ตุบ!!
เท้าข้างหนึ่งถูกประทับไปบนแผ่นหลังของชายแปลกหน้า มันล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของน้ำตาล เธอหันมองเจ้าของเท้า เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาคว้ามือของเธอไว้แล้วออกวิ่ง
ปัง!!
เสียงปืนดังตามหลังหนึ่งนัด แต่สองคนยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของน้ำตาล จำไม่ให้เธอวิ่งเร็วได้ยังไง ในเมื่อคนที่วิ่งนำหน้เธออยู่เขาจับแขนเธอไว้แน่นแล้วกระชากจนเธอปลิวไปตามแรงของเขา เท้าของเธอแทบจะไม่แตะพื้นด้วยซ้ำ
“แฮ่ก ๆ ๆ คะ...คุณ” น้ำตาลพยายามดึงมือของไคล์ไว้ “ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
“อยากตายก็หยุดสิ” เขาประชด ในสถานการณ์แบบนี้ยังกล้ามาบ่นอีก
“ทำไมคุณไม่ยิงสวนกลับไปบ้างล่ะ”
“ไม่”
“คุณเป็นมาเฟียไม่ใช่เหรอ” น้ำตาลพูดโพล่งออกไป เวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าอะไรที่สมควรพูดออกไป แต่การที่มาเฟียอย่างเขายอมให้อีกฝ่ายไล่ยิงอยู่ฝ่ายเดียวก็คงเป็นเรื่องที่แปลกจนเกินไป
ปึก!!
น้ำตาลชนเข้ากับหลังของไคล์อย่างจัง เพราะเขาหยุดโดยไม่ได้บอกเธอ
“ใครบอกเธอ ว่าฉันเป็นมาเฟีย” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันเดาเอาน่ะ ก็ฉันเห็นคุณมีบอดี้การ์ดนี่นา คนธรรมดาที่ไหนจะจ้างบอดี้การ์ด” น้ำตาลโกหกเพื่อเอาตัวรอด เธอจะบอกเขาได้ยังไงว่าเธอได้อ่านข้อมูลส่วนตัวของเขาก่อนจะมาที่ประเทศจีน
หมั่บ!!
ปัง!!
“กรี๊ด” น้ำตาลหวีดร้องอยู่ในอ้อมกอดของเขา สองมือถูกยกขึ้นมาปิดหูไว้ เธอตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะความกลัว
ไคล์จับมือน้ำตาลแล้วออกวิ่งอีกครั้ง ทั้งคู่วิ่งมาจนถึงรถของไคล์ที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถ ก่อนจากันรีบขึ้นไปแล้วไคล์ขับรถออกจากบริเวณนั้นด้วยความเร็ว
“แฮ่ก ๆ ๆ” ไม่มีบทสนทนาใด ๆ มีแต่เสียงหอบหายใจของน้ำตาล เธอเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน ถ้าเธอต้องวิ่งไกลกว่านี้รับรองว่าเธอได้ตายอยู่ในสวนสาธารณะแน่นอน “ขอบคุณนะคะ”
อย่างน้อย ๆ เขาก็ช่วยเธอไว้อีกครั้ง เธอก็ต้องพูดคำขอบคุณออกไป เธอกำลังทำสิ่งที่ถูกแล้ว เพราะนี่คือมารยาททางสังคม
“...” ไคล์ไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแต่มองไปบนถนน ส่วนความเร็วของรถนั้นยังคงเท่าเดิม
“นั่นเลือดใคร” น้ำตาลสังเกตเห็นเลือดที่แขนเสื้อของเขา เธอเอื้อมมือไปแตะที่เสื้อเบา ๆ เพื่อให้แน่ใจว่านั่นคือเลือดจริง ๆ “คุณโดนยิงเหรอ”
“...” เขายังคงทำหน้านิ่งเฉย
“แวะโรงพยาบาลกันเถอะ ตอนนี้คงไม่มีใครตามมาแล้ว”
“แค่นี้ไม่ตายหรอก” นั่นหมายความว่าเขาจะไม่ไปโรงพยาบาล
“ใช่ค่ะ คนอย่างคุณไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เธอประชด “แต่คุณอาจจะตายเพราะแผลติดเชื้อก็ได้”
ไคล์ขับรถมาถึงคอนโดของเขา บอดี้การ์ดที่รอต้อนรับอยู่แล้วต่างกรูกันเข้าไปหาเขาหลังจากที่เขาลงจากรถ ส่วนน้ำตาลนั้นก็ถูกกันออกไปทันที ในสถานการณ์แบบนี้คนแปลกหน้าอย่างน้ำตาลก็ยังถูกบอดี้การ์ดมองเป็นผู้ต้องสงสัย
“ฉันไม่เป็นไร” ไคล์บอกบอดี้การ์ดเพื่อไม่ให้แตกตื่น ก่อนจะชายตามองคนที่ถูกกันออกไป เขาเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงไม่ได้ห้ามลูกน้องของเขา
“เขาถูกยิง ดูแผลให้เขาก่อน” น้ำตาลตะโกนเข้าไปในวงล้อม แต่ไม่มีใครมีสีหน้าตกใจสักคน ทุกคนทำราวกับว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
“เดี๋ยวผมโทรตามหมอให้ครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร แผลนิดเดียว แค่ถาก ๆ” ไคล์ยังยืนยันคำเดิมคือเขาไม่ต้องการหมอ และไม่ต้องการไปโรงพยาบาล
“ไม่ได้นะคะ คุณต้องให้หมอทำแผลให้” น้ำตาลยังคงคิดว่าการให้ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการรักษาทำแผลให้จะดีกว่า
“งั้นเธอก็โทรหมอนั่นบอกให้มาทำแผลให้ฉันสิ”
“คุณหมายถึงใคร” อยู่ ๆ ไคล์ก็ตะโกนออกมาแบบนั้น น้ำตาลเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงใคร
“...”
“คุณหมายถึงซีห่าวเหรอ” ก็เธอรู้จักแค่หมอคนนี้ ต้องเป็นเขาแน่ ๆ
“...”
“คุณจะให้ฉันโทรหาเขาจริง ๆ ใช่มั้ย” น้ำตาลตะโกนถามกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาหมายถึงใคร ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ไคล์กำลังเดินเข้าลิฟต์ไป “ฉันไม่แน่ใจนะว่าเขาจะผ่าตัดคนไข้เสร็จหรือยัง ยังไงฉันจะลองส่งข้อความไปหาเขาก่อนดีกว่า”
หมั่บ!!
เพราะมัวแต่ก้มพิมพ์ข้อความบนมือถือ เธอไม่ทันได้สั่งเกตว่าคนที่ก่อนหน้าเพิ่งเดินเข้าลิฟต์ไปจะเดินออกมาหาเธอ เขาแย่งโทรศัพท์ในมือของเธอแล้วส่งให้ลูกน้อง
“เฮ้ยคุณ นั่นมันมือถือของฉันนะ” น้ำตาลพยายามแย่งโทรศัพท์คืน
“ฉันโดนยิงเพราะช่วยเธอ” เขามองหน้าคนที่เอาแต่จะคว้าโทรศัพท์จากบอดี้การ์ดของเขา แต่เพราะโดนเขารั้งตัวไว้ ทำให้เธอไม่มีทางคว้ามันได้แน่นอน
“ฉันรู้ แล้วมันยังไงคะ ก็ฉันกำลังจะพาหมอมารักษาให้คุณอยู่นี่ไง” เขาบอกให้เธอทำแบบนั้น แล้วทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้ เหมือนว่าเธอกำลังทำให้เขาไม่พอใจ
“แล้วยังไงเหรอ” เขาจับคอเสื้อของเธอแล้วดึงเข้าหาตัว “เธอควรรับผิดชอบด้วยตัวเองสิ ทำไมต้องใช้คนอื่น”
“ก็ฉันบอกอยู่หยก ๆ ว่ากำลังตามหมอให้คุณอยู่นี่ไง”
“จะตามแฟนเธอมาทำแผลให้ฉันเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม
“คุณบอกให้ฉันตามหมอซี”
“ช่างเถอะ” เขายอมรับว่าพูดออกไปแบบนั้นจริง “ไปกับฉัน”
“บอสครับ”
“ไปจัดการเรื่องที่ฉันสั่ง” เขาออกคำสั่ง ก่อนจะลากน้ำตาลให้เดินเข้าลิฟต์ไปกับเขาและตามด้วยบอดี้กร์ดสองคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
“ถ้าคุณไม่รังเกียจฉันขอทำแผลให้คุณได้มั้ย” น้ำตาลเอียงหน้ามองคนที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้าง ๆ ถ้าเขาดื้อแบบนี้ เธอคงต้องอาสาทำแผลให้เขาแทนแล้วกัน เพราะเธอเป็นสาเหตุ เธอเลยอยากรับผิดชอบ
ไคล์ไม่ได้ตอบ เขาเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งลิฟต์เปิด เขาก็พาน้ำตาลเข้าไปในห้อง โดยสั่งให้บอดี้การ์ดไม่ต้องตามเขาเข้าไป
กล่องปฐมพยาบาลถูกวางลงตรงหน้าของน้ำตาล เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาอนุญาตให้เธอทำแผลให้
พรึ่บ!!
เสื้อเชิ้ตถูกถอดแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ทำให้น้ำตาลที่ยืนมองอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เธอรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้
“เอาสิ มัวมองอะไรอยู่”
“อะ...เอาอะไรคะ”
“ทำแผลไง เธอคิดว่าฉันจะให้ทำอะไรล่ะ” ไคล์แทบจะหลุดขำกับหน้าตาตกใจของน้ำตาล เขาพูดแค่นั้น เธอตีความไปถึงไหน เป็นคนลามกหรือไง
“อ๋อค่ะ”
น้ำตาลเดินเข้าไปใกล้ เธอสำรวจแผลที่แขนของไคล์ก่อนจะจัดการทำแผลให้เขา ทุกอย่างมันคล่องไปหมดจนไคล์รู้สึกแปลกใจ ผู้หญิงปกติเขาทำแผลกันเก่งแบบนี้เชียวหรือ อ้อจริงสิ เธอมีแฟนเป็นหมอนี่นา แน่นอนว่าธอต้องเรียนรู้จะหมอนั่นอยู่แล้ว
“ดึงแขนออกทำไมคะ คุณเจ็บเหรอ” น้ำตาลเงยหน้ามอง ที่เรียกได้เต็มปากว่าตอนนี้เขาคือคนไข้ของเธอ ก็เธอกำลังรักษาเขาอยู่นี่นา
“เปล่า” อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“ทนอีกนิดนะ ใกล้เสร็จแล้วค่ะ” ท่าทางแปลก ๆ ของไคล์ทำให้น้ำตาลรู้สึกประหม่า แม้บรรยาในห้องจะหนาว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังเหงื่อตก
ไคล์นั่งนิ่ง ๆ ให้น้ำตาลทำแผลต่อ แต่ในจังหวะที่เธอกำลังใช้ผ้าพันแผลให้เขาอยู่ ๆ เธอก็ฟุบหมดสติไปอย่างไร้สาเหตุ
“นี่เธอ”
เขาจับไหล่สองข้างแล้วดันให้ออกห่างจากตัว แต่คนที่หมดสติไปแล้วทำยังไงก็นั่งด้วยตัวเองไม่ได้
แปะ ๆ
มือหนาตบลงไปเบา ๆ บนแก้มนวล เขาพยายามปลุกเธอให้ตื่น
“เมาเลือดเหรอ” นั่นคือสิ่งที่เขาคิดออก เพราะไม่น่ามีเหตุผลอื่นที่จะทำให้เธอหมดสติไป
เป็นอีกครั้งที่น้ำตาลตื่นมาในห้องนอนที่มีเบาะนุ่ม ๆ ผ้าห่มหนา ๆ เธอรู้สึกเหมือนมันเป็นห้องของเธอไปแล้ว แม้จะแปลกใจว่าทำไมเธอถึงมานอนอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ตกใจจนต้องดีดตัวลุกขึ้นทันทีเหมือนครั้งก่อน ๆ
“เฮ้อ คุณควรยกห้องนี้ให้ฉันได้แล้วนะ” น้ำตาลคิดเรื่องตลก “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงตลกน่าดู เขาจะให้ฉันเนื่องในโอกาสอะไรล่ะ ทำแผลให้เขาอย่างนั้นเหรอ”
หลังคิดเรื่องตลก เธอก็มองสำรวจตัวเองทำให้รู้สึกโล่งใจที่ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิม แต่คราวนี้เธอคงไม่เผลอทำพลาดซ้ำสองอีกแล้ว ที่เธอหมดสติไปคงเป็นเพราะเธอเอาแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองแสดงว่าแขนเสื้อของเธอเปื้อนยาสลบที่ติดมาตอนที่เธอพยายามปัดป้องไม้ให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นโปะยาสลบเธอ เธอสงสัยว่าเขาคือใครถึงได้พยายามจะเอาตัวเธอไป
‘ว่าแต่ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ ออกไปดูหน่อยดีกว่า’
ไวเท่าความคิด น้ำตาลก็รีบลงจากเตียง เธอเดินตรงไปยังประตูห้องนอน
แกร็ก!!
ด้านน้ำตาล หลังจากที่ออกจากห้องของไคล์เธอก็เจอเข้ากับบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง สองคนมองเธอด้วยความสงสัย เพราะใบหน้าของเธอบ่งบอกว่ากำลังตื่นกลัวเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง“ผู้หญิงคนนั้นใครเหรอ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งถามขึ้น เขาเพิ่งรับหน้าที่มาเฝ้าหน้าห้องของไคล์เป็นครั้งแรก จึงเอ่ยถามเมื่อน้ำตาลวิ่งห่างออกไปแล้ว“ฉันก็บอกไม่ถูก เหมือนเธอจะเข้ามาที่นี่หลายครั้งแล้วนะ” เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นน้ำตาลถูกเจ้านายพามาที่นี่“บอสเนี่ยนะพาผู้หญิงอื่นมาที่คอนโด” คนฟังไม่อยากจะเชื่อหู เพราะเท่าที่ฟังเรื่องของไคล์มาคร่าว ๆ ก็ไม่ได้ยินเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้หญิงเลย“อือ”“แล้วคุณหลินหลินล่ะ เธอรู้หรือเปล่า” ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคนรักของไคล์ พวกเขาคบกันอย่างเปิดเผย แม้บอดี้การ์ดหนุ่มคนนี้จะเพิ่งเข้ามาทำงาน เขาก็ได้ฟังเรื่องสวของทั้งสองมาเยอะพอสมควร“ไม่น่าจะรู้ เพราะตั้งแต่คุณหลินหลินไปเรียนก็หายไปเลย ฉันเห็นกลับมาที่นี่แค่ครั้งเดียว” บอดี้การ์ดรุ่นพี่ครุ่นคิดราวกับอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปในตอนนี้ “บางทีอาจจะเรียนหนักจนไม่มีโอกาสได้กลับมาก็ได้”“รอให้บอสไปหาหรือเปล่า” บอดี้การ์ดรุ่นน้องแสดงค
แกร็ก!!“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มดังขึ้นทันทีที่ประตูถูกเปิดเข้ามา“มะ...มีอะไรหรือเปล่า” น้ำตาลมองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง ๆ ที่เคยเห็นมาทั้งหมดแล้วถึงตอนนั้นจะไม่ได้ตั้งใจจะมองก็ตาม“ฉันแค่จะเข้ามาดูว่าตายหรือยัง”‘เหมือนจะรู้สึกดี แต่ถ้าฟังดี ๆ มันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ คิดซะว่าเขาเป็นห่วงละกัน’“แล้วทำไมถึงไม่แต่งตัวให้เสร็จก่อนล่ะ” น้ำตาลมองไปที่ผ้าขนหนูผืนสีขาวที่พันอยู่รอบเอวของเจ้าของห้อง เธอคิดว่ามันสามารถหลุดได้ทุกเมื่อ เธอจินตนาการไปว่าภายใต้ผ้าผืนสีขาวนั้นมีมังกรยักษ์อยู่ แม้วันนั้นมันยังไม่ผงาด เธอก็ยังมองว่ามันใหญ่โตจนน่ากลัว“ทำไม นี่มันห้องฉัน ฉันจะใส่อะไรมันก็เรื่องของฉัน” จริง ๆ แล้วเขาแค่จะแง้มประตูเข้ามาดูเท่านั้นว่าคนในห้องยังหลับอยู่หรือเปล่า เขาเองก็ตกใจเล็กน้อยที่พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอเธอยืนอยู่หลังประตูพอดี“แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีคุณแค่คนเดียวนะ”“ทำไม วันก่อนยังเสนอตัวให้ฉันอยู่เลย แก้ผ้าต่อหน้าฉันก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นอะไร” ไคล์ยื่นหน้าเข้าไปหาน้ำตาล “หรือว่าเกิดรู้สึกอายขึ้นมางั้นสิ”“ก็ตอนนี้ฉันร
ตุบ!!เท้าข้างหนึ่งถูกประทับไปบนแผ่นหลังของชายแปลกหน้า มันล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของน้ำตาล เธอหันมองเจ้าของเท้า เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาคว้ามือของเธอไว้แล้วออกวิ่งปัง!!เสียงปืนดังตามหลังหนึ่งนัด แต่สองคนยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของน้ำตาล จำไม่ให้เธอวิ่งเร็วได้ยังไง ในเมื่อคนที่วิ่งนำหน้เธออยู่เขาจับแขนเธอไว้แน่นแล้วกระชากจนเธอปลิวไปตามแรงของเขา เท้าของเธอแทบจะไม่แตะพื้นด้วยซ้ำ“แฮ่ก ๆ ๆ คะ...คุณ” น้ำตาลพยายามดึงมือของไคล์ไว้ “ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”“อยากตายก็หยุดสิ” เขาประชด ในสถานการณ์แบบนี้ยังกล้ามาบ่นอีก“ทำไมคุณไม่ยิงสวนกลับไปบ้างล่ะ”“ไม่”“คุณเป็นมาเฟียไม่ใช่เหรอ” น้ำตาลพูดโพล่งออกไป เวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าอะไรที่สมควรพูดออกไป แต่การที่มาเฟียอย่างเขายอมให้อีกฝ่ายไล่ยิงอยู่ฝ่ายเดียวก็คงเป็นเรื่องที่แปลกจนเกินไปปึก!!น้ำตาลชนเข้ากับหลังของไคล์อย่างจัง เพราะเขาหยุดโดยไม่ได้บอกเธอ“ใครบอกเธอ ว่าฉันเป็นมาเฟีย” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย“ฉันเดาเอาน่ะ ก็ฉันเห็นคุณมีบอดี้การ์ดนี่นา คนธรรมดาที่ไหนจะจ้างบอดี้การ์ด” น้ำตาลโกหกเพื่อเอาตัวรอด เธอจะบอกเขาได
หลังทานอาหารเสร็จไคล์ก็ขับรถตามคนทั้งสองไปจนถึงสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเขาเลยไม่ลังเลที่จะเลี้ยวเข้าไปจอด โดยไม่ได้สนใจว่ารถอีกคันที่เขาตามมาจะขับไปทางไหนสองสามครั้งที่เขาเคยมานั่งเล่นกับคนรักที่นี่หลังทานอาหารเสร็จ เหมือนตอนนั้นจะเป็นช่วงที่เพิ่งคบกันใหม่ ๆ เธอมักจะบอกว่าเธอชอบมาที่นี่กับเขา เมื่อความคิดถึงมันเอ่อล้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาใครคนนั้น‘พอดีว่าฉันยุ่งอยู่ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า’ นี่คือประโยคแรกจากคนปลายสาย และเป็นประโยคที่ช่วงหลัง ๆ มานี่เขาจะได้ยินมันบ่อย“ผมแค่คิดถึงคุณ”‘ขอฉันออกไปคุยโทรศัพท์แป็บนึงนะคะ’ ดูเหมือนเธอจะบอกใครบางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะพูดกับไคล์ต่อ ‘พอดีฉันออกมาทานข้าวกับเพื่อนค่ะ’“ครับ”‘ว่าแต่คุณมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ปกติคุณไม่ค่อยโทรมาเวลานี้’ไคล์นิ่งไป จริง ๆ แล้วเวลานี้ที่เขามักจะโทรหาเธอต่างหาก แต่ทุกครั้งที่โทรไปเธอก็มักจะบอกกับเขาว่าไม่สะดวกคุยค่อยโทรมาตอนดึก พอตอนดึกเขาโทรไปอีกครั้งเธอก็มักจะบอกว่าเรียนหนัก เธอเลยเพลียเลยจะเข้านอนแล้ว“ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแล้วนะ”‘อ๋อ เหรอคะ ฉันเรียนหนักจนลืมไปเลย’“ปีนี้คุณจะกลับมาหรือ
โรงพยาบาลประตูห้องตรวจถูกเปิดโดยพยาบาลสาว เธอผายมือให้คนไข้เดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเบามือ“สวัสดีครับ”“สวัสดีค่ะ”วันนี้น้ำตาลมาหาหมอตามใบนัด เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าหมอจะนัดเธอมาทำไมอีกทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันที่แล้วคุณหมอคนนี้เป็นคนบอกเธอเองว่าไม่มีอะไรน่ากังวล“เชิญนั่งก่อนครับ” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองดูคนไข้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณค่ะ” น้ำตาลนั่งลงตรงเก้าอี้“อาการดีขึ้นมากแล้วใช่มั้ยครับ”“ใช่ค่ะ” เธอตอบออกไป “เรียกว่าหายดีแล้วก็ว่าได้ค่ะ”“โชคดีจังครับ เอาเป็นว่ายาที่หมอให้ไปก็ทานให้หมดนะครับ แม้จะหายแล้วก็เถอะ ส่วนวันนี้หมอแค่นัดมาติดตามอาการของคนไข้เท่านั้น”“ห๊ะ” น้ำตาลอ้าปากค้าง นัดเธอมาแค่นี้อย่างนั้นเหรอ เหตุผลแค่นี้จริง ๆ เหรอ“วันนี้คุณต้องไปทำงานมั้ยครับ”“ไม่ค่ะ ฉันว่าจะเริ่มงานพรุ่งนี้” เธอตั้งใจไว้แบบนั้น“ดีจัง งั้นวันนี้ช่วยไปทานข้าวกับผมได้มั้ยครับ”“จะดีเหรอคะ คนไข้ของคุณนั่งรออยู่ด้านนอกเยอะเลยนะ”“คุณรอผมได้หรือเปล่าล่ะ” ซีห่าวรอคำตอบอย่างมีความหวัง“ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ละคะ”“คุณมีนัดแล้วเหรอ”“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่อยากรบกวนเวลาของคุณ” จริง ๆ
วันต่อมาน้ำตาลลองไปโรงพยาบาลตามที่หมอแนะนำ เพราะเมื่อตอนดึกเธอรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ ถ้าอาการป่วยยังรุมเร้าอยู่แบบนี้ รับรองว่างานของเธอไม่มีทางคืบหน้าแน่ ๆ[คุณเองเหรอ]“...”[คุณจำผมได้หรือเปล่า]“...”“อ้อจริงสิ คุณคงไม่เข้าใจภาษาของผม” สายตาของหมอโฟกัสไปที่ประวัติคนไข้อีกครั้ง“คุณรู้ได้ยังไง” น้ำตาลแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็พูดภาษาที่เธอฟังออกขึ้นมา“ก็ที่คุณระบุในนี้” เขาชี้ไปที่แฟ้มประวัติคนไข้ “คุณไม่ใช่คนที่นี่สินะ”“อ๋อ” น้ำตาลโล่งใจ เธอเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าตัวเองกำลังกรอกประวัติอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐที่ประเทศไทยซะอีก“ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมวันนั้นคุณถึงไม่ยอมคุยกับผม”“...” น้ำตาลไม่ได้พูดอะไร เธอนึกไม่ออกว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร แต่ว่าหมอคนนี้เป็นคนอัธยาศัยดีจัง เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาเขาก็พูดไม่หยุดเลย“สรุปว่าคุณจำผมได้หรือเปล่า”“คุณรู้จักฉันเหรอ”“คิดไว้แล้ว ว่าคุณคงจำผมไม่ได้”“...” น้ำตาลเอียงหน้ามอง ดูยังไงเธอก็ไม่คุ้นหน้าเขาเลยสักนิด“เราเคยเจอกันวันนั้นไง วันที่ฝนตก”“ฝนตก...” เธอทวนคำ“อือ...หึ”น้ำตาลทำท่าครุ่นคิด ตั้งแต่มาที่นี่ เธอนึกไม่ออกว่าเธอเคยมีโอกาสได้เจอผ