Masukความจริงผมไม่ควรแปลกใจนะ…ที่ไอ้พวกนั้นมันไม่เชื่อว่าผมจะแต่งงาน ผมเองยังก็ยังงงๆ อยู่เลย ทำไมถึงตอบตกลงอาม่าโดยใช้เวลาคิดไม่ถึงเสี้ยวนาที ทั้งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ
ประเด็นหลักอาจเป็นเรื่องธุรกิจ คนเราพอถึงวัยทำงานก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน ประเทศนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน เงิน อำนาจ ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งถึงอยู่สบาย หรือบางทีอาจต้องมีทั้งสองอย่าง
AJD Group เป็นบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ระดับต้นๆ ประเทศ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากอยู่แล้ว แต่ถ้าผมได้ถือครองหุ้นบางส่วนของ เรืองขจร บริษัทนำเข้า ส่งออกวัตถุดิบแปรรูประหว่างประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ไม่แพ้กัน มันจะทำเงินให้ผมมากขนาดไหน
ผมสามารถตัดขาคู่แข่งไปได้เกินครึ่งด้วยการดึง เรืองขจร มาเป็นดีลเลอร์ใหญ่และเซ็นสัญญาขึ้นตรงกับ AJD Group แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อก่อนมันเคยเป็นแบบนั้นนะ ตอนที่พ่อของลลิลลดายังมีชีวิตอยู่ แต่พอเปลี่ยนบอร์ดบริหาร ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ความจริงไม่ใช่แค่ผม เราทุกคนล้วนมีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ทั้งนั้น
และประเด็นรองคือผมอยากเอาชนะยัยคุณหนูจองหองนั่น ลลิลลดา...
แต่ถ้าคิดอีกที…ตอนที่ผมตัดสินใจก็ไม่ได้คิดเรื่องธุรกิจมากขนาดจะยกให้เป็นประเด็นหลักหรอกนะ ยิ่งเห็นคุณหนูลลิล วิ่งแจ้นมาหาผม ท่าทีจะเป็นจะตาย ไฟในใจลุกโชนจนหาทางดับไม่ได้ ผมยิ่งลืมเรื่องธุรกิจไปสนิทเลย
ครืดดดด ครืดดดดด
ผมชะงักในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูรถซูเปอร์คาร์สีเทาดำคู่ใจ ก่อนจะพาดเสื้อแจ็กเกตไว้บนหลังคารถแล้วควักมือถือที่ยังคงสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวโปรดออกมาดู
สายนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด นายธารา อัครจินดา ผู้มีส่วนร่วมในการทำให้ผมเกิดมา
“มีอะไรให้รับใช้ครับ” ผมตอบรับอย่างใจเย็นพลางเอนหลังพิงรถ
[แกหายหัวไปไหนทั้งคืนฮะ!!]
โทนเสียงที่ดังลอดออกมาส่งผลให้ผมต้องเคลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหูเล็กน้อย แต่มันก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี แก้วหูเกือบแต่แล้วไม่ละ ดูจากอารมณ์ที่พุ่งพล่านขนาดนี้ คงไม่ใช่สายแรกแน่ๆ แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีสายเข้าเลยนะ ช่วงเวลาที่เมาหลับตั้งแต่รุ่งสางจนเลยมาครึ่งค่อนวัน
“ก็ไม่ได้หาย แค่เมา คิดถึงผมเหรอ”
[ไอ้ลูกเวร ฉันจะด่าแกยังไงดีนะ จะแต่งงานอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กเหลือขอ ขี้เหล้า เมายาไปเรื่อยอยู่ได้]
อะไรวะ…แค่กินเหล้าเมา มันกลายเป็นเรื่องผิดพลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติผมก็ไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่นัก การโดนด่า เป็นเรื่องปกติมาก แต่นั่นมันช่วงก่อนที่ผมจะเรียนจบ ตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจเต็มตัว ท่านก็เลิกวุ่นวายกับผม เรียกได้ว่าแทบจะไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ
“แม่บ้านทำอาหารไม่ถูกปากรึไงครับคุณพ่อ” ผมถามกลับน้ำเสียงยียวน แน่นอนผมต้องโดนด่า
[ไอ้แม็กซ์!! แกอย่ามากวนตีนฉันนะ!]
“อะๆ ว่ามาครับ เรื่องอะไร” ผมไม่อยากกลายเป็นลูกทรพีที่ทำให้พ่อตัวเองเส้นเลือดในสมองแตกหรอกนะ
[หนูลลิลอยู่ไหน]
“เอ้า! ไหงมาถามผม จะไปรู้ได้ไง”
[ก็หนูลลิลบอกกับอาม่าตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะไปหาแก จนป่านนี้ยังไม่มีใครติดต่อได้ ถ้าไม่ได้อยู่กับแก แล้วน้องจะไปไหน]
คำตอบของพ่อทำให้ผมยืดตัวตั้งตรงทันที สัญชาตญาณร้องเตือนแปลกๆ
“ติดต่อไม่ได้…” ผมพึมพำกับตัวเอง พลางคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน จนแทบไม่ได้ฟังเสียงบ่นจากปลายสาย ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
[ก็เพราะแกมัวแต่เมานั่นแหละ ไอ้…]
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ติ๊ด!
ผมแทรกขึ้นก่อนที่พ่อจะพูดจบแล้วกดตัดสายทันที พ่อคงกำลังด่าผมยับผ่านโทรศัพท์ตัวเองอยู่ แต่ตอนนี้ต้องจัดการเรื่องยัยคุณหนูตัวแสบก่อน
ผมออกคำสั่ง
‘เที่ยวบินไปโอกแลนด์’
‘กำลัง…ค้นหา…เที่ยว…บิน…โอกแลนด์’
Siri จัดการแสดงผลที่ผมอยากรู้บนหน้าจอมือถือ
ไฟล์ตถัดไป…หกโมงครึ่ง ตอนนี้ห้าโมงครึ่ง ยังพอมีเวลา ตอนนี้ผมแทบจะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เปิดประตูรถ จัดแจงความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หลังพวงมาลัยหรือแม้กระทั่งใช้หัวแม่มือเลื่อนดูข้อมูลก่อนหน้า วันนี้ไม่มีไฟล์ตเช้า ภาวนาให้เธอจองไฟล์ตเมื่อคืนไม่ทันทีเถอะ ผมกดล็อกหน้าจอแล้วโยนไปเบาะข้างๆ มันคงตกอยู่ที่ไหนสักที่ในรถนี่แหละ ช่างมันก่อน
ฝันไปเหอะ…ว่าจะได้หนีไปมีชีวิตสงบสุข เธอไม่มีวันสงบสุขตั้งแต่…เราได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้งแล้ว ลลิลลดา
[Lalillada Talk]
@สนามบินเชียงใหม่
ฉันยกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดสมาร์ทวอทช์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอกกระสับกระส่ายคล้ายลมพายุกำลังจะมา ขยับปีกหมวกเบสบอลลงทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน ทำไมเวลามันเดินช้าจังนะ ความจริงฉันควรได้ออกไปจากประเทศตั้งแต่เมื่อคืนแล้วถ้าไม่ติดว่าไฟล์ตบินมันเต็ม คนนี่ก็ช่างบินกันเยอะถูกเวลาเสียจริง
จอ LED ขนาดใหญ่ปรากฏข้อมูลไฟล์ตบินถัดไป ‘โอกแลนด์’
ลมหายใจถูกผ่อนยาวผ่านปลายจมูกราวกับยกภูเขาออกจากอก ฉันลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าเป๋สะพายขึ้นหลังพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางแบรนด์ดังขนาดกลางเดินตรงไปยังช่องสแกนตรวจสัมภาระทันที
อีกไม่กี่อึดใจฉันก็จะได้ไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตอิสระ รอให้เรื่องเงียบฉันจะกลับมาขอขมาอาม่า พอถึงตอนนั้นคงไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นแล้ว
ฉันหันมองซ้าย มองขวา มองหลัง อีกรอบ เพื่อความมั่นใจว่าจะทุกอย่างจะราบรื่นไปจนขึ้นเครื่องแต่พอหันกลับมาฉันดันชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง
ปึกกกก!!
อ๊ะ…
“แต่ถ้าถามกูว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพ่อคุณหนูลลิล กูไม่รู้นะ เพราะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดินพูดพลางเหลือบมองฉัน“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ฉันว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงเราควรจบแค่เรื่องปัจจุบันก็พอ เพราะถึงจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ฉันพูดต่อ“อันนี้กูเห็นด้วย” เฮียหมอไวน์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเสริมขึ้นและทุกคนก็พยักหน้ารับ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วดินก็ก้มลงไปกดดูอะไรบางอย่างใน Macbook ของตัวเองอีกครั้ง“เออนี่ รูปมัน”ทุกคนพากันลุกมาเป็นไทยมุงโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องได้รับคำเชิญฉันเพ่งมองใบหน้าของคนในรูปที่ดินเปิดขึ้น มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไหนสักที่ ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็ระบุตัวตนได้ ถ้าบังเอิญเดินส่วนกัน ที่สำคัญมันใส่หน้ากากปิดหน้าซีกซ้ายตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาถึงขอบปากก่อนจะเหลือบไปเห็นน้องมิณที่มีอาการแปลกไป เธอก้าวถอยหลังออกห่างไปสักระยะ หลังจากนั้นเธอก็สาวเท้าออกไปจากคอนโดโดยไม่พูดไม่
วันต่อมา…10:00 น.ครืดดด...ครืดดดฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะการสั่นของสายเรียกเข้าจากใครสักคน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งรบกวนการนอนมาจ่อตรงหน้า หรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเฌอณารีน…?ปลายนิ้วเรียวเลื่อนรับสายและเอาแนบหู กรอกเสียงแหบแห้งไปยังปลายสาย“ว่าไงเฌอ”[พี่ลลิล เฮียดินฝากให้โทรตามพี่กับเฮียแม็กซ์มาที่คอนโดเฮียดินค่ะ]“อ๋อ โอเคๆ” แน่นอนว่าฉันตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อดิน[ด่วนเลยนะคะ]“อือ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ฉันวางสายและทิ้งมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะหันไปเขย่าตัวปลุกคนข้างๆ“เฮียๆ ตื่นเร็ว”“อื้อออ…” คนถูกรบกวนส่งเสียงครางเล็กน้อย นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันก้าวลงจากเตียง เพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้ว“ดินมีเรื่องด่วน” ฉันพูดขณะสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า“ห่ะ…อ้อ” พอได้ยินชื่อดินคนที่สะลึมสะลือก็ดีดตัวขึ้นนั่งราวกับสปริงและโดดลงจากเตียงด้วยความเร็วฉันจัดการธุระส่วนตัวด้วยความเร่
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยนะ แต่มือก็ยังลูบหัวคนบนตักอย่างอ่อนโยน ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะจะบอกให้…เขาเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวด้วยที่ฉันจะยอมทำให้ทุกอย่างบางทีเขาก็มีมุมที่ดูเป็นเด็ก คล้ายกับตอนที่เขาอ้อนแม่ของตัวเองยังไงยังงั้นเลยพอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆเขาคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นแม่เขาอีกคนหรอกใช่ไหมผ่านไปหลายนาที ร่างหนาไม่ไหวติงจนฉันเริ่มสงสัย“เฮีย หลับแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงแผ่ว“ยัง” ไม่หลับแต่ทำไมนิ่งขนาดนี้…“เฮียว่า…ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วใช่ไหม” ฉันเริ่มประเด็นที่ยังค้างคาในใจ บางทีการได้คุยกับเขาอาจทำให้ฉันสบายใจขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา“แน่นอน” เขาตอบ ขณะพลิกตัวกลับมานอนหงายและเอ่ยถาม“ทำไม กังวลเหรอ”“ไม่รู้สิ มัน…” ฉันหยุดไว้แค่นั้น พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกเลื่อนสายตาโฟกัสท้องฟ้าสีน้ำเงินเข็มด้านนอกตรงช่องว่างของม่านที่แง้มไว้ไม่กว้างนัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกเขา แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเร
ดวงตากลมโตยังเบิกกว้างท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ทั้งที่ล่วงเลยเวลาเข้านอนมาหลายชั่วโมง ลมหายใจยังคงถูกพ่นทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวต่างๆ บวกคำถามมากมายที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุดหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ครอบครัวใหม่ของแม่จะเป็นยังไงท่านจะอยู่ได้ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าแม่รักสามีใหม่ของตัวเองมากแค่ไหน ความสูญเสียกำลังจะเกิดขึ้นกับท่านอีกแล้ว แถมยังมีเด็กไร้เดียงสาคนนั้นอีก จากที่เธอจะได้มีครอบครัวสมบูรณ์ก็คงพังทลายตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เธอต้องเติบโตมาโดยไม่มีพ่อไหนจะธุรกิจหนักอึ้งที่ต้องแบบรับความเป็นจริงฉันควรวางใจ โล่งใจ ที่หัวหน้ามาเฟียใหญ่ตอบรับที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยสะสางเรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างฉันหรือเฮียแม็กซ์ไม่อาจจัดการได้ ต่อจากนี้เรืองขจรจะได้อยู่แบบสงบสุขจริงๆสักที แต่ไม่เลย...ฉันยังรู้สึกกังวลใบหน้าหวานสะบัดไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดที่ยังไม่เกิดขึ้นออกจากหัวก่อนจะใช้มือเล็กค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเชื่องช้าและระแวดระวังสุดชีวิตฉันหยุดนิ่งชั่วขณะ ในตอนที่รับรู้ได้ถึงแรงยุบของฟูกจาก
“คุณรู้จริงๆ ด้วย” ฉันเผลอพูดออกมาด้วยความตกใจ ไม่ต้องถามย้ำว่าพิมพ์เล็กหรือพิมใหญ่ ไม่ต้องถามว่า ไฟว์ ที่ว่านั่น ตัวเลขหรือตัวอักษร ถ้าเป็นคนปกติที่ไม่รู้คงตอบว่า พีอีดีห้า เพราะรหัสมันคือตัวเลข แต่ตอบเป๊ะขนาดนี้ ไม่ได้เกิดจากความคาดเดาแน่ๆ อีกอย่างท่านตอบได้ในทันทีโดยไม่การคิดไตร่ตรอง แสดงว่าท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว“ฉันจะบอกอะไรให้นะสาวน้อย รหัสนี้ไม่ใช่รหัสที่พ่อเธอตั้งขึ้นมาหรอก แต่คนบอกรหัสมันคือเจ้าของล็อกเกตนี้ต่างหาก” ท่านพูดขณะยกมือดันแผงอกเฮียแม็กซ์ให้ถอยออกห่างจากฉัน ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้ม“เอามาให้ฉัน”“ยะ…ยังมีอีกเรื่องค่ะ” ฉันว่า“อะไรอีก” น้ำเสียงท่านเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง“ฉันจะไม่สนใจว่าฉันต้องตายเพราะเหตุผลอะไร แต่ฉันอยากให้คุณช่วยพวกเราได้ไหมคะ”เสียงแค้นหัวเราะในลำคอดังขึ้นทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบประโยค“คิดว่าฉันเป็นนักบวชรึไง”“เอาการ์ดมาให้ฉัน เดี๋ยวนี้!!” ท่านออกคำสั่งซ้ำ“ป๊า” ดิ
“เธอเอามาจากไหน”หัวหน้ามาเฟียใหญ่เอ่ยถามเสียงแข็ง ขณะเอื้อมคว้าล็อกเกตในมือไปด้วยความไว จนฉันตั้งตัวไม่ติด อยากจะกำไว้แต่ไม่ทัน เพราะในฝ่ามือตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า และก็ไม่แปลกใจด้วยที่ไม่มีใครกล้าห้ามหรือขัดขว้าง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดในชั่วพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้มีอิทธิพลของจริง ไม่ใช่พวกมาต๊อกต๋อยแบบปลิงที่เกาะตัวแม่ฉันไม่ยอมปล่อยนั่นมันต่างกันลิบลับ รังสีทรงพลังแผ่กระจายทั่วร่าง ดวงตาทอประกายโหดเหี้ยมจนน่ากลัว ฝ่ามือค่อยบีบล็อกเกตแน่นขึ้น…แน่นขึ้น ราวกับท่านอยากให้มันแหลกสลายคามือทุกอย่างตรงหน้าส่งผลให้ฉันเผลอกลืนคำตอบที่เตรียมไว้กลับลงไปในลำคออีกครั้ง ฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการฟังแล้ว…แต่“ฉันถามว่า ไปเอามาจากไหน!!!” ท่านตวาดด้วยเสียงดังกังวานจนเกิดการสะท้อนกลับฉันสะดุ้งโหย่ง ทำอะไรไม่ถูก เสียงนั่นทำให้ฉันคิดว่าสามารถผลักวิญญาณใครสักคนหลุดจากร่างได้เลยแหละ ท่านน่ากลัวมากจริงๆ แต่น่าแปลกที่ทั้งโรงพยาบาลตอนนี้เหมือนมีแค่เรา ไม่มีใครได้ยินอะไรเลยรึไงนะไม่นานร่างกายฉันก็ถูกดึงหลบไปอยู่ด้านหลัง เฮียแม็กซ์เ







