LOGINความรักของริคที่เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างได้ไม่ทันพ้นสุดสัปดาห์ ตอนนี้มันเปลี่ยนโทนสีจากชมพูหวานแหววกลายเป็นเทาหม่น ริคขับรถกลับมาบ้านอย่างเศร้าสร้อย เขายังไม่รู้สึกดีขึ้นเลยหลังจากส่งซูที่โรงพยาบาลแล้ว เขาไม่คิดแม้แต่จะจอดรถรอเพราะซูก็คงต้องเฝ้าไข้แซมโดยไม่สนใจอะไรเขา หากจะให้บรรยายความรู้สึกตอนนี้อย่างซื่อสัตย์โดยไม่เข้าข้างตัวเอง คงพูดได้ว่าเขามันไม่สำคัญ คงจะดีกว่านี้มากถ้าเรื่องวันนี้เกิดขึ้นก่อนเขาจะตกลงคบหากับเธอ เขาคงพอจะมีโอกาสถอยหลังไปคิดอะไรอีกสักนิดก่อน ริคเป็นคนจิตใจดี ใจเย็น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจทนได้เลยคือการไม่ให้เกียรติกัน และวันนี้เขารู้สึกเหมือนผู้หญิงที่เขาหลงรักทำกับเขาอย่างนั้น เขาเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนอาการของคนอกหัก จะว่าเศร้าไหมก็ใช่ แต่เขาโกรธมากกว่า ใช่ เขาโกรธ
ซูกดโทรศัพท์หาริค... เขาไม่รับสาย แต่ซูกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อหวนคิดเรื่องริคเธอก็รู้สึกเอ็นดูเขามากมายนัก เช้านี้เธอทำตัวแย่กับเขามากแต่เขาก็ยังยิ้มได้ ยังขับรถมาส่งเธอทั้งที่ในใจคงงุนงงอยู่ไม่น้อย ซูอุ่นใจขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าริคยังอยู่ข้างเธอเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอโชคดีแล้วนะซู เพียงได้บอกกับตัวเองอย่างนั้น แววตาของซูก็สดใสขึ้นมา ซูยังคงไม่โทรหาแซม เมื่อได้รู้ว่าแซมปลอดภัยดีจนกลับบ้านได้แล้ว ความห่วงใยก็เริ่มคลาย กลับกลายเป็นโกรธที่แซมไม่บอกกล่าวอะไรกับเธอเลย ซูยังนั่งอยู่ที่เก่า คิดถึงใบหน้าสวยคมของแซมยามเธอขับรถมาหาที่บ้าน แซมจะยืนไขว้ขายืนรอพิงรถคันสีเหลืองเป็นท่าประจำก่อนซูจะเปิดประตูบ้านออกมาหา แซมดูดีเสมอในทุกท่วงท่า ช่วงขายาวๆ ต้นแขนเรียวสวยมาจนถึงปลายนิ้ว ซูเสพติดภาพของแซมเวลาที่แซมต้องก้มลงเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเธอ มันเหมือนแซมเป็นผู้ปกป้อง คอยเฝ้าดูแลอย่างห่วงใยเธอเสมอ เหมือนซูเป็นเด็กน้อยเดียงสา มีพี่เลี้ยงอย่างแซมคอยดูแลกายใจของเธอไม่ห่าง แซมเป็นคนสวย แต่เธอมีอะไรอย่างอื่นอีกที่ซ่อนอยู่ในแววตา สีหน้า วิธีการพูดจา หรือแม้แต่ท่าทางที่เธอเคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากเจอ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งข้องใจ ว่าแซมอยู่ไหน และตอนนี้ทำอะไรอยู่... กับแอนนา
ช่างเป็นวันอาทิตย์ที่น่าเบื่ออะไรอย่างนี้ ริคเดินกลับเข้าบ้านตามปกติเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันหลังจากจอดรถเข้าที่อย่างดีแล้ว เขาถอดรองเท้าออกเหลือแต่ถุงเท้าไว้ เดินตรงเข้ามาทางห้องรับแขกแล้วหยุดกึก
เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งให้เขาได้แต่เป็นรอง ริคมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ เหมือนครุ่นคิดและมองหาอะไรอยู่ เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง สีหน้าของเขาตึงเครียดเหมือนว่าความเศร้าพรากเอาความชุ่มฉ่ำไปจากใจเขาจนเหือดแห้ง ริคกำกุญแจรถไว้ในมือ ใช้ปลายนิ้วดึงมันเข้าหาอุ้งมือราวกับจะไม่ให้ใครมาแย่งมันไปไหน เขาหันกลับมาสวมรองเท้าที่เพิ่งจะถอดออกไปเมื่อครู่ แล้วออกจากบ้านไปอีกหน
ปลายเดือนมีนาคมเช่นช่วงนี้ ฝนปลายหนาวถูกแทนที่ด้วยอากาศสดชื่นเต็มร้อย ริคขับรถเรื่อยเปื่อยจนมาถึงละแวกหนึ่งซึ่งร้านรวงแลดูแปลกตาไป เขาหาที่จอดรถริมทาง แล้วลงเดินดูรอบๆ ราวกับตัวเองเป็นชาวต่างชาติ ดีเลย ท้องเริ่มร้องพอดี เดี๋ยวหาอะไรกินมันคนเดียวแถวนี้ล่ะ สบายใจ
เขาเลือกเดินเข้าร้านอาหารร้านหนึ่งที่ประตูหน้าร้านเป็นบานรั้วขนาดกลางสีเขียวที่เปิดเอาไว้ตลอด เมื่อมองเข้าไปด้านในก็พอจะมีโต๊ะว่าง ริคเดินเข้าไปนั่ง บนโต๊ะมีเมนูวางอยู่แล้ว เขาไม่รีรอที่จะเปิดดูทีละหน้าๆ ไม่นานนักบริกรจึงเดินเข้ามารับออเดอร์
“ซาลาม สวัสดี รับอะไรดีครับ” รูปลักษณ์ของเขาบ่งบอกที่มาอันห่างไกลจากอเมริกา เขาเอ่ยทักทายริคด้วยภาษาถิ่นที่คงเป็นสากลประมาณหนึ่งเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของร้าน
“ครับ ไม่ทราบมีอะไรแนะนำไหม ผมไม่เคยมา” ริคถามเขา
“ลองดูเป็นเปอร์เชียนแซนด์วิชก่อนไหมครับ ทานง่าย ของขึ้นชื่อร้านเราด้วย”
ริคยิ้มให้เขาพร้อมพยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมส่งเมนูคืนให้บริกรผิวสีมะกอกเข้ม แต่เขาวางมันไว้บนโต๊ะอย่างเดิม
“เชื่อผมเถอะครับ เดี๋ยวคุณต้องสั่งอย่างอื่นเพิ่ม ขออนุญาตวางเมนูไว้ให้ที่เดิมนะครับ” เขาก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนกลับเข้าไปแจ้งออเดอร์ในครัว
ริคหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเก็บมันกลับลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่เบาๆ หนึ่งครั้ง ในร้านตกแต่งได้อบอุ่นสบาย บรรยากาศออกแนวกันเอง แต่พนักงานร้านถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม จากตรงนี้ เขามองผ่านรั้วสีเขียวตรงทางเข้าออกไปยังด้านนอกร้าน ถนนหนทางและรถรากับผู้คนที่ผ่านไปมาให้เห็น ยิ่งเพิ่มความโปร่งโล่งให้บรรยากาศยิ่งขึ้น พื้นร้านปูด้วยหินก้อนใหญ่ๆ ผิวหน้าเรียบสีน้ำตาลขัดเงา เขาตบเท้าที่พื้นเป็นจังหวะอย่างสบายใจ
ไม่นานเกินรอ เปอร์เชียนแซนด์วิชของเขาก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ริคมองดูอาหารที่เขาสั่งไปอย่างสนอกสนใจ เขาไม่เคยกินอาหารเปอร์เซียนมาก่อนเลยในชีวิต แซนด์วิชของเขาห่อด้วยกระดาษสีขาวเปิดปลายออกด้านหนึ่ง วางมาบนตะกร้าพลาสติกสีส้มสดใสทรงรี ริคยิ้ม เลิกคิ้ว เบิ่งตาโตขณะที่บริกรคนเดิมวางตะกร้านั่นลงบนโต๊ะ
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”




![เพียงหัวใจเพรียกหา - [Omegaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


