“โคตรง่วงเลยว่ะอลิซ”
มัสยาปิดปากหาวเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ต่าง
จากอลิษาที่อาจจะหนักกว่านิดหน่อยตรงที่เธอต้องตื่นมาช่วยแม่ขนของลงไปตั้งร้านตั้งแต่เช้าทั้งที่เพิ่งนอนได้เพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
“เหมือนกัน ถ้าอาจารย์ไม่เข้าซะที ฉันว่าฉันต้องหลับแน่ ๆ”
“เราโดดเรียนกันไหม เดี๋ยวฉันให้เพื่อนเก็บใบงานไว้ให้เรา”
“จะบ้าเหรอ ตั้งใจหน่อยสิ คนจนอย่างเราจำเป็นต้องจบเกรดดี ๆ นะ จะได้หางานง่ายหน่อย”
“แม่คุณของเพื่อน แกหย่อนบ้างสักเรื่องก็ได้มั้ง”
“อีกนิดเดียวเราก็จะเรียนจบแล้ว อดทนอีกหน่อยสิเมี่ยง"
“อืม โอเค”
แต่ยังไม่ทันที่อาจารย์จะเข้ามาสอน โทรศัพท์มือถือของ
อลิษาก็มีหมายเลขที่ไม่รู้จักโทรเข้ามาเสียก่อน เมื่อเธอรับสายก็รีบร้อนรนวิ่งออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว มัสยาจึงรีบวิ่งตามออกมาอย่างรวดเร็ว
“อลิซ เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้น”
มัสยาวิ่งมาทันดึงแขนเพื่อนเอาไว้ เมื่อเธอหันหน้ากลับมาพร้อมน้ำตาอาบแก้มก็ทำเอามัสยาตกใจ
“เฮ้ย อลิซ เกิดอะไรขึ้น แกร้องไห้ทำไม”
“แม่ แม่ฉันโดนรถชน”
สองสาวเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในอีกไม่กี่นาทีต่อมา มือเล็กทั้งสองข้างกุมกันแน่น ดวงตากลมโตมองประตูห้องผ่าตัดที่ยังปิดสนิทแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อหมอหนุ่มเปิดประตูห้องนั้นออกมาพร้อมข่าวดี
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ แต่หมอขอดูอาการในห้องไอซียูอีกสักคืน แล้วถึงจะย้ายคนไข้ไปห้องพักปกติได้ แต่ก็ยังคงต้องรอดูอาการอีกหลายวัน อีกสักครู่ค่อยเข้าไปเยี่ยมนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
คนตัวบางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทันทีที่รู้ว่าแม่ปลอดภัย น้ำตามากมายไหลออกมาเพื่อระบายความกดดันในหัวใจ โชคร้ายที่แม่ของเธอถูกคนเมาชนแล้วหนี จนตอนนี้ก็ยังตามหาตัวไม่พบ แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่พระเจ้ายังไม่พรากแม่ไปจากเธออีกคน
“อลิซ แกโอเคไหม”
“เป็นอะไรไหมครับ จะเป็นลมหรือเปล่า”
หมอหนุ่มและมัสยาต่างถลาเข้ามาประคองคนตัวบางซึ่งหน้าซีดไร้สีเลือดด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณหมอ ที่ช่วยแม่เอาไว้”
“มันเป็นหน้าที่หมออยู่แล้วครับ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวก่อนออกเวรเย็นนี้หมอแวะไปดูคนไข้ให้อีกรอบนะครับ”
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่อลิษายังคงยืนมองมารดาซึ่งยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงโรงพยาบาลที่มีสายช่วยชีวิตระโยงระยางผ่านผนังกระจกหน้าห้องไอซียู
“อลิซ แกไปหาข้าวกินก่อนเถอะ นี่จะบ่ายสองแล้วนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมจริง ๆ หรอก”
“ฉันยังไม่หิวเลยเมี่ยง อยากเฝ้าแม่มากกว่า เดี๋ยวแม่ตื่นมาไม่เจอฉันจะตกใจ”
“พยาบาลก็บอกแล้วว่ายังไม่ฟื้นง่าย ๆ เผลอ ๆ ก็พรุ่งนี้ เดี๋ยวฉันเฝ้าแม่ให้แกเอง รีบไปกินข้าวซะ ถ้าแกป่วยไปอีกคนแล้วใครจะดูแลแม่”
“ก็ได้ ฝากแม่ก่อนนะเดี๋ยวฉันรีบมา”
ผ่านไปห้าวันแล้ว อาการคนป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ อลิษาต้องหยุดเรียนทั้งสัปดาห์เพื่อมานอนเฝ้ามารดาในห้องพักผู้ป่วยแบบรวมที่มีคนป่วยเข้าใช้บริการเต็มแน่นทุกเตียง
เธอนั่งจับมือแม่ที่นอนหลับไปอีกครั้งหลังจากตื่นมากินยา กวาดตามองร่องรอยแผลตามตัว แขนขวาหักจนต้องผ่าตัดดามเหล็ก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผ่ายผอม ก่อนจะกวาดตามองบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งด้วยความรันทดใจ
สงสารแม่เหลือเกิน ครั้งสุดท้ายที่แม่ของเธอเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นแม่ของเธอนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง มีพยาบาลพิเศษคอยดูแลอย่างดีพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งที่เพียงแค่ถ่ายท้องและอาเจียนนิดหน่อยเท่านั้น
แต่วันนี้ แม่ของเธอโดนรถชนปางตาย เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ต้องผ่าตัดหลายส่วน อาการย่ำแย่ แต่กลับต้องทนนอนอุดอู้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่เตียงนอนแออัดราวกับปลากระป๋อง นางพยาบาลซึ่งมีน้อยนิดไม่เพียงพอจะดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุที่อาการหนักแทบทุกเตียง บางเตียงส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด บางเตียงนอนไม่ได้สติต้องให้อาหารทางปาก บางเตียงถูกย้ายเข้าห้องไอซียูโดยด่วนหลังจากเพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดไม่นาน และบางเตียงก็จากโลกนี้ไปโดยมีญาติพี่น้องร้องห่มร้องไห้ราวจะขาดใจ ช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่เหลือเกิน
คนตัวบางถอนหายใจยาว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เธอก็ยังไม่ได้จ่ายค่าเทอม เพราะต้องนำเงินส่วนนี้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ คนที่ขับรถชนก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เงินของแม่ก็จ่ายค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ และหนี้สินไปหมดแล้วก่อนหน้าที่จะโดนรถชน จนถึงตอนนี้ เธอยังมืดแปดด้านว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเทอมที่ทางมหาวิทยาลัยเลื่อนเวลาออกไปให้อีกหนึ่งสัปดาห์
สุดท้าย แม่ของเธอก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้หลังจากนอนรักษาตัวอยู่ถึงสิบวันเต็ม ๆ อาการเจ็บป่วยทางร่างกายดีขึ้นมากจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เธอจึงกลับมาเรียนอีกครั้ง
“เมี่ยง แกมีงานพิเศษอะไรให้ฉันทำอีกไหม ใกล้จะถึงวันสุดท้ายที่ต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว ถ้างวดนี้ไม่จ่าย ฉันจะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อเทอมนี้ คงต้องดร็อปเรียนก่อน”
ใบหน้าสวยหวานมีแต่ความกังวล เรื่องนี้เธอไม่กล้าบอกให้แม่รู้ เพราะกลัวว่าแม่จะเครียดจนอาการป่วยกำเริบ แต่ถ้าเธอต้องดร็อปเรียนเพื่อออกไปทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเทอมแล้วต้องเรียนจบช้ากว่าเพื่อน ชีวิตสบาย ๆ ของเธอกับแม่ก็จะช้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งเธอไม่อยากจะเสียเวลาอีก เธอทนมองแม่ลำบากมานานหลายปีเกินพอแล้ว
“ช่วงนี้ไม่มีเลยว่ะอลิซ แกเอาเงินฉันไปก่อนไหม มีไม่พอค่าเทอมหรอก แต่อย่างน้อยแกก็หาเพิ่มอีกไม่เยอะ”
“ไม่เอา นั่นมันเงินค่ากินค่าอยู่ของแก ถ้าให้ฉันแล้วแกจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว นี่มันยังไม่กลางเดือนเลย”
“ฉันไปกินข้าวที่ทำงานได้ เดี๋ยวจะห่อมาเผื่อมื้ออื่น ๆ มีแค่ค่ารถมาเรียนก็พอแล้ว”
อลิษามองเพื่อนรักผ่านม่านน้ำตา ขนาดว่าตัวเองก็ลำบากแทบตาย เป็นลูกกำพร้าเหลือตัวคนเดียว ต้องปากกัดตีนถีบทุกอย่าง ยังอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือเธอ
“ขอบใจมากนะเมี่ยง แต่ฉันเอาเงินของแกไม่ได้จริง ๆ เย็นนี้ไปทำงานร้านพี่แก้วแล้วว่าจะหางานที่ร้านเหล้า”
“แกเหลือเวลาพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียว มันจะหาเงินทันได้ยังไง
อลิซ ต่อให้แกจะไปเป็นเด็กดริ๊งก็เหอะ เงินเกือบสามหมื่น แค่คืนเดียว แกจะหาได้ยังไง กินเหล้าให้ตายก็ไม่มีทางได้เงินถึง”
“แล้วจะทำยังไงดี ฉันไม่อยากดร็อปเรียน เราเสียเวลาเรียนมาเป็นเดือนแล้ว ถ้าจบทีหลังเพื่อน แม่ฉันก็จะลำบากเพิ่มอีกหนึ่งปี ตอนนี้ร่างกายแม่ก็ยังไม่ทันจะหายดีด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากทำให้แม่เสียใจ”
“งั้นฉันจะไปหางานร้านเหล้ากับแกดีไหม ฉันกินเหล้าเก่งนะ น่าจะช่วยแกได้หลายบาทอยู่”
“ขอบใจแกมากเลยนะเมี่ยง แกดีกับฉันมากจริง ๆ แต่แกไม่ต้องไปลำบากกับฉันหรอก อย่างที่แกบอก ต่อให้เรากินเหล้าให้ตาย ก็หาเงินสามหมื่นไม่ได้ภายในคืนเดียวหรอก”
สองสาวเพื่อนแท้ถอนหายใจพร้อมกันอย่างทดท้อต่อชะตาชีวิต ทำไมคนที่ตั้งใจเรียนและรักดีอย่างพวกเธอสองคนถึงมีชีวิตลำบากตรากตรำขนาดนี้ อีกนิดเดียวก็จะได้มีชีวิตใหม่กันแล้ว ทำไมโชคชะตาถึงไม่เข้าข้างพวกเธอบ้าง
มือใหญ่สอดเข้าล็อกท้ายทอย บังคับเธอแหงนหน้าขึ้นรับเรียวลิ้นที่เข้าไปกวาดต้อนความหวานในโพรงปากอย่างหิวกระหาย เมื่อพอใจแล้วก็ละริมฝีปากมาบดจูบกลีบปากนุ่มนิ่มที่เริ่มบวมเจ่อของเธออีกครั้งคนตัวบางหลับตาพริ้ม แหงนเงยใบหน้าขึ้นเมื่อเขาไล้ปลายจมูกพร้อมเม้มจูบไปทั่วแก้มสาว ลามเลยเข้ามาซุกไซ้ยังซอกคอขาว ๆ ซึ่งส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผิวเนื้อนางที่ผสมผสานกับโลชันทาผิวกลิ่นดอกไม้ กลายเป็นฟีโรโมนชั้นดีซึ่งเขาไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อนซอกคอหอมกรุ่นกลิ่นสาวทำเอาเขาแทบคลั่ง จากค่อย ๆ พรมจูบดูดเม้มช้า ๆ จนทั่วทั้งลำคอนั้น กลับกลายเป็นซุกไซ้สูดดมกลิ่นเนื้อตัวเธออย่างบ้าคลั่งราวกับคนที่กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งยังส่งเสียงครางฮือในลำคอบ่งบอกความพึงพอใจ ยิ่งทำให้สาวน้อยตัวสั่นสะท้านราวลูกนกชุดคุลมอาบน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัวแสนเกะกะถูกถอดทิ้งกองลงบนพื้น ร่างบางลอยหวือขึ้นมาอยู่แนบอก เพียงชั่วอึดใจก็ลงไปนอนอยู่บนที่นอนนุ่ม โดยมีคนตัวโตที่เรือนร่างเปลือยเปล่าไม่ต่างกันคร่อมทับอยู่ดวงตาคมกริบวาบขึ้นเมื่อกวาดมองเรือนร่างบอบบางขาวผ่องตรงหน้า ผิวของเธอเนียนละเอียดขาวสว่างจนตาพร่า หน้าอกใหญ่โตเกินตัวไปมาก มากกว่า
“ริว กินข้าวลูก”คิริวเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้ามาในห้องอาหาร เขาตรงเข้าหอมแก้มแม่ของตัวเองทั้งซ้ายและขวาอย่างประจบประแจง“ไม่กินแล้วครับแม่ ผมมีนัด คืนนี้ไม่กลับมานอนบ้านนะครับ”เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนในห้องอาหารแล้วเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผิวปากอารมณ์ดีอีกครั้ง ในขณะที่คนเป็นป้ายิ้มกริ่มพึงพอใจเพราะคิดว่าหลานชายตัวเองมีนัดกับพิมพ์พลอย“เห็นไหม พี่บอกแล้ว ว่าตาริวยังไงก็ต้องชอบคนสวยแบบหนูพลอย เป็นไงล่ะ เจอกันแค่วันเดียวก็นัดกันออกไปเดตซะแล้ว”ช้องนางหันมองหน้ากับสามีตัวเองด้วยความแปลกใจ ท่าทางคิริวเมื่อคืนนี้ไม่เห็นจะเหมือนคนตกหลุมรักสาวสวยคนนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้ทำไมอารมณ์ดีที่ได้ออกไปเดตเสียได้ วัยรุ่นนี่เข้าใจยากเสียจริง“ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ เถอะค่ะพี่ช่อ”“จ้ะ ๆ แค่นี้พี่ก็สบายใจแล้ว ท่าทางคู่นี้จะเป็นไปได้สวย เฮ้อ ได้กลับบ้านเสียที ได้ข่าวว่าลูกยัยผกาเลิกกับแฟนอีกแล้ว เห็นไหม ถ้าเชื่อป้าของมันตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องรัก ๆ เลิก ๆ กับคนที่ไม่เหมาะสมแบบนี้หรอก เดี๋ยวจะหาผู้หญิงใหม่ให้เสียหน่อย”“พี่ช่อคะ”“เงียบไปเลยนะเรา ไม่ต้องมาห้ามพี่ ที่ทำทั้งหมดก็เพราะรักและเป็นห่วงหลาน
“แต่ผมมีครับพ่อ ผมไม่ได้ชอบพลอย ไม่ได้อยากมีแฟน ไม่อยากมีคู่หมั้นและไม่อยากแต่งงาน ผมไม่ยินดีที่จะมีงานหมั้นเกิดขึ้น ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ผมว่าแบบนี้มันดีกับพลอยมากกว่า พลอยจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผม เพราะยังไงผมก็ไม่มีวันยอมหมั้นโดยที่ผมไม่ได้รู้สึกชอบหรอกนะครับ”พิทักษ์และกมลชนกอ้าปากค้าง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคิริวจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ คงเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบฝรั่งสินะในขณะที่พิมพ์พลอยทำได้แค่กำมือแน่นและกัดกรามข่มอารมณ์ไม่พอใจที่กำลังจะระเบิดออกมา เธอจะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด อย่างไรผู้ชายคนนี้ต้องเป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น“คิริว ทำไมหลานเสียมารยาทแบบนี้”ช่อม่วงเอ็ดหลานชายเสียงดัง“ผมพูดความจริงครับป้า”“วันนี้ไม่ชอบไม่เป็นไร เพราะริวกับหนูพลอยเพิ่งเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเลย ป้าอยากให้ริวไปรับพลอยไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย ๆ หาโอกาสใกล้ชิดกัน สักปีครึ่งปีเป็นไง พอถึงตอนนั้น ถ้าไม่ชอบ ค่อยมาว่ากันอีกที แต่ยังไงป้าก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ป้าขอยืนยันว่าริวต้องมีคู่ครองที่สมหน้าตา ในฐานะผู้บริหารที่วันหนึ่ง
“คิริว เรียนวิศวะโยธาหรือคะ”แม้จะรู้ประวัติของเขามาบ้างแล้ว แต่ก็ต้องหาเรื่องมาชวนคุย เมื่อเขาเอาแต่พาเธอเดินชมนกชมไม้ ทั้งที่ในมือกดโทรศัพท์ ไม่ได้ชายตามาแลเธอสักนิดเดียวจนรู้สึกอึดอัด“ครับ เรียกผมว่าริวเฉย ๆ ก็ได้นะ แล้วพลอยล่ะ”เขาต้องถามกลับเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของเธอเลยแม้แต่น้อย ถ้ารู้เอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร“พลอยเรียนบริหารค่ะ เสียดายจังนะคะที่ไม่ได้เรียนมหาลัยเดียวกับริว ได้ข่าวว่าสาวบริหารที่นั่นสวยมากเลยหรือคะ”“ครับ สวยมาก ที่จริงผู้หญิงทุกคนก็มีความสวยในแบบของตัวเองอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะดึงเสน่ห์ของตัวเองมาใช้ได้มากกว่ากันเท่านั้นครับ”เธอยิ้มรับคำพูดของผู้ชายเจ้าชู้ที่มองว่าผู้หญิงทุกคนคือดอกไม้งามประดับโลก และเพียงแค่เด็ดดมครั้งสองครั้ง กลิ่นหอมเฉพาะตัวเหล่านั้นก็หมดไปเสียแล้วแต่ดอกไม้ราคาแพงอย่างเธอ อย่างไรเสียถ้าเขาเด็ดมาดอมดมแล้ว จะไม่มีวันทิ้งเธอได้ง่าย ๆ เหมือนดอกไม้ไร้ค่าพวกนั้นแน่นอน“แล้วริวชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะคะ”เธอเอ่ยถามพร้อมทั้งส่งสายตายั่วยวน ถ้าเธอไม่ใช่คนที่ป้าเขาอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้ อย่างไรคืนนี้ก็ต้องมีคลานลงจากเ
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธแม่ได้ จึงต้องโทรไปรบกวนคนตัวบางที่กำลังจะเข้านอนหลังจากเพิ่งบอกแม่ว่าพรุ่งนี้เธอต้องไปรับงานพิเศษและต้องค้างคืนกับมัสยา“สวัสดีค่ะ”“ฉันเอง”เสียงทุ้มที่เริ่มจะคุ้นหูทำให้เธอแปลกใจ เขากลัวเธอจะเบี้ยวจนถึงขั้นโทรมาเช็กกันเลยหรือ“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่า”เธอไม่กล้าเรียกชื่อเขา เพราะไม่อยากให้แม่ที่นอนหลับอยู่ด้านข้างรู้ว่าเธอคุยกับผู้ชาย ก่อนจะแอบเดินเลี่ยงออกมาคุยที่ระเบียงแทน“พรุ่งนี้ฉันขอยกเลิกนัดเราก่อนนะ ฉันมีธุระด่วน”“อ๋อ ได้สิ แล้วนายจะเอายังไงต่อ”“วันเสาร์เธอว่างไหม ฉันจะไปรับเธอที่หอแต่เช้า”“นายจะทำอย่างนั้นตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”คนตัวบางเบิกตากว้าง เผลอโพล่งออกไปด้วยความตกใจ คนหื่นๆ อย่างเขาไม่รู้จักอายเลยหรือไง“ทำไมล่ะ ทำไม่ได้หรือไง”“เอ่อ คือ ไม่รู้สิ งั้นถ้านายมารับฉันแต่เช้า คงไม่ต้องค้างคืนใช่ไหม ฉันมีงานพิเศษตอนเย็นทุกวัน”“ร้านเดิมเหรอ”“ใช่”“เธอก็เปลี่ยนวันลาสิ จากวันศุกร์เป็นวันเสาร์”“แต่นายมารับฉันตั้งแต่เช้าแล้ว ยังต้องค้างคืนอีกเหรอ นายจะไม่พักบ้างหรือไง”“หึหึ พักไม่พักเดี๋ยวเธอก็รู้เอง ทำตามที่ฉันสั่งเถอะน่า ฉันเป็นลูกค้าวีไอ
“ไม่มีใครทำแบบนั้นหรอก คนจนก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด”“ฉันก็แค่เตือนด้วยความหวังดี”“งั้นก็ขอบคุณที่มาส่งนะ”“เดี๋ยวสิ พรุ่งนี้เธอคงไม่ลืมใช่ไหม ว่าเรามีนัดกัน”ดวงตาคมกริบวาบขึ้นในความมืด นัยน์ตาสีน้ำตาลลึกล้ำจนอ่านไม่ออก แต่มันกลับทำให้ใบหน้าสาวร้อนวูบวาบแดงซ่านไปจนถึงใบหู“เอ่อ ไม่ลืมหรอก นายจะให้ฉันไปเจอที่ไหนล่ะ โรงแรมอะไร”“ไปคอนโดของฉัน”“คอนโดเหรอ”“อืม สะดวกดี แล้วก็ไปยืนรอฉันที่ข้างตึกคณะแล้วกัน เลิกเรียนจะไปรับ”“ฉันไม่อยากให้ใครเห็น ฉันไปเองก็ได้”“รถติด เสียเวลา งั้นเธอมาหาฉันที่รถก็ได้ เหมือนวันนี้”“อืม ก็ได้”“อย่าลืมเอาเสื้อผ้าไปด้วยล่ะ ชุดนอนไม่ได้นอน มีไหม ฉันชอบแบบนั้น”“อะ เอ่อ ไม่มีหรอก”คำพูดหน้าไม่อายของเขาทำเอาเธอหูอื้อไปหมด จะให้เธอใส่ชุดนอนบางเบาจนมองทะลุปรุโปร่งต่อหน้าเขาได้อย่างไร เธอกะว่าคืนพรุ่งนี้จะขอร้องให้เขาปิดไฟ ซึ่งก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยอมหรือเปล่า“ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ก็ได้ แค่ผิวขาวๆ ของเธอก็คงทำให้ฉันมีอารมณ์มากแล้วล่ะ”ยังไม่ทันจะได้เห็นผิวขาวๆ ของเธอภายใต้ร่มผ้าเลยสักนิด แค่จินตนาการไปตามคำพูดของตัวเอง ลูกชายคนโตที่ขนาดเทียบเท่ามาตรฐา