ในที่สุดเขาก็ลากฉันเข้ามาในร้านอาหารจนได้ เขากดไหล่ฉันทั้งสองข้างให้นั่งลงก่อนที่ตัวเองจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“เอา…ข้าวต้มปลาหนึ่งครับ” เขาสั่งก่อนจะรับเมนูมาเปิดดูแล้วเงยหน้าขึ้นถามฉัน
“เธออยากกินอะไร”
“...” ฉันเงียบพลางยกมือขึ้นกอดอกหันหน้าหนี ก็บอกว่าไม่หิว ยังจะลากมาอยู่ได้
“งั้นเอาข้าวผัดกุ้ง ไม่ผัก อ้อ..ไม่ใส่กระเทียมด้วยนะ น้ำเปล่าหนึ่ง น้ำส้มหนึ่ง แค่นี้ครับ” เขาฉีกยิ้มหวานให้พนักงานพร้อมพับเมนูส่งให้ แล้วดูสายตา…เขานี่มันเหลือเกินจริงๆ ฉันแอบตกใจนิดหน่อยที่เขากินแบบเดียวกับฉัน เขาคงไม่ได้สั่งมาให้ฉันหรอกมั้ง…เขาจะรู้ได้ไง
แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มมือถือไม่สนใจอะไร ระหว่างนั้นก็ยังคงมีแต่ความเงียบวนอยู่รอบตัวเราสองคน
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะโดยผู้หญิงคนเดิม
เหอะ…ไม่เห็นฉันอยู่ที่นี้ด้วยเลยมั้ง สายตาจับจ้องไปที่เขาแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งยกอาหารวางบนโต๊ะจนครบทุกรายการ ขนาดเดินไปแล้วยังเหลียวกลับมามอง อะไรจะขนาดนั้น
“อะ…กินซะ รู้ว่าหิว” เขายกจานข้าวผัดกุ้งมาวางตรงหน้า คิ้วบางขมวดเป็นปม มองหน้าเขาอย่างจับผิด เขารู้ได้ยังไงกันนะ…ว่าฉันกินอะไร ไม่กินอะไร แต่เขาตอบด้วยการยักคิ้วให้ฉันแบบกวนๆ หนึ่งที เหอะ...แต่จะว่าไป ก็หอมเหมือนกันนะ ข้าวผัดกุ้งเนี่ย ฉันหลุบมองเมนูโปรดในจานพลางลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก แต่…ฉันจะไม่ยอมเสียฟอร์มเด็ดขาด
“ไม่ ฉันไม่กิน”
“ทิ้งบ้างเหอะ ทิฐิอะ มันไม่ได้ทำให้เธออิ่มหรอกนะ” มือเรียวยาวเอื้อมมาหยิกแก้มฉันอย่างถือวิสาสะ
“อ๊ะ….อื้ออออ” ฉันปัดมือเข้าออก ลูบแก้มตัวเองปอยๆ ช้ำหมดแล้วมั้ง อย่างเจ็บ หมอนี่กล้าดียังไงมาแตะตัวฉัน อยู่ใกล้เขาเปลืองตัวชะะมัด...
“ลองยิ้มให้คนอื่นซะบ้าง มันไม่ตายหรอก” เขาบอกพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ทำท่าทางเหมือนล่อให้เด็กน้อยทำตาม แต่โทษที...ฉันไม่ใช่เด็กอมมือ ใครจะไปยิ้มตามที่่เขาบอก จากนั้นเขาก็ก้มลงกินอาหารของตัวเองด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนฉันยังคงมองกุ้งตัวโตๆในจาน ถ้าไม่กินก็คงต้องทิ้ง เสียดายแย่เลยเนอะ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจ ฉันเลยเลื่อนจานข้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอย่างเบามือ แล้วลองตักข้าวเข้าปากชิมดู…อืม ก็อร่อยอยู่นะ
ฉันตวัดตามองตนตรงหน้าเพราะรู้สึกถึงการโดนจับจ้อง ก่อนที่เขาจะรีบหลุบมองข้าวต้มของตัวเอง โคตรจะไม่เนียน...แต่ก็ช่างเหอะ ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณสำหรับข้าวผัดกุ้งอร่อยๆจานนี้ละกัน ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ความจริงแค่ของอร่อยก็เยียวยาได้ทุกอย่างแล้วนะ คนเราจะต้องการอะไรเยอะแยะไปทำไมกัน
....
“ลลิล”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกจากผู้มาเยือน ปรากฏร่างหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับฉันที่คลับคล้ายคลับคลา ว่าจะรู้จัก…ขอนึกก่อน
“....”
“ลลินจริงๆด้วย กลับมาเมื่อไหร่เนี่ย ไม่เจอกันนานเลย คิดถึงว่ะ” เธอพูดต่อด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เพิ่งมาถึงวันก่อนอะ” ฉันตอบกลับเมื่อนึกออก…ว่าเธอคือเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนม.ปลาย ที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ก็พอได้คุยกันบ้าง แต่อย่าถามชื่อนะ ในห้องฉันจำได้แค่จ๊ะจ๋าคนเดียว ฉันไม่ได้สนิทหรืออยากเป็นเพื่อนกับใครไปทั่ว
“อ๋อ…ได้ข่าวว่าจะแต่งงาน นี่เจ้าบ่าวใช่มะ” เธอถามและจบด้วยการหันไปหาผู้ชายที่ลากฉันมาที่นี่
“ครับ” เขายิ้มแล้วตอบรับทันที
“หู้ยยย เจ้าบ่าวหล่อนะคะเนี่ย” แล้วเธอก็หันไปคุยกับหมอนั่นแบบจริงจัง เหมือนลืมไปเลยว่าเจอฉันก่อนหน้านี้ ฉันเลื่อนจานข้าวออกห่างตัว ก่อนจะหยิบน้ำส้มขึ้นดื่ม ดีนะ…อิ่มพอดี ไม่งั้นคงกินไม่ลงแหงๆ ฉันแอบเบ้ปากใส่พวกเขาด้วยนะ ไม่รู้ดิ…ปั้นหน้ายิ้มไม่เป็น ถ้าไม่ถูกใจ ให้ตายฉันก็ไม่ยิ้มให้หรอก
“ขอบคุณครับ เป็นเพื่อนลลิลเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ เพื่อนตอนม.ปลาย” สรุปเธอเข้ามาทักฉันหรือเขากันแน่ คุยซะสนิทเชียว
“บังเอิญจังเลยนะครับ ทานข้าวด้วยกันไหม” นี่ก็อัธยาศัยดีไปไหนก่อน ฉันไม่ชอบนั่งร่วมโต๊ะกับคนไม่สนิทนะ ไม่คิดจะถามความเห็นกันเลยรึไง!!
“เสียดายจัง เพิ่งทานอิ่มพอดีเลย” คำตอบของเพื่อนไม่สนิททำให้มุมปากฉันยกขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตึงเพราะประโยคของผู้ชายที่นั่งตรงข้าม
“นั่งคุยกันเฉยๆก็ได้นะครับ” เขาบอกเธอแต่ดันทำหน้ายียวนส่งมาให้ฉัน
“ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้” ฉันแทรกขึ้นกลางคันจนเธอหน้าเจือน เขาขมวดคิ้วส่งสายตาดุก่อนจะหาข้อแก้ต่างแทน
“อ๋อ ลลิลหมายถึงไม่ได้เจอกันนาน นั่งคุยกันก่อนก็คงจะดีกว่านะครับ”
“คุณนี่น่ารักจังเลยนะคะ” เธอเอ่ยชม ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังหน้าและโน้มตัวเล็กน้อยพูดบอกเขาเสียงแผ่วเบา “ฉันพอรู้ค่ะ ว่าเธอเป็นยังไง”
แต่เผอิญฉันหูดีและได้ยินชัดเจนทุกคำ ยัยนี่วอนซะแล้ว...
“นี่!!…” ฉันเผลอตะคอกใส่เธอเสียงลั่น เขาเอื้อมมาจับมือฉันและบีบเบาๆเป็นเชิงปราม ก่อนฉันจะสังเกตรอบข้าง ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจไปแล้ว ฉันหยุดไม่พูดต่อและสะบัดมือออกพลางยกขึ้นกอดอกตัวเอง หันมองไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อไหร่จะไปสักที…ร้านตั้งเยอะแยะทำไมต้องมาเจอคนรู้จักที่ไม่ได้อยากรู้จักด้วยนะ
“เอ่อ เราจัดปาร์ตี้ สละโสดกันดีมะ เพื่อนๆคงอยากเจอแกเหมือนกัน” เธอเสนอความคิดที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวฉันเลยสักนิด
“ไม่” ฉันปฏิเสธแต่มีคนตอบรับ เขาพูดขึ้นแทบจะพร้อมกันกับฉัน
“ดีเลยนะครับ”
“ใช่ไหมคะ งั้นเป็นพรุ่งนี้เลยนะ เดี๋ยวฉันนัดเพื่อนให้ เป็นที่ไหนดี…” และเธอก็หันไปหาคนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรกว่าทันที
“Sosay Pub ดีไหมครับ” เขารีบเสนอ เพราะนั่นมันคงเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีสินะ วันแรกที่ฉันเจอเขาหลังจากกลับมาไทยก็เป็นที่นี่
“ดีเลยค่ะ ฉันไปที่นั่นบ่อย โอเค ตามนี้นะแก” ประโยคสุดท้ายเธอหันมาบอกฉัน
“หะ..” พูดจบก็หันไปหาผู้ชายทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบจากฉันสักคำ ปล่อยให้ฉันหน้าเหวออยู่กลางอากาศซะงั้น
“ไปด้วยกันได้นะคะ ถ้าสะดวก” ดี…ไปกันเลยจ้า ฉันไม่ไปแน่ๆ
“อ่อ ได้ครับ ยินดีเลย” เขาก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะแยกจากกัน สุภาพกับทุกคนยกเว้นฉันสินะ…
….
พอจ่ายเงินเรียบร้อยเราก็พากันเดินกลับมาที่รถ ฉันมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก เขาอยากจะเอาชนะถึงขนาดเอาทั้งชีวิตของตัวเองลงมาเล่นแบบนี้จริงเหรอวะ มันไม่คุ้มสักนิด ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบฉันก็ว่ามันไม่คุ้ม...ทำไมเขายังยืนกรานจะแต่งงานกับฉันให้ได้นะ
“ฉันขอถามเธออีกครั้ง” เขาเริ่มประโยคคำถามหลังจากที่เราขึ้นรถและหันมาหาฉันหน้าตาจริงจัง
“อะไร”
“เธออยากแต่งงานกับฉันไหม”
“ไม่ ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะคำตอบมันผุดขึ้นมาในหัวฉันตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ให้คิดอีกที”
“ไม่”
“โอเค เธอเลือกเองนะ”
ด้านหน้าเวทีมีแขกเหรื่อเต็มไปหมด ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่วนมากฉันไม่รู้จัก บรรดาเพื่อนๆของพวกเรา พอฉันและเขาเดินมาหยุดอยู่กลางเวทีที่ไม่สูงจากพื้นเท่าไหร่ พอที่จะก้าวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้บันไดได้ ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังระงม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ออกไปทางรำคาญด้วยซ้ำส่วนด้านซ้ายถัดไปจากพิธีกรก็เป็นอาม่า แม่ของฉันและพ่อแม่ของเขาทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฉันไม่ได้สนใจแม้แต่เสียงประกาศออกไมค์ของพิธีกร จนกระทั่งเธอเอาไมค์มายื่นให้ฉัน“คะ...?”“พูดอะไรหน่อยค่ะ” เขากระซิบบอกฉันเบาๆ ฉันรับไมค์มาถือไว้ในมือสักพัก ก่อนจะนึกออกว่าจะพูดอะไร...“เฮ้อออ…” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ผ่านไมโครโฟนในมืออย่างตั้งใจ บรรยากาศตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัดลงในพริบตา รู้จักสงครามเย็นกันไหม...มันคล้ายกับสถานการณ์ที่ฉันกำลังก่อขึ้นในเวลานี้“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มา ทั้งที่บางคนก็ไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ” ทุกคนในงานเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พากันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนผู้ชายที่ยื
“ก็เจ้าสาวหาย มาตามหาเจ้าสาว” เขาว่าพลางเลื่อนแขนขึ้นกอดอก ใบหน้าคมเอี้ยวมองฉัน ตัวละครฝ่ายชาย ซึ่งเป็นตัวหลังของงานถูกจับใส่สูทผูกไทสุดเนี้ยบ จนดูแปลกตา ก็ไม่ได้บอกว่าไม่หล่อนะ…แต่นี่มันไม่ใช่เขาเลยสักนิด“เหอะ!” ฉันทำได้แค่เบ้ปาก เบือนหน้าหนี รู้สึกกระอักกระอ่วนไปกับทุกอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสรรพนามที่เขาใช้ การแต่งตัวของเราสองคน เสียงเพลงหวานซึ้งที่เปิดคลออยู่ตลอดเวลาหรือแม้แต่ผู้คนมากมายด้านนอกฉันกลายเป็นภรรยาในนามของเขาโดยสมบูรณ์ตั้งแต่พิธีจดทะเบียนสมรสเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเป็น ‘นางสาวลลิลลดา เรืองขจร’ อยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลหรือใช้ ‘นาง’ แต่อย่างใด นั้นมันเป็นยุคสมัยก่อน ตอนนี้เรามีอิสระในการเลือกมากขึ้นแล้วและฉันก็ไม่ได้รู้สึกยินดีขนาดนั้น“ฉันยังจำได้นะ กติกาของเกม ที่เธอบอกว่า…จะบอกฉันวันนี้” เขาเริ่มทำลายความเงียบด้วยประเด็นใหม่“อ้อ…” ฉันเกือบลืมไปแล้วนะ ถ้าเขาไม่พูดถึง จะว่าไป กติกาที่ฉันตั้งไว้ก่อนหน้านี้ มันจะมีผลเสียต่อตัวเอ
“แต่กูไม่เข้าใจ” สีหน้ามันบ่งบอกตามที่มันพูดเลย“จูบจากผู้ชายพวกนั้น ไม่ได้ทำให้ใจกู…สั่น” ฉันบอกมันไปตามความจริง ถ้าจะบอกว่าฉันลองจูบกับผู้ชายหลายคนเพื่อหาเขาคนนั้น มันจะดูแปลกเกินไปไหม แต่ฉันเคยทำแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้จูบฉันไปและเป็นคนแรกที่ทำให้ใจฉัน...สั่น ตอนแรกฉันคิวว่าเขาคงเป็นคนเดียว…“มึงจะบอกว่า ไอ้หน้ากากเหยี่ยวดำ ที่มึงก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร คนนั้น ทำให้มึงใจสั่นงั้นเหรอ”“....” ฉันพยักหน้ารับ นี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่ได้บอกมัน เรื่องของความรู้สึกในวันนั้น“นี่คือสาเหตุที่มึงตามหาเขาสินะ” คิ้วของคนที่สนทนากับฉันยังคงผูกเป็นโบว์ไม่คลายออกเลยแม้แต่น้อยในตอนนั้นฉันเคยชวนมันไปตามหาเขาที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมฝั่งตรงข้ามทุกเย็นหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยความที่อยากรู้ว่าถ้ามันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง มันจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม สุดท้ายฉันได้คำตอบว่ามันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีกเลย แต่นั่นมันกับคนอื่นนะ เพราะฉันไม่รู้ว่าหน้ากากเหยี่ยวดำคนนั้นเป็นใคร
สองวันต่อมา…เช้ามืดของวันที่แสนจะหม่นหมอง…เฮ้อลมหายใจยาวถูกพ่นผ่านปลายจมูกครั้งแล้วครั้งเล่าฉันถูกปลุกขึ้นมาจากที่นอนตั้งแต่ยังไม่ตีสาม เพื่อมานั่งโงนเงนหมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางห้อง สปอร์ตไลน์ถูกเปิดส่งมาที่ใบหน้าฉันจากทุกด้านจนแสบตาไปหมด ฉันเหลือบตาขึ้นบนด้วยความหงุดหงิดเพราะมันมีอะไรยุกยิกยุก ยิกอยู่บนหัวฉันราวสองชั่วโมงเต็ม ไม่เคยปล่อยให้ใครยุ่งกับผมของฉันนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะ อาม่าจ้างช่างทำผมที่ไหนมาเนี่ย ฝีมือไม่ได้เรื่องแถมยังทำนานอีกส่วนคนด้านหน้าก็ไม่แพ้กัน จะโบกอะไรหนักหนา หน้าฉันไม่ได้ต้องปกปิดเยอะขนาดนี้ซะหน่อย น่าเบื่อชะมัด เมื่อไหร่จะเสร็จซะทีวันที่แสนจะวุ่นวายของใครหลายๆ คนในบ้านเรืองขจร วันที่อาม่าแต่ตัวสวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา วันที่ดูเหมือนจะสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน…แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน“คุณหนูคะ เลิกถอนหายใจสักสามสิบนาทีได้ไหมคะ” ช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวสองกดเสียงต่ำบอกฉันด้วยอารมณ์ที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิด“แต่งไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง!” ฉันพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้บ่งบอกถึงความเอาแต่ใจของตัวเอง ตวัดตามองช่างแต่งหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ใครง้อกัน…ฉันไ
จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือสอดประสานเข้ากับดวงตาคู่คมของเจ้าของมือถือพอดิบพอดี ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวแล้วว่ายังมีอีกหนึ่งคนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเธอจ้องหน้าผมเขม็งอย่างเอาเรื่องอยู่กลางสระ นี่ขนาดไม่ได้อยู่ใกล้นะ รัศมีความโหดยังแผ่มาถึงผมจนเย็นวาบไปทั้งตัวผมส่งยิ้มแห้งพร้อมกับชูมือถือในมือราวกับหาข้อแก้ต่างในตอนที่โดนจับได้ว่ามาแอบดูผู้หญิงอาบน้ำยังไงยังงั้น ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปนั่งหย่องย่ออยู่ขอบสระ“มีคนโทรมาแหละ” ผมปรายตามองมือถือในมือตัวเองที่ถือชูไว้ขนาบศีรษะคนที่อยู่กลางสระรีบว่ายน้ำเข้ามาทางผมทันที จะว่าไปนี่ก็เป็นตัวประกันที่ดีเหมือนกันนะ“เอามา” เธอทำท่าจะแย่งมือถือตัวเองไปจากผม ที่ตอนนี้ย้ายตำแหน่งไปอยู่สูงสุดของความยาวแขนเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าถึงผมจะนั่งอยู่คนในสระก็ไม่มีทางหยิบถึง“อยากได้? เอาอะไรมาแลกดิ”“อะไร” เธอถามเสียงแข็ง บางทีผมก็คิดอยากเห็นมุมอ่อนหวานของคนตัวเล็กตรงหน้า แต่ก็ไม่รู้จะมีโอกาสไหม ไม่สิ…ไม่รู้เธอมีมุมนั้นอยู่ในตัวไหมมากกว่า“อยาก
หลังจากที่ผมเคลียร์ค่าเสียหายทั้งหมดที่ยัยคุณหนูลลิลก่อไว้กับไอ้ดินเสร็จเรียบร้อยก็รีบบึ่งรถไปยังคฤหาสน์ของเรืองขจรทันที ระหว่างทางก็คิดถึงแต่อนาคตข้างหน้า ถ้าว่าที่ภรรยาของผมเล่นผลาญเงินแบบนี้จะเข้ากับแม่สามีอย่าง คุณหญิงมาริสา ได้ไหมนะ ผมนี่ปวดหัวรอเลย แค่ที่ผมกับพ่อใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยังบ่นเช้า บ่นเย็น ถ้าเพิ่มลูกสะใภ้มาช่วยใช้อีกคนนะ คุณหญิงมาริสาอกแตกแหงๆถึงบ้านผมจะรวยขนาดไหน แม่ ก็ยังเป็นคนคอยควบคุมเรื่องการใช้จ่ายแทบจะทุกอย่างของทั้งที่บ้านและ AJD Group ท่านเป็นเหมือนนักตรวจสอบบัญชีอาวุโสเลยก็ว่าได้ แถมยังมีนิสัยมัธยัสถ์ขั้นสุดอีกด้วย การใช้จ่ายของท่านมักจะต้องเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเสมอ แต่ผมกลับไม่ได้แม่มาเลยสักนิดได้มาแต่สิ่งดีๆ ของพ่อที่แฮฟเงินแม่เป็นประจำ ซึ่งผมยกให้พ่อเป็นไอดอลเลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะไม่งั้นผมคงไม่มีเงินมาใช้ไร้สาระ กินเหล้าหรือเที่ยวผู้หญิงตั้งแต่สมัยเรียนแบบนี้หรอก พอโดนจับได้ก็ทนหูชาไปสักสองสามวัน หลังจากนั้นก็ทำใหม่ วนลูปไปเรื่อยๆ เพราะผมมึนใส่อยู่แล้วแต่ที่หนักใจคือ แม่ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้สักนิด