หลังทานอาหารเสร็จไคล์ก็ขับรถตามคนทั้งสองไปจนถึงสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเขาเลยไม่ลังเลที่จะเลี้ยวเข้าไปจอด โดยไม่ได้สนใจว่ารถอีกคันที่เขาตามมาจะขับไปทางไหน
สองสามครั้งที่เขาเคยมานั่งเล่นกับคนรักที่นี่หลังทานอาหารเสร็จ เหมือนตอนนั้นจะเป็นช่วงที่เพิ่งคบกันใหม่ ๆ เธอมักจะบอกว่าเธอชอบมาที่นี่กับเขา เมื่อความคิดถึงมันเอ่อล้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาใครคนนั้น
‘พอดีว่าฉันยุ่งอยู่ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า’ นี่คือประโยคแรกจากคนปลายสาย และเป็นประโยคที่ช่วงหลัง ๆ มานี่เขาจะได้ยินมันบ่อย
“ผมแค่คิดถึงคุณ”
‘ขอฉันออกไปคุยโทรศัพท์แป็บนึงนะคะ’ ดูเหมือนเธอจะบอกใครบางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะพูดกับไคล์ต่อ ‘พอดีฉันออกมาทานข้าวกับเพื่อนค่ะ’
“ครับ”
‘ว่าแต่คุณมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ปกติคุณไม่ค่อยโทรมาเวลานี้’
ไคล์นิ่งไป จริง ๆ แล้วเวลานี้ที่เขามักจะโทรหาเธอต่างหาก แต่ทุกครั้งที่โทรไปเธอก็มักจะบอกกับเขาว่าไม่สะดวกคุยค่อยโทรมาตอนดึก พอตอนดึกเขาโทรไปอีกครั้งเธอก็มักจะบอกว่าเรียนหนัก เธอเลยเพลียเลยจะเข้านอนแล้ว
“ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแล้วนะ”
‘อ๋อ เหรอคะ ฉันเรียนหนักจนลืมไปเลย’
“ปีนี้คุณจะกลับมาหรือให้ผมไปหา”
‘ฉันคงไม่ได้ฉลองหรอกค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฉันต้องทำโปรเจ็คเพื่อนำเสนออาจารย์ เอาเป็นว่าฉันจะกลับไปตอนคริสต์มาสนะคะ”
“ปีที่แล้วคุณก็ไม่ได้กลับมา” เสียงของเขาเศร้าลง “ผมอยากเจอคุณ”
‘ปีนี้ฉันจะกลับไปนะ ฉันจะรีบส่งงานอาจารย์ให้ครบ’
“ผมจะรอนะครับ” แม้แฟนสาวจะบอกว่าจะกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่ดี นานหลายเดือนแล้วที่เขากับเธอไม่เจอกัน เธอยุ่งจนไม่มีเวลากลับมาหาเขา ส่วนเขาเองก็หาโอกาสไปเจอเธออยู่หลายครั้ง แต่เธอกลับบอกว่าไม่สะดวก
ไม่ทันจะได้บอกลาหญิงสาวก็กดตัดสายไป ไคล์ทำได้แค่ลดหน้าจอมือถือลงมามอง บ่อยครั้งที่เธอตัดสายเขาไปแบบนี้ ยิ่งนานวันเขายิ่งรู้สึกห่างเหินกับเธอ ขณะที่มัวคิดอะไรเพลิน ๆ ไคล์ก็เบนสายตามาทางหญิงสาวที่กำลังเดินมาทางที่เขานั่งอยู่
ทันทีที่ทั้งคู่สบตากัน น้ำตาลก็รีบหันหลังกลับ เธอเดินย้อนกลับไปทางเดิม โดยไม่ได้หันกลับไปมองว่าใครคนนั้นจะเดินตามเธอมาหรือเปล่า
หมั่บ!!
“ทำอย่างกับฉันเป็นผี” เขาจับไหล่เธอไว้จากด้านหลัง
“อ้าว!! คุณเองเหรอ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นตกใจ ทั้งที่เธอเห็นฉันตั้งแต่แรก”
“เปล่านะคะ” น้ำตาลปฏิเสธ “ว่าแต่คุณตามฉันมาเหรอ”
“เปล่า”
“งั้นคุณก็มาเดินเล่นน่ะสิ”
ผู้ชายอย่างเขามาเดินเล่นในที่แบบนี้มันก็ดูแปลกเกินไป ไหนจะชุดสูทนั้นอีก ที่นี่เขาใส่ชุดแบบนั้นมาเดินสวนสาธารณะเหรอ แม้น้ำตาลจะพยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็นมีใครที่แต่งตัวแบบเขามาเดินเล่น
“เปล่า”
“แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“อ้าว” น้ำตาลหน้าเหวอ กลายเป็นว่าเธอเป็นคนไปยุ่งเรื่องของเขาซะงั้น ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนมารั้งเธอไว้ เอาเถอะเธอไม่อยากรู้แล้วก็ได้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ “งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ”
“เดี๋ยว”
เขารั้งแขนเธอไว้อีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” น้ำตาลทำหน้าแปลกใจ เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาไม่ผลักไสเธอ
‘เกิดอะไรขึ้น’
เหมือนน้ำตาลจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูแปลกไป สีหน้าแบบนี้เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เขามีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่านะ
“แฟนเธอล่ะ”
“หา...!!”
“คนที่เธอมาด้วยไง”
“นี่คุณสะกดรอยตามฉันใช่มั้ย ถึงรู้ว่าฉันไม่ได้มาคนเดียว บอกความจริงมานะ”
“เปล่า” ไคล์ยังคงปฏิเสธ
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
แล้วบุคคลที่ถูกกล่าวถึงก็ปรากฏตัว ก่อนหน้านี้เขาปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์ น้ำตาลเลยเดินมาตามทางเรื่อย ๆ จนได้เจอกับคู่กรณีของเธอนี่แหละ
“เปล่าค่ะ” น้ำตาลหันไปบอกซีห่าว
“เอ่อ สวัสดีครับ” เขาทักทายไคล์ตามมารยาท “ใครเหรอฮันนี่” คำว่าคุณโดนตัดออกไป เพราะตอนที่อยู่ร้านอาหารน้ำตาลบอกให้ซีห่าวเรียกเธอโดยไม่ต้องใส่คำว่าคุณ และเธอก็จะเรียกเขาว่าหมอซี
แม้ว่าซีห่าวจะกระซิบ แต่ไคล์กลับได้ยินเต็มสองหู ชายหนุ่มตรงหน้าเรียกน้ำตาลว่าฮันนี่ เขาจำได้ว่าเธอบอกเขาว่าเธอชื่อน้ำตาล หรือฮันนี่จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนชื่อคนรัก
“ฉันก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขามากหรอกค่ะ เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันก่อน เขาคงจะจำฉันได้เลยเข้ามาทักฉันแค่นั้นเองค่ะ”
ไคล์ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบของน้ำตาล ในคำพูดนั้นก็ไม่ได้มีอะไรชวนหงุดหงิดหรอก แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิด เหมือนเธอกำลังเล่นตลกกับเขาอยู่
ส่วนน้ำตาล ขณะที่เธอตอบเธอก็เหลือบมองเขาไปด้วย เมื่อเห็นอาการไม่พอใจของไคล์ เธอก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แล้วจะให้เธอตอบว่าไงล่ะ ให้บอกเพื่อนใหม่ของเธอว่าเขาคือคนที่เธอชวนขึ้นเตียงอย่างนั้นเหรอ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
[สวัสดีครับ อ๋อครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ] ซีห่าวมีท่าทีร้อนใจ
“ฮันนี่ ผมต้องกลับโรงพยาบาลตอนนี้ พอดีมีอุบัติเหตุหมู่ คนไข้ต้องรับการผ่าตัดด่วนซึ่งหมอผ่าตัดมีไม่พอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
“ขอโทษที่ไม่ได้ไปส่งนะ คราวหน้าผมจะไถ่โทษด้วยการเลี้ยงข้าว” เขารู้สึกผิดต่อน้ำตาล ที่ต้องมาทิ้งให้เธอกลับเองแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ครับ ผมเสียใจจริง ๆ นะ”
“คุณต้องรีบไปผ่าตัดไม่ใช่เหรอ คนไข้นอนรออยู่นะ”
คำพูดของไคล์ทำให้น้ำตาลและซีห่าวหันไปมองพร้อมกัน น้ำตาลตกใจที่คนอย่างเขามาพูดประโยคแบบนี้กับคนที่ไม่เคยรู้จัก ส่วนซีห่าวรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกำลังโดนไล่ยังไงยังงั้น
“กลับถึงห้องส่งข้อความบอกผมด้วยนะ”
“ได้ค่ะ”
ซีห่าวเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งไคล์กับน้ำตาลยังคงยืนอยู่ที่เดิม ทั้งสองมองตามไปจนซีห่าวลับสายตา
“เขารู้หรือเปล่าว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอชวนฉันขึ้นเตียง” ไคล์เริ่มประโยคหลังจากที่พวกเขาเหลือกันอยู่สองคน
“...” น้ำตาลทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเลือกที่จะเดินออกไปจากตรงนั้น
“เขารู้หรือเปล่าว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอจูบกับฉัน”
“...”
“เขารู้มั้ยว่าเธอ...” เขาไปยืนขวางหน้าเธอไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“ถอยออกไปนะ” มือเล็กดันอกของไคล์ให้ออกห่างจากตัว
“ทำไม ยังไงเราก็คนเคย ๆ ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว เธอไม่ต้องมาทำหวงตัวหรอก แสดงความต้องการของเธอออกมาสิ วันนี้ฉันอาจจะตามน้ำไปกับเธอก็ได้”
“คุณพูดบ้าอะไร”
“เธอกำลังเล่นตลกอะไร เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งขอนอนกับฉัน แต่วันนี้กลับมาควงหมอเนี่ยนะ ใจง่ายชะมัด”
“ไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องพูด”
“หรือไม่จริง”
“ยิ่งคุณพูด มันจะยิ่งทำให้ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังหึง” แวบหนึ่งเธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แม้ว่ามันมีโอกาสเป็นศูนย์ก็เถอะ
“ฉันเนี่ยนะหึงเธอ ฮ่า ๆ ๆ” เขาหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว “เราเป็นอะไรกันเหรอ”
“นั่นสิ เราเป็นอะไรกัน ทำไมคุณถึงเอาแต่พูดประชดประชันฉัน”
ไคล์หุบยิ้มลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำ มันบ้ามาก ๆ ที่เขาแสดงท่าทางแบบนั้นออกไป ไหนจะหัวเราะออกมาอย่างนั้นอีก
“ฉันขอตัวนะคะ” น้ำตาลแยกตัวออกมาทันที โดยไม่รอว่าไคล์จะมีท่าทียังไง เธอเดินไปตามทางจนเจอทางออกอีกทาง
มีเพจหนึ่งอธิบาย 5 เทคนิคเล่นตัวเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชายไว้อย่างละเอียด โชคดีที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเปิดเจอ ไม่ผิดเลยสักนิดที่เขาพูดว่าผู้ชายมักจะมีสัญชาตญาณความเป็นนักล่าในตัวสูง ยิ่งหนีมากเท่าไหร่ก็จะปลุกสัญชาตญาณความเป็นนักล่าในตัวของเขาได้มากเท่านั้น
หมั่บ!!
นั่นไง! แมวน้อยอย่างเขากำลังติดกับ
น้ำตาลหันไปยิ้มให้คนที่เข้ามาจับไหล่ของเธอ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็หุบลงและกลายเป็นดวงตาคู่สวยที่กำลังเบิกกว้างเพราะอาการตกใจ
“กรี๊ด!!” เธอร้องสุดเสียงเมื่อมีชายแปลกหน้ากำลังพยายามใช่ผ้าเช็ดหน้าโปะไปที่หน้าของเธอ เธอกลั้นหายใจไม่ยอมสูดดมเข้าไป มือก็ปัดป่ายจนผ้าในมือของผู้ชายคนนั้นหล่นลงไปบนพื้น
“อยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากตาย”
“ช่วยด้วย...อุ๊ป”
ตุบ!!
ตุบ!!เท้าข้างหนึ่งถูกประทับไปบนแผ่นหลังของชายแปลกหน้า มันล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของน้ำตาล เธอหันมองเจ้าของเท้า เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาคว้ามือของเธอไว้แล้วออกวิ่งปัง!!เสียงปืนดังตามหลังหนึ่งนัด แต่สองคนยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของน้ำตาล จำไม่ให้เธอวิ่งเร็วได้ยังไง ในเมื่อคนที่วิ่งนำหน้เธออยู่เขาจับแขนเธอไว้แน่นแล้วกระชากจนเธอปลิวไปตามแรงของเขา เท้าของเธอแทบจะไม่แตะพื้นด้วยซ้ำ“แฮ่ก ๆ ๆ คะ...คุณ” น้ำตาลพยายามดึงมือของไคล์ไว้ “ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”“อยากตายก็หยุดสิ” เขาประชด ในสถานการณ์แบบนี้ยังกล้ามาบ่นอีก“ทำไมคุณไม่ยิงสวนกลับไปบ้างล่ะ”“ไม่”“คุณเป็นมาเฟียไม่ใช่เหรอ” น้ำตาลพูดโพล่งออกไป เวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าอะไรที่สมควรพูดออกไป แต่การที่มาเฟียอย่างเขายอมให้อีกฝ่ายไล่ยิงอยู่ฝ่ายเดียวก็คงเป็นเรื่องที่แปลกจนเกินไปปึก!!น้ำตาลชนเข้ากับหลังของไคล์อย่างจัง เพราะเขาหยุดโดยไม่ได้บอกเธอ“ใครบอกเธอ ว่าฉันเป็นมาเฟีย” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย“ฉันเดาเอาน่ะ ก็ฉันเห็นคุณมีบอดี้การ์ดนี่นา คนธรรมดาที่ไหนจะจ้างบอดี้การ์ด” น้ำตาลโกหกเพื่อเอาตัวรอด เธอจะบอกเขาได
หลังทานอาหารเสร็จไคล์ก็ขับรถตามคนทั้งสองไปจนถึงสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเขาเลยไม่ลังเลที่จะเลี้ยวเข้าไปจอด โดยไม่ได้สนใจว่ารถอีกคันที่เขาตามมาจะขับไปทางไหนสองสามครั้งที่เขาเคยมานั่งเล่นกับคนรักที่นี่หลังทานอาหารเสร็จ เหมือนตอนนั้นจะเป็นช่วงที่เพิ่งคบกันใหม่ ๆ เธอมักจะบอกว่าเธอชอบมาที่นี่กับเขา เมื่อความคิดถึงมันเอ่อล้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาใครคนนั้น‘พอดีว่าฉันยุ่งอยู่ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า’ นี่คือประโยคแรกจากคนปลายสาย และเป็นประโยคที่ช่วงหลัง ๆ มานี่เขาจะได้ยินมันบ่อย“ผมแค่คิดถึงคุณ”‘ขอฉันออกไปคุยโทรศัพท์แป็บนึงนะคะ’ ดูเหมือนเธอจะบอกใครบางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะพูดกับไคล์ต่อ ‘พอดีฉันออกมาทานข้าวกับเพื่อนค่ะ’“ครับ”‘ว่าแต่คุณมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ปกติคุณไม่ค่อยโทรมาเวลานี้’ไคล์นิ่งไป จริง ๆ แล้วเวลานี้ที่เขามักจะโทรหาเธอต่างหาก แต่ทุกครั้งที่โทรไปเธอก็มักจะบอกกับเขาว่าไม่สะดวกคุยค่อยโทรมาตอนดึก พอตอนดึกเขาโทรไปอีกครั้งเธอก็มักจะบอกว่าเรียนหนัก เธอเลยเพลียเลยจะเข้านอนแล้ว“ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแล้วนะ”‘อ๋อ เหรอคะ ฉันเรียนหนักจนลืมไปเลย’“ปีนี้คุณจะกลับมาหรือ
โรงพยาบาลประตูห้องตรวจถูกเปิดโดยพยาบาลสาว เธอผายมือให้คนไข้เดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเบามือ“สวัสดีครับ”“สวัสดีค่ะ”วันนี้น้ำตาลมาหาหมอตามใบนัด เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าหมอจะนัดเธอมาทำไมอีกทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันที่แล้วคุณหมอคนนี้เป็นคนบอกเธอเองว่าไม่มีอะไรน่ากังวล“เชิญนั่งก่อนครับ” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองดูคนไข้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณค่ะ” น้ำตาลนั่งลงตรงเก้าอี้“อาการดีขึ้นมากแล้วใช่มั้ยครับ”“ใช่ค่ะ” เธอตอบออกไป “เรียกว่าหายดีแล้วก็ว่าได้ค่ะ”“โชคดีจังครับ เอาเป็นว่ายาที่หมอให้ไปก็ทานให้หมดนะครับ แม้จะหายแล้วก็เถอะ ส่วนวันนี้หมอแค่นัดมาติดตามอาการของคนไข้เท่านั้น”“ห๊ะ” น้ำตาลอ้าปากค้าง นัดเธอมาแค่นี้อย่างนั้นเหรอ เหตุผลแค่นี้จริง ๆ เหรอ“วันนี้คุณต้องไปทำงานมั้ยครับ”“ไม่ค่ะ ฉันว่าจะเริ่มงานพรุ่งนี้” เธอตั้งใจไว้แบบนั้น“ดีจัง งั้นวันนี้ช่วยไปทานข้าวกับผมได้มั้ยครับ”“จะดีเหรอคะ คนไข้ของคุณนั่งรออยู่ด้านนอกเยอะเลยนะ”“คุณรอผมได้หรือเปล่าล่ะ” ซีห่าวรอคำตอบอย่างมีความหวัง“ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ละคะ”“คุณมีนัดแล้วเหรอ”“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่อยากรบกวนเวลาของคุณ” จริง ๆ
วันต่อมาน้ำตาลลองไปโรงพยาบาลตามที่หมอแนะนำ เพราะเมื่อตอนดึกเธอรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ ถ้าอาการป่วยยังรุมเร้าอยู่แบบนี้ รับรองว่างานของเธอไม่มีทางคืบหน้าแน่ ๆ[คุณเองเหรอ]“...”[คุณจำผมได้หรือเปล่า]“...”“อ้อจริงสิ คุณคงไม่เข้าใจภาษาของผม” สายตาของหมอโฟกัสไปที่ประวัติคนไข้อีกครั้ง“คุณรู้ได้ยังไง” น้ำตาลแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็พูดภาษาที่เธอฟังออกขึ้นมา“ก็ที่คุณระบุในนี้” เขาชี้ไปที่แฟ้มประวัติคนไข้ “คุณไม่ใช่คนที่นี่สินะ”“อ๋อ” น้ำตาลโล่งใจ เธอเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าตัวเองกำลังกรอกประวัติอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐที่ประเทศไทยซะอีก“ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมวันนั้นคุณถึงไม่ยอมคุยกับผม”“...” น้ำตาลไม่ได้พูดอะไร เธอนึกไม่ออกว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร แต่ว่าหมอคนนี้เป็นคนอัธยาศัยดีจัง เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาเขาก็พูดไม่หยุดเลย“สรุปว่าคุณจำผมได้หรือเปล่า”“คุณรู้จักฉันเหรอ”“คิดไว้แล้ว ว่าคุณคงจำผมไม่ได้”“...” น้ำตาลเอียงหน้ามอง ดูยังไงเธอก็ไม่คุ้นหน้าเขาเลยสักนิด“เราเคยเจอกันวันนั้นไง วันที่ฝนตก”“ฝนตก...” เธอทวนคำ“อือ...หึ”น้ำตาลทำท่าครุ่นคิด ตั้งแต่มาที่นี่ เธอนึกไม่ออกว่าเธอเคยมีโอกาสได้เจอผ
[สวัสดีครับคุณไคล์]เจ้าของชื่อก้มมองคนที่ยืนแนบอกของเขาก่อนที่จะปรายตามองคนที่เอ่ยทักทายเขา“คุณ” น้ำตาลเรียกเขาสั้น ๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปเห็นหน้าเจ้าของร่างกำยำที่เธอถอยหลังชน ไม่รู้ว่าเขาเดินมาทางที่เธอยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะก่อนหน้าเธอเอาแต่เถียงกับผู้ชายไร้มารยาทคนนี้จนลืมสังเกตน้ำตาลหันไปเผชิญหน้ากับเขา แต่ก็ไม่กล้าสู้หน้าเขาตรง ๆ เพราะเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนยังปรากฏอยู่ในหัว เธอจึงทำทีเสมองไปทางอื่น[เธอบอกว่าเธอเป็นแฟนของคุณ]ไคล์ตวัดสายตามองหญิงสาวทันที มันจะมากเกินไปแล้ว เธอกำลังทำให้เขาเสื่อมเสีย เพราะลูกค้าประจำของที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักแฟนของเขา ผู้หญิงคนนี้ยิ่งนับวันยิ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขา“...” น้ำตาลหลุบตาต่ำลง เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นบอกอะไรกับเขา ถ้าเกิดบอกทุกอย่างที่เธอแอบอ้างไปล่ะ แล้วเธอจะทำยังไง เขาต้องโกรธเธอมากแน่ ๆเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามรูขุมขน เธอรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แปลก ๆ ไม่รู้เป็นเพราะอาการป่วยที่ยังไม่หายดี หรือแอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไป หรือแท้ที่จริงแล้วเธอกลัวคนตรงหน้ากันแน่มือที่จับขอบโต๊ะกำแน่น ดูเหมือนตัวเธอจะโงนเงนไปมาจนเจ้าของร่า
เวลา 22.00 น.เจ้าของขาเรียวก้าวผ่านประตูเข้าไปในไนต์คลับ ผู้คนในเวลานี้ดูหนาแน่นขนัดตา เธอมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเป้าหมาย แต่แล้วก็ไม่เจอ โชคดีที่ยังมีที่ว่างพอให้เธอได้แทรกตัวแล้ววางก้นลง[รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ] พนักงานหนุ่มเดินเข้ามาถามทันทีที่เห็นเธอนั่งลง“คุณพูดภาษาอังกฤษกับฉันได้หรือเปล่า” เธอเริ่มจะชินกับสถานการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น คงเป็นเพราะเธอเป็นคนเอเชียเหมือนกับพวกเขา โดยลักษณะทั่วไปของเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากหญิงสาวชาวจีนมากนัก เลยไม่มีใครเอะใจว่าเธอไม่ใช่คนที่นี่“ครับ” พนักงานพยักหน้าเบา ๆ “ไม่ทราบว่าคุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”น้ำตาลก็นิ่งคิด เธอกำลังคิดว่าเธอจะสั่งอะไรมาดื่มดี ผู้หญิงที่เอาแต่ทำงานไม่ดื่มเหล้าไม่เข้าผับแบบเธอควรสั่งอะไรมาดื่มดี“อะไรก็ได้ที่เบาที่สุดค่ะ”เพราะยังไม่หายป่วยเวลานี้เธอจึงไม่ควรดื่มด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะอย่างน้อย ๆ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเขาเธอจะได้กล้าพอที่จะชวนเขาขึ้นเตียงแบบไม่รู้สึกกระดากปาก เพราะทุกครั้งสติของเธอครบถ้วนเธอมักจะทำมันพลาดอยู่เสมอ“ได้ครับ”น้ำตาลนั่งรอไปเรื่อย เวลานี้เป้าหมายของเธอก็ยังไม่ปรากฏตัว จากหนึ่งแก้วเป็นสองแก้ว และตามด้วย