ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...
[พาร์ท : ฉลามดุ]
ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้
[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน
“...”
[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]
ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วย
วันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย
“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”
[อะ... อื้อ]
“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย
[อื้อ]
“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”
[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]
“...”
[จะไม่รอจริงๆ นะ]
“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว่าเธอจะไปทำเสียงหวานแบบนี้กับคนอื่นก็หงุดหงิดลึกๆ
[ทะ... ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเหรอ] แต่เพราะเสียงผมมันดูหัวเสียไปหน่อยมั้ง เธอก็เลยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แถมยังติดอ่างเหมือนจะผิดหวังหรืออะไรสักอย่าง แต่ผมแม่งโคตรอยากจะบอกเลยว่ามันตรงกันข้าม
ผมจะบ้า
“ชอบดิ”
[...]
“แล้วก็อยากให้เธอพูดแบบนี้แค่กับเราคนเดียวด้วย” ผมพูดไปตามตรง ไม่รู้หรอกว่าเธอจะไปไม่เป็นหรืออะไรยังไง ผมก็แค่ไม่อยากโกหกว่าตัวเองรู้สึกยังไงก็แค่นั้น “แต่ได้ยินแล้วไม่โอเคไง รู้ปะ... เรากลัวว่าเราจะไม่ทำแค่ไปส่งเธอเฉยๆ”
[หะ... หา?]
“เรากลัวจะเผลอหน้ามืด ก็แบบว่า... ฮะๆ” ผมพยายามเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วนะ แล้วปลายสายก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นิ้งจะเลือกที่จะตัดบทผมเสียงแกว่งๆ เหมือนเธอจะเขินมากจนพูดกับผมต่อไม่ได้ อันนี้ผมคิดเอาเอง
[วะ... วางแล้วนะ รีบมานะ]
“ได้ เจอกัน” ผมไม่ซีเรียสหรอกถ้าเธอจะวางสายตอนนี้ เพราะอีกเดี๋ยวก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี ผมรอจนเธอกดวางสายไป ก่อนที่จะเอามือมาปิดหน้าตัวเองแล้วทึ้งหัวอย่างแรง
รุนแรงชิบหาย... นิ้งนี่เป็นบุคคลอันตรายต่อหัวใจผมจริงๆ ว่ะ
“ตาสว่างเลยกู” ผมผุดลุกออกไปจากเตียง แต่พอนึกถึงหน้าเธอที่มองหน้าผมเมื่อวาน ผมก็เซจนไปชนกับผนัง เอาหัวโขกมันแรงๆ เมื่อรู้สึกว่าหน้าชาเพราะคิดเองเขินเองซะงั้น ตอนแรกก็คิดว่าป่วย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นภูมิแพ้
ภูมิแพ้นิ้ง
เน่ามั้ย? เออ เน่าดี
ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ
ตอนเดินออกมาก็ก้มลงมองนาฬิกาในโทรศัพท์นิดหน่อย เห็นว่ายังไม่สายมากผมก็เลยคว้ากุญแจรถบนหลังตู้เย็น แล้วรีบเดินเร็วๆ สับเท้าลงบันไดหนีไฟลงมาด้านล่าง
ผมมองเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองทันทีพอเดินเข้ามาในลานจอดรถ แต่พอดีวันนี้ผมมารับนิ้งด้วยอะไรที่ใหญ่กว่านั้น ก็เลยเดินเลยไปที่รถออดี้ของไอ้พัสที่ยืมมาพร้อมกับเข้าไปสตาร์ทรถ ซึ่งปกติผมเป็นคนขับรถเร็วทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ แต่ดูท่าวันนี้คงต้องลดความเร็วลงหน่อย
จะเพราะใคร? ก็น้องนิ้งของผมไง
ขับออกไปก็เปิดเพลงในรถไปด้วย ซึ่งปกติผมชอบฟังร็อค เมทัลลิก้า หรือเพื่อชีวิตอะไรทำนองนี้ แต่วันนี้สงสัยต้องเปิดเพลงสบายๆ ฟังซะแล้ว ก็เพราะอีกฝ่ายน่าจะชอบฟังอะไรนุ่มๆ มากกว่าล่ะนะ
ผมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ขับปาดคันนู้นคันนี้ไปตามความเคยชิน เอาน่า... ไหนๆ ตอนนี้นิ้งก็ไม่อยู่ ก็ทำสันดานปกติไปก่อน รอให้นิ้งมาปราบผมอีกทีตอนเข้ามานั่งในรถก็ได้
แต่เออว่ะ เพื่อนเธอก็เข้ามานั่งด้วย ไม่ได้มีแค่เธอกับผมนี่
แต่แล้วไงวะ ผมไม่ได้แคร์นักหรอก
ผมฮัมเพลงแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนกระทั่งเห็นตัวหอพัก เอาจริงๆ มันก็ใกล้กับคอนโดของผมอยู่ไง แต่หอพักของเธอมันดูเป็นสไตล์โมเดิร์นหน่อยๆ แล้วติดกับถนนใหญ่เลย ซึ่งต่างกับคอนโดผมที่ค่อนข้างเก่า ที่ดูก็รู้เลยว่าครอบครัวเธอน่าจะมีฐานะ
แต่เธอก็ยังยอมคุยกับผู้ชายปอนๆ อย่างผม ยอมให้โอบ ยอมให้กอด เหมือนนิ้งไม่ได้รังเกียจผู้ชายอย่างผมเลย
ผมอยากเป็นแฟนเธอ อยากให้เธอเป็นของผมไวๆ จังวะ
แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหน ถ้าเกิดนิ้งยังน่ารักขึ้นทุกวันแบบนี้
ผมขับตรงเข้ามาจนมาถึงหน้าหอพัก แล้วเปิดกระจกรถเมื่อเห็นคนตัวเล็กๆ ในชุดนักศึกษาที่หน้าเหวอขึ้นมาพอเห็นผมโผล่หน้าออกมาแล้วฉีกยิ้มให้เธอ เพื่อนที่ชื่อส้มหวานก็โบกมือให้ผมเหมือนกัน เธอมองรถผมแล้วดูตื่นเต้น
“นิ้ง! ขึ้นรถเร็วๆ” เพื่อนเธอพูดแล้วเดินไปลากนิ้งที่ไม่กล้ามองหน้าผมขึ้นมา เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เพราะเธอเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออกมาแล้วผลักคะนิ้งที่ยืนทำหน้ามึนงงเข้ามาข้างใน แล้วปิดประตู
ระหว่างที่ส้มเปิดประตูมานั่งข้างหลังผม ผมก็กดเปลี่ยนเพลงแล้วฉีกยิ้มให้คะนิ้งที่นั่งมองหน้าผมเอ๋อๆ แต่โคตรน่ารักเลย ละลายไปหมดแล้วครับ
“ไม่คาดเข็มขัดเหรอ?” ผมถาม พยายามสะกดใจไว้ไม่ดี๊ด๊ามากจนเกินเหตุ แล้วเธอก็เบิกตาโตแล้วหันไปหาเข็มขัดอย่างลนลาน แต่เพราะมันไม่ทันใจผมก็เลยขยับตัวเข้าไปใกล้คะนิ้งจนได้กลิ่นหอมๆ เหมือนมันเป็นกลิ่นแชมพู สบู่ แป้งเด็ก อะไรทำนองนี้ ผมหรี่ตาลงมองคอเสื้อของเธอในขณะที่ติดเข็มขัดนิรภัยให้ แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
เพราะเธอตัวเล็ก คอเสื้อมันเลยกว้าง กว้างจนผมเห็น...
“แม่ง” ผมสบถออกมาแล้วก็หน้าร้อนอยู่คนเดียว คะนิ้งมองหน้าผมอย่างหวาดๆ เล็กน้อย เธอหันไปมองด้านหลัง แล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอมองอะไร เพราะส้มหลับอยู่ ผมก็เลยพูดออกมาในขณะที่ขับรถออกไปจากบริเวณหอพักของเธอ “เสื้อเธออ่ะ... มันเปิด”
“อะ... เหรอ จริงเหรอ” เธอทำตาโตแล้วก็ลนลานเอามือปิดคอเสื้อของตัวเอง ผมเหลือบมองแล้วกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็แทบจะทุบพวงมาลัยรถเมื่อรู้สึกว่าจะกลืนน้ำลายทำไมวะ คิดอะไรของมึงอยู่ มาคิดอะไรตอนนี้! “ขอบคุณนะ”
“อ่า... ไม่เป็นไร”
“...”
“เราแค่หวงเธอเฉยๆ” พอพูดจบหน้าของคะนิ้งก็แดงเถือกไปจนถึงลำคอ ผมเหลือบมองแล้วก็อยู่ดีๆ ก็เกิดเขินตามเธอไปด้วย ก็ผมเผลอมองคอเธอแล้วมัน...
“ถ้าเธอไม่เปลี่ยนเสื้อให้เป็นไซส์ดีๆ ล่ะก็เราจะโกรธแน่คอยดู...” ผมพึมพำอยู่คนเดียว แล้วก็เห็นว่าคะนิ้งมองไปข้างหลังอีก แล้วจู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองผมนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำที่ผมพูดไปเมื่อกี้เลยสักคำ
ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยปกติของคะนิ้งไง ผมก็เลยหันกลับมาสบตาเธอบ้าง “มีอะไรนิ้ง?”
“คะ... คือนิ้ง” คะนิ้งอึกอัก ตาเธอก็ล่อกแล่กมองซ้ายมองขวาเหมือนคิดอะไรอยู่ “เย็นนี้... มารับนิ้งด้วยได้มั้ยคะ”
ผมเบิกตากว้าง
แทนตัวว่านิ้งอีกแล้วว่ะ ชอบชะมัด
“ได้” ผมตอบรับไป ทำใจให้นิ่งไว้ไอ้เสือ “แล้วมีอะไรอีกมั้ย?”
ผมไม่มีสมาธิขับรถแล้วว่ะ เพราะเธอเนี่ย
“ก็...” คนตัวเล็กทำสีหน้าครุ่นคิด “ถะ... ถ้าวันไหนฉลามว่าง”
“...”
“พานิ้งไปซื้อของทำรายงานด้วยนะ” ผมมองหน้าหวานๆ ของเธอไม่ละสายตาแบบแทบจะไม่ได้หันไปดูถนนข้างหน้าเลย แล้วก็โชคดีที่มันติดไฟแดงอยู่ ผมก็เลยเห็นนิ้งที่หน้าแดงขึ้นทีละระดับได้หมด
นิ้งอ้อนผมเหรอ เธอกำลังอ้อนผมอยู่ใช่รึเปล่า
“นิ้ง...” ผมพูดขึ้นมา ไหนๆ ก็ติดไฟแดงแล้วผมก็ “งั้นหลามขอไรอย่างดิ”
“อะ... อะไรเหรอ?” นิ้งมองหน้าผมอย่างสงสัย แล้วจังหวะนั้นผมก็เคลื่อนตัวเข้าไปหาเธอแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะที่แก้มของเธอเบาๆ
เธออยากทำตัวน่ารักเองนะ ช่วยไม่ได้
“ขอหอมทีได้มั้ย”
“อะ... อะไรนะ” คนตัวเล็กแทบผงะแล้วทำตาโตทันที แววตาของเธอสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ซึ่งผมก็แทบจะตบปากตัวเองแรงๆ สักทีเมื่อลืมไปว่าตัวเองจะอดทนแล้วคะนิ้งพูดอะไรไว้ก่อนหน้านั้น เธอดูเหมือนคนไม่เคยมีแฟนมาก่อน แล้วก็ดูไม่คุ้นเวลาอยู่กับผู้ชาย
ผมต้องให้เวลาเธอดิวะ ไม่ใช่มาเร่งเธอแบบนี้
“ขอหอมสักที” ผมพูดกับเธอ ไม่สนว่าเพื่อนเธอจะอยู่บนรถหรืออะไร ไฟแดงยังไม่เปลี่ยนสี แล้วเวลาก็ยังเหลืออีกเยอะแยะ และผมคงทนไม่ไหว ผมชอบเธอมาก แล้วผมก็เก็บอารมณ์ไม่เก่งด้วย “นะนิ้ง”
นิ้งเลิกลั่กไปหมด เธอหน้าแดงสุดๆ อย่างคนที่กำลังเขินจัดจนทำตัวไม่ถูก จนผมอยากจะจับเธอหอมแล้วขอเป็นแฟนซะตอนนี้ แต่พอเห็นว่าผมเข้าไปใกล้อีกแล้วเธอก็สะดุ้งอย่างตื่นกลัวสุดๆ ผมก็เลยตัดสินใจที่จะ...
อดทนต่อก็ได้
“เราพูดเล่น” ผมพูดสั้นๆ แล้วกัดฟันลากใบหน้ากลับมาที่เดิม ไฟเขียวมาพอดี ผมก็เลยขับไปด้านหน้าอย่างรีบเร่ง ปาดคันนู้นคันนี้ทีไปตามแรงอารมณ์
ผมสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอที่มองผม คนตัวเล็กหน้าแดงเถือกแล้วก็เอามือมากุมคอเสื้อไว้แน่น ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะกลัวผมรึเปล่า แต่ที่ผมทำไปไม่ใช่ว่าผมไม่จริงใจแล้วหลอกแต่จะแอ้มเธอนะ
ผู้ชายคนอื่นผมไม่รู้หรอก แต่มันไม่ใช่กับผม
ผมจริงใจกับเธอมาก แล้วที่ผมอยากกอดเธอ อยากจูบเธอก็เพราะผมเป็นคนไม่ชอบเก็บความรู้สึก ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมเก็บอารมณ์ไม่เก่งเอาซะเลย
มันเคยทนได้ แต่พอเป็นนิ้ง เธอก็เหมือนมาทำลายข้อจำกัดทุกอย่างของผม
ผมคงต้องอดทนมากกว่านี้ เพราะเธอเป็นแบบนี้ ผมจะวู่วามจนเผลอไปคุกคามเธอไม่ได้
“ละ... ล้อเล่นเหรอ” เธอทวนเสียงเบาหวิวเหมือนความรู้สึกดีเลย์ ผมเหลือบไปมองนิดหน่อย แล้วก็เห็นว่านิ้งกำลังน้ำตาคลอ
ผมเบิกตากว้าง เธอร้องไห้ทำไม?
“นิ้ง เป็นไร” ผมถามเธออย่างตกใจ แล้วอยู่ดีๆ คนตัวเล็กก็เอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเหมือนเด็กๆ “นิ้ง ร้องไห้ทำไม”
“ทำไม... ถึงชอบเอาความรู้สึกเรามาล้อเล่นล่ะ” เธอพึมพำออกมาแล้วสะอื้นตบท้าย แล้วผมก็หันไปมองด้านหลังเพราะจำได้ว่าพาเพื่อนเธอมาด้วย แล้วก็เห็นว่าส้มนอนหลับไม่รู้เรื่อง
สรุปก็คือผมทำนิ้งร้องไห้เหรอวะ
ผมรีบเคลื่อนตัวรถไปจอดเทียบกับฟุตบาท แล้วเปิดเก๊ะรถดึงทิชชู่ส่งให้นิ้ง เธอไม่ได้รับมันไปแล้วเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเหมือนขวัญเสีย
ทำไงดีวะ
“นิ้ง ร้องไห้ทำไม เรื่องที่เราบอกว่าเราจะหอมเธอเมื่อกี้เหรอ?” ผมถามอย่างลนลาน แล้คนตัวเล็กก็สะอื้นไม่สนใจผม เหมือนเธอกำลังโกรธอยู่ด้วย “เราแค่ล้อเล่น เราไม่เร่งเธอหรอก”
“อย่าล้อเล่นแบบนั้นอีกนะ” เธอพูดกับผมด้วยตาแดงๆ แล้วผมก็เอื้อมมือไปจะเช็ดน้ำตาให้ แต่เธอก็หันหน้าหนี “ไม่เอา เราเช็ดเองได้”
เฮ้ย นี่คือนิ้งตอนกำลังโกรธเหรอวะ พยศสุดๆ
“เราขอโทษ เรา... จะพูดไงดีวะ” ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีเลยว่ะ “แต่เราไม่ได้...”
“... ถ้าไม่ได้จริงจังตั้งแต่แรกก็อย่ามาจีบสิ” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอพูดว่าอะไรนะ “ฮึก ตอนแรกก็คิดว่าจะจริงจังกับหนู แต่จริงๆ แล้วเห็นหนูเป็นของเล่นเหรอ”
“จริงจังดิ นิ้งพูดไรเนี่ย” ผมของขึ้นจริงเลยคราวนี้ เธอพูดมาได้ไงวะว่าผมไม่ได้จริงจัง ผมชอบเธอจะตาย ชอบจนอีกนิดจะหายใจเข้าออกเป็นชื่อคะนิ้งอยู่แล้ว “เราแค่ไม่อยากเร่งเธอ”
“...”
“หรือเธอจะให้เราจหอมเธอจริงๆ อ่ะ ทำได้นะ แค่เราทำไม่ลง” ผมแทบบ้า หน้าผมร้อนไปหมดตอนพูดประโยคนี้ด้วยความโมโห แล้วนิ้งก็สงบลงด้วย “นิ้งอาจจะคิดว่าเราชอบฉวยโอกาส เราชอบคุกคาม หรือเราชอบบังคับใจเธอ เรารู้ว่าที่เราทำมันไม่ใช่วิธีจีบที่ดีมากมายเท่ากับผู้ชายคนอื่นที่มาจีบเธอ”
“...”
“แต่เราพูดได้คำเดียวเลยว่าเราแม่งโคตรชอบเธออ่ะ เราโคตรอดทนเพื่อเธอ ก็เธอบอกเองว่าคุยกันไม่เท่าไหร่ เวลาที่เผลอ เราถึงต้องดึงตัวเองกลับมา แล้วเตือนตัวเองไว้ไง”
“...”
“ถามว่าอยากหอมเธอจริงๆ ตามที่พูดไปมั้ย? อยากดิวะ แต่เธออยากได้เวลาถูกปะ เราก็ให้อยู่”
“...”
“แต่ทำไมต้องพูดอย่างงี้วะ ดูถูกความรักของเราชิบหายเลย” ผมระเบิดอารมณ์ออกมาตรงๆ คนตัวเล็กเงียบไปทันที เธอหยุดร้องไห้ทันที แล้วผมก็ขับรถไปข้างหน้าต่อโดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่ออีก
จนถึงมหาลัย ส้มหวานเพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นตอนนั้น เธอดูเหมือนไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับคะนิ้ง ร่างเล็กเหลือบมองผมตอนที่ดันส้มลงมาจากรถ แต่ผมไม่ได้มองเธอกลับ
ผมไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่เรื่องอารมณ์น้อยใจมันห้ามกันไม่ได้
ทำไงวะ ก็ชอบไปแล้วอ่ะ ทำใจโกรธไม่ลงหรอก
จนถึงเวลาเลิกเรียนของนิ้ง พอผมเรียนเสร็จก็รีบออกมาเลย ถึงผมจะน้อยใจแต่ก็มารับเธอตามที่เธอขอไว้ก่อนหน้านั้นจริงๆ
คิดดูดิ แล้วมาบอกว่าผมไม่จริงจัง ผมมองเธอเป็นของเล่น ผมยอมทำขนาดนี้ยังคิดว่าไม่จริงจังอีกเหรอ
จนมาจอดรถรอได้ไม่นานนักผมก็เห็นเธอ คะนิ้งยืนอยู่หน้าประตูมหาลัย เธอไม่ได้มากับส้มหวาน แล้วก็ดูเหมือนจะมองรถผมด้วยสีหน้าตื่นกลัวหน่อยๆ ก่อนที่จะเดินมาอย่างระแวดระวัง
แกรก
จนกระทั่งเธอเปิดประตูเข้ามาแล้วจ้องหน้าผมหน้าวีดๆ ผมก็เลยไม่พูดอะไร ไม่มองหน้าเธอด้วย จนเธอมองซ้ายมองขวาอย่างอึดอัด ผมก็เลยถามสั้นๆ
“เพื่อนเธออ่ะ?” คะนิ้งชะงักไป เธอสบตากับผม แล้วก็ตอบเสียงตะกุกตะกัก
“เอ่อ... ส้มมีธุระกับที่คณะน่ะ” เธอพูดกับผมด้วยเสียงที่โคตรเบา ผมก็เลยไม่ถามอะไรต่อ หน้าแม่งร้อนไปหมดเลยกู ผมแม่งน้อยใจจนขึ้นหน้าเลยว่ะ สังเกตได้สักพักแล้วว่านิ้งมองผมนานมาก จนเธอตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
“ฉลาม” เธอเรียกชื่อผม
“...”
“... คาดเข็มขัดให้นิ้งหน่อยค่ะ” ผมเหลือบมองเมื่อเธอพูดลงท้ายว่าค่ะกับผม แล้วก็เห็นว่าเธอหน้าแดงไปหมดเหมือนเธอจะไม่ชินที่พูดแบบนั้น
นิ้งง้อผมเหรอ? หรืออะไรวะ
แต่สุดท้ายผมก็เอี้ยวตัวไปคาดให้เธออย่างว่าง่าย แต่สีหน้าผมก็ยังตึงๆ อยู่
จนผมหันกลับไป แล้วขับรถออกไปข้างหน้าต่อ นิ้งก็ยังมองผมอยู่จนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอง้อผมอยู่จริงๆ เหรอวะ แต่เธอก็ไม่ได้ดูมีใจให้ผมขนาดนั้นนะ เธอกลัวผมจะตายไม่ใช่เหรอ
“ฉะ... ฉลาม” เธอเรียกผมอีก ผมก็เลยเหลือบไปมองโดยไม่พูดอะไร
“ว่า?”
“ฉลาม... จะเลิกจีบนิ้งมั้ย?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ทำสีหน้าเหมือนห่อเหี่ยวแปลกๆ ก่อนที่จะทำสีหน้าครุ่นคิด อืม... จะอธิบายยังไงดีนะ“ก็... หน้าโหดๆ แต่ขี้อ้อนล่ะมั้ง” ฉันพูดแล้วก็นึกถึงน้องหมาประเภทหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็หลุดพูดออกไป “เหมือนร็อกไวเลอร์ที่นิสัยน่ารักๆ อ่ะ”แต่ฉันพูดแล้วฉันก็งงเองเหมือนกัน ร็อกไวเลอร์ที่นิสัยน่ารักๆ เนี่ยนะ คิดภาพไม่ออกเลย“ใครเป็นร็อกไวเลอร์?”ฉันสะดุ้งทันทีเมื่อทันทีที่พูดออกไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยที่ดังขึ้นด้านหลังเหมือนบังเอิญเข้ามาได้ยินประโยคนั้นพอดี พอหันกลับไปก็เห็นว่าเป็นฉลาม เขากำลังเดินถือขวดอะไรสักอย่างมาหาฉันพร้อมกับถุงอะไรก็ไม่รู้เต็มไม้เต็มมือไปหมดฉันเรียกเขาด้วยท่าทางตื่นๆ “ฉะ... ฉลาม ถืออะไรมาน่ะ”“ขนม” เขาตอบสั้นๆ แล้ววางถุงขนมลงตรงหน้าฉัน “เห็นบอกว่ามีเพื่อนเลยซื้อมาให้เยอะหน่อย”“โห ดีจัง ขอบคุณนะ” ฉันคลี่ยิ้ม ฉลามพยักหน้ารับแล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ ฉันอีกฝั่งที่ไม่มีใครนั่งอยู่ แต่หันหน้าไปทางสนามบาสแทน ฉันก็เลยเหลือบมองขวดในมือของเขา “นั่นอะไรน่ะฉลาม”“เอ็มร้อย” เขาตอบกลับมาทันทีแล้วยกมาจ่อตรงหน้าให้ฉันดู แล้วฉันก็ทำหน้ามุ่ยใส่เขา“มันไม่ดีนะ ไม่ต้องกินแล
ผมซบหน้าลงที่แผ่นหลังของเธอแล้วอ้อน อย่างน้อยก็แก้ตัวที่ทำสันดานแย่ๆ ใส่เธอวันนี้ ร่างเล็กมองหน้าผมเหมือนไม่รู้จะพูดยังไง ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้ากันเหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่เเขนผมคล้องไว้ที่รอบเอวเธอแล้วลูบมันเบาๆตัวก็เล็ก เอวก็เล็ก แฟนใครวะเนี่ย“ตัวฉลามเหม็นเหล้าจัง” เธอเหมือนประชดผมด้วย คะนิ้งทำหน้ามุ่ยตอนที่ทายาให้ผมอีกแล้วแปะพลาสเตอร์ให้ผมอย่างเบามือ โคตรเบา ผมแทบไม่รู้สึก พอโดนต่อยผมก็สร่าง แต่ตอนนี้จะเมาเธอแทน “สะ... เสร็จแล้ว”“เสร็จแล้ว งั้นจูบต่อนะ” ผมแหย่เธอ คะนิ้งทำหน้าเหวอทันที เธอพยายามจะดึงมือผมออก แต่ผมก็ประสานมือเอาไว้ไม่ให้เธอดึงมันออกได้ง่ายๆ“กะ... กลับไปได้แล้ว”“อยากอยู่กับแฟน ไม่ได้เหรอ” ผมสวนขึ้น แล้วคะนิ้งก็เงียบไป“ดะ... ได้ แต่พรุ่งนี้ได้มั้ย” เธอต่อรอง “พรุ่งนี้นะ... ได้มั้ย?”ซึ่งพอเห็นเธออ้อนบ้างผมก็หวั่นไหว ก็เลยพยักหน้าไปอย่างว่าง่าย เออ ตามใจเธอหน่อยละกัน ค่อยรวบยอดทีหลังแล้วถ้าถึงตอนนั้นผมจะไม่ยอมให้นิ้งได้ลุกขึ้นมาห้ามอีกเลย คอยดู[จบพาร์ท : ฉลามดุ]ฉลามมารับฉันตั้งแต่เช้าตอนที่เจอหน้ากันเขาก็ดึงฉันเข้ามากอดนิดหน่อย ฉันหน้าแดงไปหมด รู้
“เฮ้ย! ไอ้หลาม หยุดนะมึง!!”ผมได้ยินเสียงของไอ้วินดังขึ้นข้างหลังตอนที่ผมผลักไอ้เด็กเวรนั่นจนล้มลงไปกองกับพื้น ผมขึ้นคร่อมมันไว้แล้วจะเหวี่ยงขวดเหล้าเปล่าใส่หัวมัน แต่ก็โดนเพื่อนผมกันออกไปก่อน ตอนนั้นในวงเด็กแว๊นพวกนั้นแตก ผมไม่เห็นว่าคะนิ้งทำหน้ายังไงเพราะถูกหิ้วปีกอยู่ แต่สติผมขาดไปแล้ว ในหัวผมมีแต่สิ่งชั่วๆ ที่พวกมันพูด“คนอะไรโคตรขาวจั้วะน่าเจี้ยะเลย นมนี่แบบ ผมอ่ะอื้มมม”“เออว่ะ น่าจับเ*ดสดสักที สวิงกิ้งกันให้หมดทั้งแก๊งเลยดีปะ”สวิงกิ้งเหรอ? อยากสวิงกิ้งกันมากนักใช่มั้ยมึง กูจัดให้เลย!!เพล้ง!!“เฮ้ย!” พวกมันตกใจเมื่อผมโยนขวดเหล้าไปจนเกือบโดนหนึ่งในพวกนั้น อย่าคิดว่าถูกกันไว้แบบนี้ผมจะทำอะไรไม่ได้ ผมได้ยินเสียงของไอ้วินไม่ชัดเพราะผมใช้ศอกกระแทกหน้ามันให้ปล่อยผมออก ตัวผมเซไปนิดหน่อย หน้ามืดเพราะฤทธิ์เหล้า แต่ก็ยังพอมีสติบ้างใครก็ห้ามผมไม่ได้ทั้งนั้นเวลาผมเลือดขึ้นหน้า“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ!!” ไอ้เด็กแว๊นที่ผมจะฟาดหัวมันตวาดลั่นพอลุกขึ้นมาได้ มันโยนเสื้อทิ้งอย่างกร่างๆ ผมเดือดก็เลยถอดเสื้อที่ใส่อยู่เหวี่ยงทิ้งไปบ้าง ให้มันรู้ว่าอย่ามาห้าวกับคนอย่างผมเพื่อนมันทุกคนอึ้งไปแล้วไม่กล้า
หลังจากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินกันใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยของฉัน แต่นั่นยังไม่พอ ฉลามยังพาฉันนั่งรถไปเที่ยวเล่นที่นู่นที่นี่อีก พอขากลับเขาก็ขับรถเล่นอยู่ตั้งหลายชั่วโมง มารู้สึกตัวอีกทีก็หกโมงเย็นแล้วฉันไม่คิดว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ จนกระทั่งเพื่อนของเขาก็โทรมาตามให้เขาไปกินเหล้าด้วยแล้ว ฉันกอดอกมองเขาทันที เเต่ฉลามก็ได้แต่ฉีกยิ้มให้ฉันเหมือนให้ฉันหายโกรธเขาเถอะ เรื่องแค่นี้เอง แล้วขับตรงไปในซอยใกล้ๆ กับมหาลัยที่ฉันเรียนอยู่มันเป็นบ้านที่มีโต๊ะม้าหินอ่อนข้างหน้า แล้วฉันก็เบิกตาโตเพราะจำได้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหนมันคือที่แรกที่ฉลามดุขับขับพาฉันมาเพื่อที่จะขอเบอร์ฉันนี่“เราเคยพานิ้งมาที่นี่ จำได้ปะ” ร่างสูงดับเครื่องแล้วถามขึ้นมาตรงกับสิ่งที่ฉันคิดพอดี ฉันสะดุ้งทันทีเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ อยู่ ก่อนที่จะพยักหน้าหงึกหงัก แต่เขาก็ถามเรื่องอื่นขึ้นมาซะก่อน “ลงได้มั้ยนิ้ง?”“อื้อ ลงได้” ฉันพยักหน้าอีกแล้วทำท่าจะลง แต่ก็ถูกเขาใช้มือทั้งสองข้างยกตัวของฉันขึ้นอุ้มทั้งตัวแล้ววางลงกับพื้นซะก่อน ฉันหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที ยังไงก็ไม่ชินจริงๆ เวลาที่เขามาจับมาอุ้มแบบนี้อ่ะ“เพื่อนเราปากหมาหน่อยนะ
“แต่... บางวันเรามีเรียนเช้ามากเลยนะ” ฉันยู่หน้าแล้วดึงมือของเขาออก ใช่แล้ว บางวันฉันมีเรียนตั้งเจ็ดโมงกว่าๆ แน่ะ ฉันเกรงใจเขาอ่ะ “ฉลามตื่นไหวเหรอ”“เอ้า ไหวดิ เช้าแค่ไหนก็โทรมาเหอะ” เขาพูดอย่างจริงจัง “ต่อให้เธอมีเรียนตอนตีสามเราก็จะตื่นมาส่งอ่ะ เข้าใจปะครับ”ฉันหลุดยิ้มออกมาเลย โห... เขาน่ารักจัง“ขอบคุณนะ” ฉันคลี่ยิ้มหวานให้เขาบ้าง ฉลามมองหน้าฉันนิ่งๆ ก่อนที่ต่อมาเขาจะดึงกระจกหมวกกันน็อคลงมาปิดหน้า แล้วเอียงหน้าลงมาหอมแก้มฉันหนักๆ ผ่านพลาสติกอุ่นๆ จากแดดยามเช้าโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันเบิกตากว้าง หน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะที่ตรงนี้ก็มีคนอยู่ แต่ฉลามไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เขาแค่ลูบหัวฉัน แล้วพูดอะไรบางอย่าง“ตั้งใจเรียนนะนิ้ง จะได้รีบจบมาแต่งกับเราเร็วๆ”“...!”ขะ... เขาพูดเสียงดังด้วยอ่ะแต่ฉันก็ตั้งใจเรียนอย่างที่เขาบอกก่อนที่จะขับออกไปจริงๆ นั่นแหละจนตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าๆ แล้ว ฉันเพิ่งเลิกคลาส แต่ยังไม่ทันเดินออกจากห้องเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันทีว่ามีคนโทรเข้ามา พอยกขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นฉลามเขารีบโทรมาจังนะ กลัวฉันจะหนีกลับก่อนรึไงก็ไม่รู้“ฮัลโหลค่ะ” ฉันกดรับ แล้วเสียงลมก็แท
ฉันว่าฉันคิดดีแล้วล่ะเพราะหลังจากที่ฉันโทรไปบอกฉลามดุว่าจะเป็นแฟนกับเขา ฉลามก็ตัดสายใส่ทันทีเลย ฉันเองก็เขินจนไม่กล้าคุยต่อแล้วเหมือนกัน มันยากนะที่ต้องขอใครสักคนเป็นแฟนก่อนแบบนี้ ยิ่งกับอีกฝ่ายที่เป็นคนแบบเขาด้วยฉันไม่เคยพูด ไม่เคยคบกับใคร ก็เลยอายจนต้องซุกหน้าลงกับหมอนที่ตัวเองกอดอยู่แบบนั้นส้มหลับไปแล้ว เธอเพิ่งได้กลับมาค้างที่ห้องก็วันนี้ แต่เพราะทำกิจกรรมมาหนักก็เลยหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ประตูห้องปิดอยู่ ส่วนฉันก็นั่งอยู่ที่โซฟาข้างนอกห้อง ที่ฉันเงียบไปไม่ยอมคุยกับเขาก็เพราะตอนที่ไปเที่ยวกับเขาฉันมีความสุขมากจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ฉันชอบฉลามดุ แล้วก็ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฉันนั่งทำใจให้หายเขินอยู่นานมาก จนประตูห้องเหมือนถูกใครเคาะ เสียงค่อนข้างดังก็อกๆๆ!ฉันชะงักไป สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นใคร ตอนเปิดประตูออกไปตัวก็แทบจะถลาไปด้านหลังเพราะถูกคนๆ นั้นโถมตัวเข้ามาหาทันทีฉันรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ท่วมตัวเขา ใจเต้นขึ้นมาทันทีพอเห็นว่าเป็นเสื้อยืดที่คุ้นเคย พอเขาผละออก ฉันก็ตกใจที่เห็นว่าเป็นฉลามเขา...“พูดจริงเหรอนิ้ง!” เขาผละออกมาแล้วคว้าไหล่ฉันมาเขย่าทันที ฉันเอ๋อไป ก็พอรู้อยู่นะว่าฉลาม