย์หนุ่มสุดหล่อ
อะ…ไอ้เหี้ยฟิวส์นี่ก็ขยันสะกิดกูจังเลย
“อะไรอี๊ก” ผมหันไปถามด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่มันจะชี้ขวดน้ำเปล่าที่อยู่มุมโต๊ะ
“ไม่แดกมาจากบ้านว่ะ…อ้ายเหี้ย” ผมด่ามัน แต่ก็ยังหยิบให้มันนะ
“ใช้นิดหน่อยทำบ่น สัส” มันรับขวดน้ำไปจากผม ไม่ขอบคุณไม่พอ เสือก ว่าให้ผมอีก เวรจริงๆ
“สรุปเป็นเหี้ยอะไร แดกโต้รุ่งขนาดนี้” ไอ้วาโยถาม พร้อมกับนั่งลงที่ว่างอีกฝั่งข้างผมหลังจากที่มันยืนจับผิดผมอยู่สักพัก เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ฟิวส์ยกน้ำขึ้นดื่ม
“ปาร์ตี้ สละโสด” ผมตอบ
พรวดดด
ฮะ!!!
พวกมันอุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน ไอ้ฟิวส์ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำไหลเลอะคางที่พุ่งออกมาแบบลวกๆ ก่อนที่จะพากันหัวเราก๊ากออกมา
ฮ่าๆๆๆๆ
ไม่มีเชื่อสินะ..ผมโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแจ็กเกตหนังของตัวเองที่วางพาดพนักพิงโซฟาพร้อมกับล้วงกระเป๋าด้านในหยิบการ์ดสีชมพูหวานหกใบออกมาโยนไว้บนโต๊ะกลางวง
“อ้ะ...ไอ้สัส แหกตาดูเอา”
พูดจบผมก็หยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดขึ้นมาสูบ พวกแม่งพากันกลืนเสียงหัวเราะกลับเข้าลำคอแทบไม่ทัน ไอ้ธามเป็นคนแรกที่หยิบการ์ดขึ้นมาดู
“เฮียนี่ก็ว่างเนอะ สรรหาจริง” ไอ้ธามว่าก่อนจะโยนการ์ดกลับคืนที่เดิมและเอื้อมไปหยิบแก้วเปล่าที่วางถัดไปแทน แล้วแม่งก็พากันหัวเราะออกมาอีกรอบ ผมเริ่มไม่สบอารมณ์กับพวกแม่งนี่ละ สนุกกันจัง ไอ้สัส…เดี๋ยวรู้เรอะ
“เอ้า ไอ้เวรนี่ กูพูดจริง” ผมยืนยันเสียงแข็ง คิ้วขมวดมุ่น ทำไมไม่มีใครเชื่อผมเลยวะ ต่อไปเป็นไอ้หมอไวน์ ที่เอื้อมหยิบการ์ดไปดู บรรจงอ่านรายละเอียดสำคัญตามลำดับ
“เรียนเชิญร่วมพิธีมงคลสมรส เจ้าสาวนี่ใครวะ” พอไอ้หมอพูดจบไอ้ยูตะก็ชะโงกหน้าไปอ่านชื่อว่าที่เจ้าสาวของผมทันที
“ลลิลลดา เรืองขจร แหมะ ชื่อเพราะซะด้วย”
“นี่มึงเล่นถึงนามสกุลดังเลยเหรอว่ะ ไอ้สัส อย่างจี้” ผมตวัดตามองไอ้เหี้ยวาโยที่ใช้สองมือกุมท้องหัวเราะลั่นจนตัวบิดตัวงอกับประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดไป
“จัดงานที่บ้านซะด้วย” ไอ้ยูตะว่าต่อ
“วันเสาร์นี่ โห…ไวไปเพื่อน ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่” พูดจบไอ้หมอไวน์ก็โยนการ์ดลงกองเหมือนเดิม แล้วก็พากันหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“เดี๋ยวนะ!!” ไอ้ดินโพล่งขึ้น ก่อนจะรีบหยิบการ์ดขึ้นมาดูอีกครั้ง “ลลิลลดา” มันพึมพำชื่อเจ้าสาวที่ถูกตีพิมพ์ไว้อย่างเลื่อนลอยเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง
“เชี่ยยยย ผู้หญิงที่มาตามหาเฮียเมื่อคืนหนิ” มันพูดจบ ทุกคนนิ่งอึ้งไปหลายนาที เจอตัวคนที่ปล่อยให้ยัยคุณหนูนั่นบุกขึ้นไปขัดจังหวะผมล่ะ
“แล้วมึงปล่อยให้ขึ้นไปทำไม” ผมถามไอ้ดินแต่ดูเหมือนทุกคนจะเรียกสติกลับมาพร้อมกัน เพราะต่างคนต่างพากันหยิบการ์ดที่จ่าหน้าซองเป็นชื่อของตัวเองขึ้นไปดูอย่างจริงจัง
“ก็อยากแกล้งเฮียเล่นเฉยๆ นึกว่าเด็กในสต๊อก” มันตอบหน้าตาเฉย
เชื่อกูแล้วสินะ…ไอ้พวกเวร แล้วแม่งก็พากันรัวคำถามใส่ผมแบบไม่ทันตั้งตัว
“เรื่องจริงเหรอวะ” ไอ้วาโยเริ่มถามคนแรกและตามด้วยน้องชายมัน
“ได้ไง”
“เขาท้อง?” และปิดจบที่ไอ้หมอไวน์ เพราะผมไม่ยอมให้ใครได้ถามต่อ
“แหม…ไอ้สัส ต่อมเสือกกระดิกกันขึ้นมาทันทีเลยนะ” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะคาบบุหรี่ไว้ในปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกมือที่ถือแจ็กเกตขึ้นพาดบ่า เดินตรงไปหน้าประตู ไม่ลืมทิ้งท้ายเพื่อย้ำความสำคัญสำหรับงานนี้อีกครั้ง
“เตรียมชุดให้ทันวันเสาร์นี้ก็พอ ห้ามพลาดเด็ดขาด"
ผมเดินพ่นกลุ่มควันขาวมาตลอดทาง ก่อนยกยิ้มขึ้นมุมปาก ผมนี่แทบจะรอให้ถึงวันเสาร์ไม่ไหวเลย รอวันที่คุณหนูลลิลลดาจะตกมาเป็นลูกไก่ในกำมือหรืออาจจะมากกว่านั้น ฉันนี่แหละจะเป็นคนปรามพยศเธอเอง
@คอนโด G19:00 น.แป๊ก!“เอ้า…” ฉันกดสวิสไฟขึ้นลงอีกสองสามครั้งแป๊ก!…แป๊ก!!“ไฟเสียเหรอ” ฉันขมวดคิ้วมองหลอดไฟเพดานด้วยความสงสัย ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายส่องเดินตรงเข้าไปลองกดเปิดสวิสในห้องครัว แต่ก็ไม่ติดเช่นกัน จะว่าไฟดับก็ไม่ใช่ข้างนอกยังสว่างโล้อยู่เลยเฮียแม็กซ์ลืมจ่ายค่าไฟรึไงนะ...บ้าจริง คนยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ฉันวางของไว้บนเคาน์เตอร์ครัวก่อนเดินส่องไฟฉายไปทางห้องนอน เผื่อไฟในห้องนอนจะใช้ได้“Happy birthday to you…”เสียงร้องเพลงดังขึ้นทันทีที่ประตูถูกเปิดส่งผลให้ฉันหยุดชะงักด้วยความตกใจร่างที่คุ้นตาย่างกายเข้าหาฉันพร้อมกับเค้กในมือ เพียงแค่แสงพลิ้วไหวจากเทียนไม่กี่เล่มก็ทำให้เห็นรอยยิ้มเด่นชัดได้และฉันก็ยังเผลอยิ้มออกมาตอนไหนก็ไม่รู้ เขาลงทุนโกหกฉันเพื่อสิ่งนี้สินะ…ร้ายกาจมาก“Happy birthday to you Happy birthday Happy birthday Happy birthday to you🎶🎶”เขาหยุดยืนตรงหน้าฉันก่อนที่เพลงจะจบลงในเวลาต่อมา 
หนึ่งเดือนต่อมา…@เรืองขจรกรุ๊ปพอปัญหาทุกอย่างถูกเคลียร์เรียบร้อย ฉันก็ตัดสินใจเข้ามาทำงานในบริษัทที่ป๊าสร้างไว้ให้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ยังไม่กล้ารับตำแหน่งที่แม่จะยกให้ เพราะคิดว่าตังเองยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก อยากเรืองขจรกลับมาอยู่ในจุดคงที่กว่านี้ก่อนซึ่งมันก็ค่อนข้างยากพอตัว เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับฉันมากๆ แต่ถ้าผ่านงานนี้ไปได้ บอร์ดบริหารทุกคนก็จะยอมรับในตัวฉันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะเป็นทายาทสืบสกุลแค่นั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันแทบจะทุ่มทั้งร่างกายและวิญญาณให้กับเรืองขจร เรียกได้ว่าอีกนิดก็จะกินนอนที่บริษัทแล้วแหละก๊อกๆๆๆ“เข้ามาค่ะ” ฉันตอบรับหลังจากที่ได้ยินเสียงสัญญาณจากผู้มาเยือนด้านนอก แต่ยังไม่ละสายตาจากโปรแกรมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่บนโต๊ะทำงาน“พักบ้างก็ได้มั้ง” เสียงทักทายที่คุ้นหู ถึงฉันจะไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าเป็นใคร“ก็อยากพักนะคะ แต่มันยังค้างคา หนูอยากทำให้เสร็จก่อน” ฉันว่าพลางเหลือบมองผู้เป็นแม่ที่กำลังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาโดยมีลูกสาวคนเล็กในอ้อมกอด
“เฮียคิดว่าความตายมันเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ” ฉันหันไปถลึงตาใส่เขาก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบที่แฝงไปด้วยความอำมหิต“อุ๊ย!” รอยยิ้มทะเล้นหายวับไปกับตา ก่อนที่เขาจะรีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง“หยอกน่า” เขาว่า ขณะดึงฉันเข้าไปกอด“แล้วสรุปคือ” ฉันดันเขาออกก่อนจะเลิกคิ้วถาม ทำไมเขาต้องเลี่ยงที่จะตอบคำถามฉันอยู่ได้หวี๊ดดด…ปังฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดอกไม้ไฟถูกยิงขึ้นไประเบิดเป็นวงกว้าง จนสว่างวาบไปทั่ว และหมุนตัวหันไปทางตำแหน่งที่ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นมาอย่างเผลอไผล ฉันลืมทุกอย่างก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันสวยมากๆ ยิ่งพอได้เห็นในจุดที่สูง ไม่มีอะไรบดบัง มันยิ่งดูสวยงามเป็นพิเศษ หัวใจหลายดวงแตกระยิบระยับกลางอากาศนานหลายนาทีเดี๋ยวนะ…หัวใจงั้นเหรอฉันเหลือบมองสามีตัวเองเล็กน้อยก่อนที่ไหล่หนาจะถูกยกขึ้นแทนเป็นคำตอบและเรียกรอยยิ้มจากฉันได้ไม่น้อยเลยทีเดียวตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไหนได้เป็นฝีมือเขาต่างหาก ถึงว่าอยู่ดีๆ จะขึ้นม
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูออกมาเห็นแผ่นหลังบางของมิณยืนล้างหน้าอยู่ที่อ่างล้างมือ“มิณ”เธอหยุดชะงักและเงยหน้าขึ้นมองฉันผ่านกระจก ก่อนจะฝืนยิ้มให้“โอเครึเปล่า”“โอเคค่ะ” เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เธอตั้งใจทำมันขึ้นมา เด็กอนุบาลก็ยังดูออกว่าเธอไม่โอเคฉันเดินไปหยุดยืนข้างเธอ ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เธอเบาๆ“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ฉันไม่มีสกิลในการปลอบโยนคนสักเท่าไหร่ แทบจะไม่เคยทำเลยด้วย สมองมันก็ตื้อไปหมด ไม่รู้ต้องพูดประโยคไหน หรือต้องแสดงกิริยาแบบไหน“ค่ะ ตอนนี้มิณโอเคแล้ว ต้องขอบคุณพี่เลยนะที่ยอมแต่งงานกับเฮียแม็กซ์” มิณว่า ขณะใช้กระดาษซับน้ำบนใบหน้า“....” ฉันเงียบและหันไปล้างมือในอ่างข้างๆ ไม่รู้จะตอบรับน้องว่ายังไงก็ส่วนหนึ่ง แต่สำคัญคือไม่เคยคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้จะทำประโยชน์ได้มากขนาดนี้“ถ้าไม่มีพี่เข้ามาในครอบครัวของพวกเรา มิณคงไม่มีวันหาตัวมันเจอ” มิณพูดต่อ ในตอนที่ฉันเดินไปหยิบกระดาษมาเช็ดมือ“ต้
@ผับเฮียแม็กซ์ไม่ได้พาฉันกลับคอนโดในทันที แต่พามาที่ผับของดิน เขาบอกว่าทุกคนนัดเจอกันที่นี่ ก็พอเข้าใจได้นะ พวกเขาคงอยากปาร์ตี้ สังสรรค์ หลังจากผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย โดยเฉพาะสามีฉันเนี่ยแหละ รู้สึกเหมือนเขาแทบจะไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้มาสักพักแล้ว“ทำไมมากันเร็วจังค่ะ” เฌอณารีนทักขึ้นทันทีที่เราเปิดประตูเขามาในห้อง VIP ประจำแก๊ง ก่อนจะหันมายิ้มให้และฉันก็ยิ้มตอบตามมารยาท รวมถึงโรสที่นั่งๆ ด้วยนะ“เสร็จธุระเร็วอะ” เฮียแม็กซ์ตอบ ขณะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามทั้งสองคนส่วนฉันก็นั่งลงข้างสามีตัวเอง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องและพยักหน้าเบาๆ ยอมรับให้กับความรักพวกพ้องของเจ้าของผับนะเขาตั้งใจทำห้องนี้ให้เป็นห้องสำหรับแก๊งเขาจริงๆโซฟาหนังชั้นดีถูกวางเรียงกันเป็นตัวยู ฝั่งยาวทั้งสองฝั่งนั่งได้หกคนและตัวปิดที่อยู่ท้ายนั่งได้สองคน นั่งแปลว่ามันจะครบคู่พอดี“เคยมากันแบบครบองค์ประชุมเลยไหม” ฉันเอียงตัวไปถามเฮียแม็กซ์“ปกติก็ครบนะ” เขาตอบพลางเอื้อมไปหยิบแก้วเปล่าสองใบมาคีบน้ำแข็งใส่
ฉันอมยิ้ม หลุบตาหลบเล็กน้อย ในตอนที่รู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยินแต่ มันก็ยัง...แอบเขินอยู่ดี แล้วเขาก็ยังเอาแต่จ้องมองไม่ลดละ“อย่ามองนะ” ฉันว่าพลางยกมือขึ้นปิดตาคู่คม แต่เขาเอี้ยวตัวหลบ“ทำไมอ่ะ นานๆ จะเห็นเมียเขินขนาดนี้”แก้มฉันถูกบีบเบาๆ ทั้งสองข้างจากความหมั่นเขี้ยวของผู้ชายที่ทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดและตอนนี้ฉันก็รักเขามากที่สุดด้วย...ช่วงค่ำของวัน…หลังจากที่เฮียแม็กซ์พาฉันไปดูความเสียหายของเรืองขจรที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าตำรวจสรุปเป็นการวางเพลิง ส่วนไอ้คนทำก็ได้รับผลกรรมทั้งหมดตอนแรกฉันก็กังวลว่าแม่จะรู้สึกยังไง แต่ท่านกลับบอกว่าสบายใจที่ตัดผู้ชายคนนั้นออกจากชีวิตไปได้ เพราะงั้นฉันจึงไม่มีเรื่องอะไรที่หนักใจอีกแล้วและก็มาถึงจุดจบของโจทย์สุดท้ายสักทีฉันหยุดยืนมองผู้ชายที่ถูกมัดไปกับเสากลางโกดังล้างแห่งหนึ่งแถวชานเมือง โดยมีทุกคนในแก๊งของเฮียแม็กซ์ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล“ให้เฮียจัดการให้ไหม”







