Masukไม่นานซูเปอร์คาร์คันหรูก็เคลื่อนเข้าจอดหน้าประตูคฤหาสน์ประจำตระกูล ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู้รุ่น และต่อไปมันคงเป็นของฉันเพราะเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
ฉันตวัดสายตามองคนที่นั่งผิวปากอย่างสบายใจอยู่หลังพวงมาลัย สุดท้ายศึกครั้งนี้ก็จบลงโดยที่นายมธุษินทร์ ได้รับชัยชนะไปเต็มๆ น่าโมโห ชะมัด ถ้าคิดว่าจะพาส่งบ้านอยู่แล้วทำไมไม่พามาตั้งแต่แรก จะไปเสียเวลาซื้อใจด้วยข้าวผัดกุ้งจานเดียวทำบ้าอะไร
“ไม่ต้องมองแบบนั้นเลย เธอเป็นคนเลือกเอง” เขาพูดเหมือนผลักความผิดทั้งหมดมาให้ฉัน
“ถามจริง ฉันเลือกอะไรได้?” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ โลกไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทั้งที่ฉันเลือกจะไม่แต่งงานกับเขา สุดท้ายฉันก็ต้องแต่งอยู่ดี ผลลัพธ์มันถูกกำหนดไว้แล้ว จะมาบอกว่าฉันเป็นคนเลือกเอง แม่งโคตรไม่แฟร์
“ก็…ไม่” เขาขยับไหล่ขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เหอะ…บ้าชะมัด”
ฉันเปิดประตูลงจากรถท่าทางกระฟัดกระเฟียดแล้วปิดมันกลับคืนแบบไม่ออมแรง ก่อนที่กระจกฝั่งคนนั่งจะถูกลงลดจนสุด เผยให้เห็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ของผู้ชายที่ออกปากว่าอยากจะเอาชนะฉันมากที่สุดในชีวิต เอี้ยวตัวข้ามฝั่งมาจนเกือบจะถึงเบาะอีกฝั่ง
“พรุ่งนี้จะมารับไปปาร์ตี้ สละโสดนะ คุณว่าที่ภรรยา แสนสวย ไปละ บายยย”
“ไอ้…” เขารีบออกรถไปอย่างไวก่อนที่ฉันจะหลุดคำหยาบออกมา
อ๊ะ!!
ฉันสะดุ้งโหย่งเมื่อมีใครบางคนลอบมาตีต้นแขนฉันจากทางด้านหลัง ด้วยอารมณ์ที่ปะทุอยู่ตอนนี้ ฉันพร้อมปะทะสุด หันไปกะจะเอาเรื่องคนที่กล้ามาทำร้ายฉันแต่เหมือนไฟร้อนในตัวดับวูบทันทีที่หันมาเห็นว่าใครเป็นคนทำ
“อาม่า หนูเจ็บ ตีทำไมเนี่ย” ฉันพยายามที่สุดในการพูดกับอาม่าด้วยโทนเสียงปกติ
“หลานไม่รักดีแบบลื้อ อาม่าจะตีให้ตายเลย” แต่ท่านกลับฟาดฝ่ามือลงมาซ้ำที่เดิมรัวๆ
อะ…โอ้ยยยย!!
“อาม่าไม่รักหนูแล้ว” ฉันจับมือท่านไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“รักสิ รักที่สุด อาม่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้หลานเสมอ” ท่านว่า
“นั่นดีแล้วเหรอ” ฉันอดที่จะแย้งไม่ได้ ถ้าหมายถึงการแต่งงานกับนายมธุษินทร์นั่น อะไรคือดีที่สุดสำหรับอาม่า ท่านใช้ตรรกะไหนในการแยกแยะว่าอะไรดี ไม่ดี ถ้าอย่างเขาเรียกดีที่สุด ผู้ชายอีกหลายล้านคนบนโลกคงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไปหมดแล้ว
“ทำเพื่ออาม่าสักครั้งเถอะนะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อาม่าจะได้นอนตายตาหลับซะที”
ใจฉันกระตุกวูบทันที ไม่ใช่เพราะประโยคเบสิกที่ท่านใช้เป็นประจำหรอกนะ จริงอยู่ที่ท่านพูดแบบนี้อยู่บ่อยครั้งเวลาอยากได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่มันแตกต่าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่เห็นประกายระยับอยู่นัยน์ตา มีเพียงความขุ่นหมองเท่านั้น
“เฮ้อออ อาม่า พูดแบบนี้อีกแล้วนะ” ฉันถอนหายใจก่อนจะประคองท่านเดินเข้าบ้าน
ทุกครั้งก็จะจบลงด้วยฉันต้องทำในสิ่งที่ต้องการ ครั้งนี้ก็ด้วย อาม่าทำสำเร็จอีกแล้วสินะ…
ฉันยังคงประคองท่านอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะหยุดตรงห้องโถงกลางบ้านเพราะมีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญนั่งรอการกลับมาของฉันเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะห่วงหรอกนะ…
ถ้วยน้ำชาถูกวางลงบนโต๊ะแบบที่ไม่ค่อยปกติแสดงถึงอารมณ์คนทำได้อย่างชัดเจน เธอหยัดยืนได้อย่างสวยสง่าสมกับที่ประธานบริษัทในเครือของเรืองขจร ท่านเดินมาหาฉันพร้อมสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก่อนจะหยุดเสมอข้าง
“ฉันจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อย่าคิดจะหนีงานแต่งอีก” คำพูดที่เปล่งออกมาเย็นชาไม่ต่างจากสายตาเลยสักนิด ฉันหันมองตามแผ่นหลังที่ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นรถไปหายไปจากสายตาฉันในที่สุด ลึกๆฉันยังหวังว่าท่านจะหันกลับมามองฉันสักนิด แต่ไม่เลย บางทีก็ใจร้ายเกินไปนะ ระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมามันสร้างเกาะป้องกันมากพอที่จะชินชาซะแล้ว
อาม่าบีบมือฉัน มองด้วยสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง ฉันยิ้ม ยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย เป็นเชิงบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร คำพูดแค่นี้ไม่มีผลต่อความรู้สึกฉันหรอก ถ้าฉันเข้าร่วมพิธีแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเหตุผลไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ที่ฉันเรียกว่าแม่อย่างแน่นอน ทุกอย่างฉันทำเพื่ออาม่าคนเดียวเท่านั้น
ฉันพาอาม่าไปส่งเข้านอน ก่อนจะพาร่างเหนื่อยล้าของตัวเองกลับมาทิ้งบนเตียงในห้องนอน
ความจริงก็รู้นะว่าป๊ากับแม่ไม่ได้รักกัน แต่มันเป็นเหตุผลที่ท่านไม่รักฉันด้วยเหรอ…ตลกชะมัด
แล้วที่แม่อยากให้ฉันแต่งงานกับนายมธุษินทร์เพราะอยากได้หุ้นใหญ่ของ AJD Group เลยใช้ฉันเป็นเครื่องมือ แต่อาม่านี่สิ…คิดยังไงก็คิดไม่ออก ว่าท่านมีเหตุผลอะไรถึงอยากให้ฉันแต่งงานกับหมอนั่นนักหนา
ฉันตัดสินใจจะทำตามที่ทุกคนต้องการ แต่ไม่ได้แปลว่าจะยอมแพ้นะ ดูเหมือนทุกคนอยากเล่นเกมธุรกิจโดยใช้ฉันเป็นหมากสำคัญ มาดูกันว่าหมากตัวนี้จะยอมเดินตามเกมหรือเดินด้วยตัวเอง โดยเฉพาะ…ผู้ชายคนนั้น มธุษินทร์ อัครจินดา อยากแต่งงานกับฉันมากใช่ไหม จะได้รู้กัน ว่าฉันสามารถสร้างความพินาศย่อยยับได้มากแค่ไหน…
Let's get started….
[ Matusin Talk ]
เย็นวันต่อมา…
ผมเงยหน้าดูเวลาบนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนติดผนังห้องทำงาน ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวออกปากและก้มหน้าก้มตาเร่งโปรเจกต์ชิ้นสุดท้ายในมือให้เสร็จก่อนสามทุ่ม ซึ่งผมมีเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง คิ้วหนาขมวดขึ้นเล็กน้อยจากการใช้ความคิด ถึงผมจะสำมะเลเทเมาไปบ้าง เหมือนจะไม่เอาไหน ใช้ชีวิตไร้สาระไปเรื่อย แต่เรื่องงานผมจริงจังมากนะ ผมอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ดังนั้นโปรเจกต์ใหม่ๆส่วนมากผมจะเป็นคนคิดและตัดสินใจเองทั้งหมด ถึงบริษัทที่ดีแค่ไหน การพัฒนาให้ทันโลกอยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ ผมไม่ปล่อยให้บริษัทตัวเองจมปลักอยู่กับอะไรเดิมๆแน่
“แต่ถ้าถามกูว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพ่อคุณหนูลลิล กูไม่รู้นะ เพราะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดินพูดพลางเหลือบมองฉัน“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ฉันว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงเราควรจบแค่เรื่องปัจจุบันก็พอ เพราะถึงจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ฉันพูดต่อ“อันนี้กูเห็นด้วย” เฮียหมอไวน์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเสริมขึ้นและทุกคนก็พยักหน้ารับ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วดินก็ก้มลงไปกดดูอะไรบางอย่างใน Macbook ของตัวเองอีกครั้ง“เออนี่ รูปมัน”ทุกคนพากันลุกมาเป็นไทยมุงโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องได้รับคำเชิญฉันเพ่งมองใบหน้าของคนในรูปที่ดินเปิดขึ้น มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไหนสักที่ ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็ระบุตัวตนได้ ถ้าบังเอิญเดินส่วนกัน ที่สำคัญมันใส่หน้ากากปิดหน้าซีกซ้ายตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาถึงขอบปากก่อนจะเหลือบไปเห็นน้องมิณที่มีอาการแปลกไป เธอก้าวถอยหลังออกห่างไปสักระยะ หลังจากนั้นเธอก็สาวเท้าออกไปจากคอนโดโดยไม่พูดไม่
วันต่อมา…10:00 น.ครืดดด...ครืดดดฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะการสั่นของสายเรียกเข้าจากใครสักคน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งรบกวนการนอนมาจ่อตรงหน้า หรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเฌอณารีน…?ปลายนิ้วเรียวเลื่อนรับสายและเอาแนบหู กรอกเสียงแหบแห้งไปยังปลายสาย“ว่าไงเฌอ”[พี่ลลิล เฮียดินฝากให้โทรตามพี่กับเฮียแม็กซ์มาที่คอนโดเฮียดินค่ะ]“อ๋อ โอเคๆ” แน่นอนว่าฉันตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อดิน[ด่วนเลยนะคะ]“อือ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ฉันวางสายและทิ้งมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะหันไปเขย่าตัวปลุกคนข้างๆ“เฮียๆ ตื่นเร็ว”“อื้อออ…” คนถูกรบกวนส่งเสียงครางเล็กน้อย นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันก้าวลงจากเตียง เพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้ว“ดินมีเรื่องด่วน” ฉันพูดขณะสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า“ห่ะ…อ้อ” พอได้ยินชื่อดินคนที่สะลึมสะลือก็ดีดตัวขึ้นนั่งราวกับสปริงและโดดลงจากเตียงด้วยความเร็วฉันจัดการธุระส่วนตัวด้วยความเร่
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยนะ แต่มือก็ยังลูบหัวคนบนตักอย่างอ่อนโยน ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะจะบอกให้…เขาเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวด้วยที่ฉันจะยอมทำให้ทุกอย่างบางทีเขาก็มีมุมที่ดูเป็นเด็ก คล้ายกับตอนที่เขาอ้อนแม่ของตัวเองยังไงยังงั้นเลยพอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆเขาคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นแม่เขาอีกคนหรอกใช่ไหมผ่านไปหลายนาที ร่างหนาไม่ไหวติงจนฉันเริ่มสงสัย“เฮีย หลับแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงแผ่ว“ยัง” ไม่หลับแต่ทำไมนิ่งขนาดนี้…“เฮียว่า…ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วใช่ไหม” ฉันเริ่มประเด็นที่ยังค้างคาในใจ บางทีการได้คุยกับเขาอาจทำให้ฉันสบายใจขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา“แน่นอน” เขาตอบ ขณะพลิกตัวกลับมานอนหงายและเอ่ยถาม“ทำไม กังวลเหรอ”“ไม่รู้สิ มัน…” ฉันหยุดไว้แค่นั้น พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกเลื่อนสายตาโฟกัสท้องฟ้าสีน้ำเงินเข็มด้านนอกตรงช่องว่างของม่านที่แง้มไว้ไม่กว้างนัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกเขา แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเร
ดวงตากลมโตยังเบิกกว้างท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ทั้งที่ล่วงเลยเวลาเข้านอนมาหลายชั่วโมง ลมหายใจยังคงถูกพ่นทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวต่างๆ บวกคำถามมากมายที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุดหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ครอบครัวใหม่ของแม่จะเป็นยังไงท่านจะอยู่ได้ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าแม่รักสามีใหม่ของตัวเองมากแค่ไหน ความสูญเสียกำลังจะเกิดขึ้นกับท่านอีกแล้ว แถมยังมีเด็กไร้เดียงสาคนนั้นอีก จากที่เธอจะได้มีครอบครัวสมบูรณ์ก็คงพังทลายตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เธอต้องเติบโตมาโดยไม่มีพ่อไหนจะธุรกิจหนักอึ้งที่ต้องแบบรับความเป็นจริงฉันควรวางใจ โล่งใจ ที่หัวหน้ามาเฟียใหญ่ตอบรับที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยสะสางเรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างฉันหรือเฮียแม็กซ์ไม่อาจจัดการได้ ต่อจากนี้เรืองขจรจะได้อยู่แบบสงบสุขจริงๆสักที แต่ไม่เลย...ฉันยังรู้สึกกังวลใบหน้าหวานสะบัดไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดที่ยังไม่เกิดขึ้นออกจากหัวก่อนจะใช้มือเล็กค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเชื่องช้าและระแวดระวังสุดชีวิตฉันหยุดนิ่งชั่วขณะ ในตอนที่รับรู้ได้ถึงแรงยุบของฟูกจาก
“คุณรู้จริงๆ ด้วย” ฉันเผลอพูดออกมาด้วยความตกใจ ไม่ต้องถามย้ำว่าพิมพ์เล็กหรือพิมใหญ่ ไม่ต้องถามว่า ไฟว์ ที่ว่านั่น ตัวเลขหรือตัวอักษร ถ้าเป็นคนปกติที่ไม่รู้คงตอบว่า พีอีดีห้า เพราะรหัสมันคือตัวเลข แต่ตอบเป๊ะขนาดนี้ ไม่ได้เกิดจากความคาดเดาแน่ๆ อีกอย่างท่านตอบได้ในทันทีโดยไม่การคิดไตร่ตรอง แสดงว่าท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว“ฉันจะบอกอะไรให้นะสาวน้อย รหัสนี้ไม่ใช่รหัสที่พ่อเธอตั้งขึ้นมาหรอก แต่คนบอกรหัสมันคือเจ้าของล็อกเกตนี้ต่างหาก” ท่านพูดขณะยกมือดันแผงอกเฮียแม็กซ์ให้ถอยออกห่างจากฉัน ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้ม“เอามาให้ฉัน”“ยะ…ยังมีอีกเรื่องค่ะ” ฉันว่า“อะไรอีก” น้ำเสียงท่านเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง“ฉันจะไม่สนใจว่าฉันต้องตายเพราะเหตุผลอะไร แต่ฉันอยากให้คุณช่วยพวกเราได้ไหมคะ”เสียงแค้นหัวเราะในลำคอดังขึ้นทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบประโยค“คิดว่าฉันเป็นนักบวชรึไง”“เอาการ์ดมาให้ฉัน เดี๋ยวนี้!!” ท่านออกคำสั่งซ้ำ“ป๊า” ดิ
“เธอเอามาจากไหน”หัวหน้ามาเฟียใหญ่เอ่ยถามเสียงแข็ง ขณะเอื้อมคว้าล็อกเกตในมือไปด้วยความไว จนฉันตั้งตัวไม่ติด อยากจะกำไว้แต่ไม่ทัน เพราะในฝ่ามือตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า และก็ไม่แปลกใจด้วยที่ไม่มีใครกล้าห้ามหรือขัดขว้าง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดในชั่วพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้มีอิทธิพลของจริง ไม่ใช่พวกมาต๊อกต๋อยแบบปลิงที่เกาะตัวแม่ฉันไม่ยอมปล่อยนั่นมันต่างกันลิบลับ รังสีทรงพลังแผ่กระจายทั่วร่าง ดวงตาทอประกายโหดเหี้ยมจนน่ากลัว ฝ่ามือค่อยบีบล็อกเกตแน่นขึ้น…แน่นขึ้น ราวกับท่านอยากให้มันแหลกสลายคามือทุกอย่างตรงหน้าส่งผลให้ฉันเผลอกลืนคำตอบที่เตรียมไว้กลับลงไปในลำคออีกครั้ง ฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการฟังแล้ว…แต่“ฉันถามว่า ไปเอามาจากไหน!!!” ท่านตวาดด้วยเสียงดังกังวานจนเกิดการสะท้อนกลับฉันสะดุ้งโหย่ง ทำอะไรไม่ถูก เสียงนั่นทำให้ฉันคิดว่าสามารถผลักวิญญาณใครสักคนหลุดจากร่างได้เลยแหละ ท่านน่ากลัวมากจริงๆ แต่น่าแปลกที่ทั้งโรงพยาบาลตอนนี้เหมือนมีแค่เรา ไม่มีใครได้ยินอะไรเลยรึไงนะไม่นานร่างกายฉันก็ถูกดึงหลบไปอยู่ด้านหลัง เฮียแม็กซ์เ







