6
หลง...?
“ขอบใจนะแบงค์ที่มารับ” ฉันว่าขึ้นเมื่อพาตัวเองมาอยู่ในรถเก๋งของเพื่อนที่ฉันโทรวานให้มารับให้ไปเรียนด้วยกัน
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วรถอะเรียกช่างมาแล้วใช่ไหม”
“เรียกแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นก็คงได้แล้วแหละ”
“อ่าหะ”
“ช่วงนี้อ่านหนังสือที่ไหนเหรอ ว่างๆ มาอ่านด้วยกันสิ”
“พอดียุ่งๆ น่ะ ถ้าว่างวันไหนค่อยโทรไปนะ”
แล้วภายในรถก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมามีเพียงเสียงคนพูดข่าวในวิทยุช่วงเช้าเท่านั้นที่ไม่ทำให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป ใช้เวลาไม่นานนักรถของแบงค์ก็ขับมาจอดที่หน้าตึกเรียน
“พิมพ์ขึ้นไปเรียนก่อน เดี๋ยวเราเอารถไปจอด”
“ขอบใจนะ”
ฉันกล่าวอีกครั้งก่อนจะเดินลงมาจากรถ เวลาเหลืออีกประมาณยี่สิบนาทีกว่าจะถึงแปดโมงฉันจึงเดินไปหาอะไรกินที่เซเว่นก่อนจะขึ้นไปยังห้องเรียน
“คุณครับ” ฉันชะงักเท้าเมื่อมีผู้ชายในชุดกาวน์มายืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความที่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วฉันจึงยกมือไหว้เขาอย่างเสียไม่ได้
ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเมื่อคืนก็เถอะ
“เมื่อคืนผมไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรคุณนะครับ”
“ค่ะ” ฉันรับคำอย่างขอไปที ถึงเขาจะเป็นรุ่นพี่แต่การที่ไปโผล่คณะของคนอื่นกลางดึกมันเป็นสิ่งที่น่าแปลกไม่ใช่หรือไง
“ที่ผมตามคุณไปเพราะผมเห็นกลุ่มผู้ชายกำลังสูบบุหรี่กัน...”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ แต่พอดีว่าฉันรู้จักผู้ชายกลุ่มนั้นค่ะ” ถึงจะรู้จักคนเดียวก็เถอะ
“อ่า...เหรอครับ”
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะฉันต้องขึ้นไปเรียนแล้ว”
“ผมก็คงต้องขอตัวเหมือนกัน ใกล้จะถึงเวลาเข้าเวรของผมแล้ว ไว้เจอกันนะครับ” ฉันไม่ตอบแต่ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา
บางทีสุดสัปดาห์นี้ฉันควรจะกลับบ้าน...
Tun’ s part
ผมกำลังดูเทปกล้องวงจรปิดที่ขอก๊อบปี้จากลุงยามมา ยังดีที่ผมสนิทกับลุงเขาแบบว่าชอบไปขอไฟแช็กตอนจะสูบบุหรี่อยู่บ่อยๆ ลุงเขาก็เลยยอมบอกผมว่าผู้หญิงคนนั้นมาหาลุงทำไม
รถยางแบนงั้นเหรอ...
มันเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้นแต่นี่ดันแบนพร้อมกันทั้งสี่ล้อราวกับจงใจมันเลยสะกิดต่อมความอยากเผือกของผมอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าผู้หญิงปากดีคนนั้นดันไปจิกตาใส่ใครเขาเข้าถึงได้โดนแบบนี้ ประเด็นคือมันเกิดขึ้นที่คณะผมไง
ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้
“ไอ้ตุ่น! กับหนังสือเรียนมึงขยันแบบนี้ไหม!” ไอ้ริที่เพิ่งลงมาจากชั้นสองของตัวบ้านว่าขึ้นก่อนจะเดินมาตบหัวผมดังฉาด
“เออน่า”
“มึงดูมาสามสี่วันแล้วมึงได้อะไรกลับมาบ้าง มิดเทอมจะสอบอาทิตย์หน้าอยู่แล้ว”
“เหี้ยละไง กูยังไม่ได้เปิดอ่านสักตัว” ผมร้องขึ้นก่อนจะปิดโน้ตบุ๊กดังฉับ “แล้วนี่สอบอะไรวิชาแรกวะ มึงดูให้หน่อยไอ้ริ”
“ลงทะเบียนเรียนกูก็ลงให้ ตารางสอบมึงเองแท้ๆ มึงยังให้กูหาให้อีก” ไอ้ริบ่นอย่างเบื่อหน่ายพลางส่ายหัวอย่างไม่รู้จะจัดการยังไงกับความเหลวไหลของผม
“เดี๋ยวกูขึ้นไปอาบน้ำแป๊บ ว่าจะไปอ่านที่หอสมุดสักหน่อย”
“บอกกูว่าจะไปอ่านหนังสือร้านเหล้ายังน่าเชื่อกว่าอีกมึงอะ”
ผมหันไปไหวไหล่ให้ไอ้ริก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของผม บ้านนี้เป็นบ้านเช่าที่ผมกับเพื่อนอีกสองสามคนรวมทั้งไอริร่วมกันเช่าเอาไว้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนนี่ปาไปปีสามเทอมสองเข้าไปแล้ว ถึงอยู่กันสามสี่คนก็จริงแต่พอตกดึกนี่ขนกันมาเป็นโขยงทั้งเพื่อนของเพื่อนทั้งแฟนของเพื่อน
แหล่งมั่วสุมชัดๆ ผมบอกเลย
ฉันก้าวลงมาจากรถด้วยความประหม่าเล็กน้อยหลังจากแบงค์โทรมาบอกฉันว่ามีรุ่นพี่ที่รู้จักกันขันอาสามาติวหนังสือให้พวกเรา
เมื่อพูดถึงพวกเรา...ยูก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นเพื่อนของฉันมาตั้งแต่เด็กและยังเป็นผู้ชายที่ฉันชอบ ฉันเคยสารภาพความรู้สึกกับเขานะเพราะตอนนั้นมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ แต่ก็นั่นแหละถึงเราจะผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้าเขาไม่รักก็คือไม่รักไงล่ะ
การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาของเขาทำให้ฉันรู้สึกขายหน้าอยู่ไม่น้อยแต่ลึกลงไปกว่านั้นมันคือความละอายใจมากกว่า รู้ทั้งรู้ว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่กลับดื้อดึงคิดจะใช้อำนาจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกดดันเขาและหวังว่าเขาจะเกรงใจอยู่บ้าง
แต่เขาก็ยังปฏิเสธอยู่ดี...
ฉันสะบัดศีรษะไล่ความทรงจำนั้นออกไปก่อนจะหยิบบัตรนักศึกษาขึ้นมาสแกนเพื่อเข้าหอสมุดกลางแทนที่จะเป็นห้องสมุดของคณะที่ตอนนี้ถูกจับจองไปด้วยนักศึกษาแพทย์จนต้องย้ายมาอ่านกันที่นี่ยังไงล่ะ
ฉันขึ้นลิฟต์มายังชั้นห้าของตัวตึกก่อนจะส่งข้อความไปหาแบงค์ว่ามาถึงแล้ว ไม่นานนักร่างสูงในชุดนักศึกษาพร้อมกับแว่นอันโตก็ปรากฏตัวขึ้น
“ห้องอ่านหนังสือมันเต็มต้องรออีกสักหนึ่งชั่วโมงถึงจะจองต่อได้ ยังไงก็มานั่งอ่านที่โต๊ะพลางๆ ก็แล้วกัน”
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินตามแบงค์ไปเรื่อยๆ ฤดูแห่งการสอบแม้ว่าทางหอสมุดจะเพิ่มโต๊ะเพิ่มเก้าอี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอต่อความต้องการของนักศึกษาเลยแม้แต่น้อย โต๊ะทุกตัวถูกจับจองไปด้วยนักศึกษาหลากหลายคณะที่บ้างก็ก้มอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
และบ้างก็มาหลับ...
“นี่พี่คิมเขาเป็นเอ็กเทิร์นอยู่ที่นี่” แบงค์พูดขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงโต๊ะที่ตั้งติดริมกระจกใส ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่ฉันเจอในคืนนั้นและหน้าเซเว่นเมื่อวันก่อน
อีกแล้วเหรอ...
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้เขาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตรงกันข้ามกับยู เขาเงยหน้าหน้าขึ้นมามองฉันแล้วยิ้มเพียงนิดก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ
“มากันครบแล้วใช่ไหม งั้นเรามาดูรายละเอียดภาพรวมกันก่อน...” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากคนที่ชื่อคิม ฉันไม่ค่อยสนิทใจเท่าไหร่กับการที่จะต้องเรียกเขาว่าพี่
บ่อยครั้งสายตาคู่นั้นตวัดมาที่ฉันอย่างจงใจจนฉันรู้สึกได้และค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดกับมันไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นรุ่นน้องถ้าฉันปรายตามองเขาอย่างที่ชอบทำมันอาจจะเป็นกิริยาที่ไม่ค่อยจะดีนัก ฉันจึงอดทนนั่งฟังเขาต่อไปและขอยอมรับเลยว่าสิ่งที่เขาบรีฟเนื้อหาออกมานั้นมีประโยชน์ไม่น้อยเลยสำหรับการสอบ
“...คร่าวๆ ก็แบบนี้แหละ แบงค์แกลองไปดูห้องดิว่าว่างยัง”
“ครับ”
“เราไปด้วย” ฉันร้องขึ้นมาและมันก็สร้างความสงสัยให้กับคนรอบโต๊ะ “เราจะไปเข้าห้องน้ำ”
“อ้อ”
“พี่ก็จะไปเหมือนกัน งั้นเราไปพร้อมกันเลยนะครับ” พูดกันถึงขนาดนี้ฉันจะปฏิเสธยังไงไหว
แล้วเราสามคนก็พากันลุกออกมาจากโต๊ะ ยังดีที่ห้องน้ำหญิงถึงก่อนฉันจึงรีบเดินเลี่ยงออกมาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อพ้นมาจากรัศมีของผู้ชายคนนั้น
ไม่รู้ว่าการที่มาวันนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือเปล่า เพราะก่อนมาฉันเตรียมใจมาแค่เจอหน้ายูเท่านั้นแต่กับผู้ชายที่ชื่อคิมมันเป็นเรื่องที่เกิดคาดไปหน่อยเท่ากับว่าฉันต้องมาเผชิญเหตุการณ์น่าอึดอัดแบบคูณสองไปเลย
ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จด้วยสีหน้าที่สดชื่นขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้ล้างหน้าล้างตา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงที่ยืนเด่นหันซ้ายหันขวายกมือขึ้นเกาหัวอย่างงงๆ
“นายตุ่น” ฉันลองเรียกเบาๆ เพื่อทดสอบเพราะยังไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นคนที่ฉันคิดไว้หรือไม่
“คุณ!”
“ชู่วว” ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากของตัวเองก่อนจะว่าเสียงดุ “เบาๆ หน่อยนี่มันหอสมุดนะ”
“โทษๆ แต่ดีแล้วที่เจอคุณ” นายตุ่นยิ้มแหยพลางสืบเท้าเดินเข้ามาใกล้
“มีอะไรเหรอ”
“ผมหาห้องถ่ายเอกสารไม่เจอ” เขาพูดเสียงอ่อยแล้วชูชีทในมือขึ้น “เพื่อนมันฝากถ่ายชีทอะ มันบอกว่าที่นี่มีห้องถ่ายเอกสาร เนี่ยผมเดินวนไม่รู้กี่ชั้นแล้วไม่เห็นเจอ”
“อย่ามาโกหก ถ้านายเดินเวียนแล้วจริงๆ นายต้องเจอดิ”
“แต่ผมหาไม่เจอจริงๆ”
“นายเข้าหอสมุดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ฉันหรี่ตาถามและเหมือนว่าอีกฝ่ายจะนิ่งไปเงียบไปคล้ายจะใช้ความคิด
“ตอนปีหนึ่งมั้ง...รู้สึกวันนั้นจะเป็นกิจกรรมบังคับเรื่องการใช้หอสมุด...ใช่ๆ วันนั้นแหละ”
“=_______=”
“ผมล้อเล่นน่าคุณ ผมเข้าหอสมุดครั้งล่าสุดก็ปีก่อนอะ”
“ไม่ค่อยจะต่างกันเท่าไหร่” ฉันว่าอย่างระอาพลางส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “ห้องถ่ายเอกสารอยู่ชั้นสาม ตอนนายออกจากลิฟต์จะอยู่ทางขวามือ”
“อ้อ”
“แต่คิวนานหน่อยนะ นายก็เขียนโน้ตตั้งเอาไว้แล้วกัน”
“ขอบใจนะคุณ คุณนี่เห็นวันๆ เอาแต่ทำหน้าเชิดๆ ไม่คิดว่าจะใจดีนะเนี่ย” นายตุ่นพูดเสียงกวนโอ๊ยพร้อมส่งสายตาแซวมาให้
“ตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ”
“ฮ่าๆ งั้นผมไปก่อนนะคุณ อ้อ! ระวังผู้ชายที่หลบหลังเสานั่นด้วย” ประโยคหลังนายตุ่นก้มหน้าลงมากระซิบชิดข้างหู
“ใส่เสื้อกาวน์ไหม” ฉันถามเสียงเบา ตั้งใจจะปรายตามองแต่โดนมือหนาล็อกคอเอาไว้ให้อยู่ท่าเดิม
“อ่าหะ”
“เขาเป็นรุ่นพี่ฉันเอง...” ว่าเสร็จฉันก็กัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ผู้ชายคนนั้นทำตัวเหมือนสตอล์กเกอร์โรคจิตอย่างที่นายตุ่นพูดจริงๆ ด้วย
“นี่คุณเรียนหมอเหรอ...อย่าไปเป็นหมอเด็กเชียวนะคุณ เดี๋ยวเด็กกลัว”
“ใช่เวลามาพูดเล่นไหมห้ะ เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง” ฉันปรายตาดุเขาก่อนจะผลักร่างของเขาเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับฉันทันทีเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
“หมอนั่นตามคุณมาเหรอ”
“ไม่รู้สิ จู่ๆ เขาก็กลายมาเป็นรุ่นพี่แถมยังโผล่มาติวหนังสือให้กลุ่มของฉันอีก” ฉันว่าขณะเดินนำเขาไปยังห้องเอกสาร
“ฟังดูเหมือนฆาตกรโรคจิตเลยนะคุณ”
“หยุดนะ อย่าพูด!”
“นี่คุณกลัวเป็นกับเขาด้วยเหรอ” คิ้วเข้มของเขายกขึ้นราวกับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ “บางทีคุณอาจจะไปด่าแฟนของเขาจนเขามาล้างแค้นคุณก็ได้นะ”
“เพ้อเจ้อ! เอ้า! นี่ถึงแล้ว ฉันไปก่อนนะ” ฉันว่าเสียงขุ่น ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อโทรหาแบงค์ “เรามีธุระด่วนมากเลยแบงค์ ยังไงเราฝากหนังสือไว้ที่แบงค์ก่อนนะ”
“ธุระด่วนมากเลยเหรอ”
“ใช่ๆ ไว้เจอกันนะ” ว่าเสร็จฉันก็ชิ่งตัดสายก่อน ความตั้งใจที่จะกลับบ้านสุดสัปดาห์นี้ถูกเลื่อนมาเป็นวันนี้อย่างเสียไม่ได้
บางทีคุณพ่ออาจจะรู้คำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เป็นได้