เข้าสู่ระบบDESK JOB
เช้านี้เธอแค่เดินเข้าห้องประชุม เพื่อเตรียมไฟล์ แต่สิ่งที่โดนโหลดเข้าไปก่อนไฟล์พรีเซนต์... คือท่อนเอ็นไซส์ 20 เซนฯ
เวลา 19:48 น. - ชั้น 7 ของบริษัท L.U.S.T Lab
ไฟในออฟฟิศเริ่มหรี่ลงแบบอัตโนมัติ พนักงานคนสุดท้ายเพิ่งออกจากประตู แต่ในโซนกลยุทธ์ ยังมีสองคนที่ไม่ยอมกลับบ้าน
โทนี่ น้องใหม่ของทีมกลยุทธ์นั่งจิ้มพรีเซนต์ตรงข้ามกับเหมยลี่ สาวการตลาดตัวแม่ที่ทั้งสายตา คำพูด และพลังงานรอบตัวเธอ มักทำให้ผู้ชายทั้งตึกตั้งตัวไม่ทัน
"แก้สไลด์ตรงนี้อีกนิด…แล้วก็ปรับหัวข้อนี่ให้มันฟังดูหื่นขึ้นอีกนิดนึง"
เหมยลี่สั่ง พลางจิบน้ำเย็นอย่างไม่เร่งรีบ
"หัวข้อหื่นเหรอครับ?” โทนี่ยิ้ม
"นี่บริษัท L.U.S.T Lab ไม่ใช่กระทรวงวัฒนธรรม แหกตาดูด้วยว่าบริษัทเรากำลังจะเปิดตัวโปรดักท์อะไร"
เขาหัวเราะเบา ๆ แต่ระหว่างที่เธอก้มดูหน้าจอ เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็ม ๆ ด้วยสายตาที่ต่างออกไป
แววตาคู่นั้นไม่ได้มีแค่ความซุกซนแบบหมาเด็กอีกต่อไป แต่มีความหิวกระหายซ่อนอยู่ลึก ๆ คล้ายกับคนที่ อยากลิ้มลองเรือนร่างของเธอในทุกองศา อย่างใจจดใจจ่อ
มันเป็นสายตาที่ผู้หญิงอย่างเหมยลี่ “รู้ทัน”... แต่เลือกจะไม่เตือน
20:12 น. - ระบบไฟฟ้าในตึกเกิดขัดข้องชั่วคราว
ไฟดับวูบ เสียงพรึ่บจากฟลูออเรสเซนต์ทำให้ทั้งสองคนเงยหน้าพร้อมกัน
“ไฟตึกเจ๊งอีกแล้วเหรอ… บริษัทออกจะรวย โกยกำไรได้เป็นร้อยล้านพันล้าน ทำไม่เปลี่ยนไฟเป็น LED ทั้งตึกสักทีวะ” เหมยลี่บ่น
“แต่ลิฟต์ยังใช้งานได้นะครับพี่ลี่” โทนี่ก้มดูหน้าจอควบคุม
“ต้องลงทางนั้น”
เขาหันมามองเธอ ด้วยแววตาซุกซนแบบที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจปิดไว้
“จะเดินไปด้วยกันมั้ยครับ เผื่อไฟดับอีก ผมจะได้ปกป้องพี่ทันนะ"
เธอหยิบแฟ้มเอกสารและแท็บเล็ตของเธอใส่กระเป๋าโท้ทแบรนด์หรูแล้วลุกขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
ขณะทั้งสองคนเดินออกจากโซนทำงาน ฝ่าแสงไฟสำรองสีส้มอ่อน เสียงรองเท้าส้นสูงของเหมยลี่กระทบพื้นกระเบื้องเป็นจังหวะ โทนี่เดินอยู่ข้างเธอ มองโครงหน้าสวยเฉียบของพี่สาวคนเก่งพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
"พี่ลี่ครับ ถ้าโปรเจกต์นี้พรีเซนต์ผ่าน เราจะได้รางวัลพิเศษอะไรไหมครับ?"
"นายจะเอาอะไรล่ะ"
เธอเลิกคิ้ว หยุดฝีเท้าแล้วยืนหันมามอง
เขาทำหน้าทะเล้นเล็กน้อย
"ผมยังคิดไม่ออกครับ แต่ผมว่า..ถ้าได้รางวัลจากพี่มันต้องคุ้มแน่ ๆ"
"หมาเด็กนี่ปากหวานจังนะ..." เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินนำไปต่อ
“แล้วนายอยากได้รางวัลแบบไหนล่ะ?”
“แบบที่ต้องลุ้นในลิฟต์ครับ” เขายิ้มกรุบ
ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี เธอก้าวเข้าไป โทนี่ตามเข้ามาและกดปิดประตู...
ในลิฟต์ - แสงไฟฉุกเฉินสีส้มสลัว
โทนี่ยืนหันหน้าเข้าหาเธอ มือข้างหนึ่งยันข้างหัวเหมยลี่บนผนังลิฟต์ ใบหน้าเขาโน้มเข้ามาใกล้ จนลมหายใจร้อนปะทะผิวแก้มเธอ แววตาโทนี่เร่าร้อน ปนหื่นลึก ๆ สื่อความหมายชัดเจน..เขาอยากกลืนกินเธอทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมยลี่มองหน้าเขาตรง ๆ ไม่ถอยหนีแม้แต่นิ้วเดียว
"นายจะจูบฉันเหรอ?"
"เปล่าครับ... ผมแค่รอให้พี่เริ่ม"
เหมยลี่ยิ้ม ก่อนจะคว้าเสื้อเขาแล้วกระชากลงมาประกบปากอย่างเร่าร้อน...
ริมฝีปากเขาอ่อนนุ่มแต่รุกเร้า มือใหญ่สอดเข้าไปในผมเธอ ดึงให้ใบหน้าแนบชิดขึ้นอีก ปลายลิ้นสอดเข้าตักตวงความหวานจากปากเหมยลี่จนเสียงจูบดังก้องในลิฟต์แคบ มือโทนี่เลื่อนไปจับเอวบาง บีบสะโพกกลมกลึงแน่น ๆ ขณะอีกมือลูบไล้แผ่นหลังที่โค้งสวยตามชุดรัดรูปของเธอ
เหมยลี่ครางเบา ๆ ขณะเขากดเธอเข้ากับผนังลิฟต์ และจูบอย่างไม่ให้เธอตั้งหลักมือเธอกำเสื้อเขาแน่น เขาคร่อมเธอไว้ ขาเธอหนึ่งข้างยกขึ้นพาดสะโพกเขาอย่างลืมตัว เนื้อแนบเนื้อผ่านผ้าเพียงไม่กี่ชั้น เสียงหอบแรง สะท้อนก้องในลิฟต์
“อื้อ… โทนี่…”
ก่อนที่มือจะเลยเถิดไปกว่านั้น เสียงเตือนของลิฟต์ก็ดังขึ้น ประตูจะเปิดออกที่ชั้น G ทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกจากกันอย่างรวดเร็ว จัดชุดให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากลิฟท์ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
9:45 น. - ชั้น 7 ของบริษัท L.U.S.T Lab
เหมยลี่เดินเข้ามาที่โต๊ะของโทนี่พร้อมกาแฟในมือ สวมเบลเซอร์เข้ารูปและกระโปรงทรงสอบเหนือเข่า
"นายยังไม่ได้แก้สามสไลด์ที่พี่บอกเลยนะ ต้องแก้ให้เสร็จก่อนเที่ยง ถ้าทำไม่ได้พี่ไม่ให้เข้าห้องประชุมไปพรีเซนต์"
"ครับพี่ ผมแก้ให้ทันแน่นอน ขอเวลาแค่ชั่วโมงเดียว!"
"ดี เพราะพี่จะไปเช็กห้องประชุม เดี๋ยวเจอกันอีกทีตอนบ่ายโมง"
เธอเดินเข้าไปในห้องประชุม พร้อมอุปกรณ์เตรียมงาน โทนี่มองตามเธอ และโฟกัสไปที่สะโพกอย่างหื่น ๆ
HIDDEN PRAISE ON CLEAN FLOORSพื้นสะอาด แต่หน้าเธอเปื้อนรอยยิ้มเพราะคำหวานของเขา.. แต่หัวใจเขากลับไม่สะอาดเมื่อได้ยินเสียงเธอเรียกชื่อภาษาดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ในมุมตึกที่ไม่มีใครเห็นทิ้งร่องรอยรักบนพื้นสะอาด ยามตึกไร้ผู้คนบนชั้น 7 ของ L.U.S.T Company บริษัทเวชภัณฑ์และอาหารเสริมชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องความสะอาดมาตรฐานระดับสากล แต่มีบางมุมที่สะอาดกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีแม่บ้านคนหนึ่งขยันถูทุกเช้า ขัดทุกซอกมุมจนไร้ฝุ่น จนแม้แต่เธอเอง... ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูก “จ้อง” มากแค่ไหนเช้านี้ เดือน แม่บ้านวัยสี่สิบเก้า นั่งยองเช็ดขอบประตูกระจกทางเข้าชั้น พนักงานหลายคนเดินผ่านไปมาก็แค่พยักหน้าให้ แต่มีแค่คนเดียวที่ไม่เคยปล่อยให้เธอหลุดจากสายตาถัดจากประตูไม่กี่ก้าว สมชาย รปภ.วัยห้าสิบห้า นั่งเอนหลังที่โต๊ะยาม มือซุกในกระเป๋ากางเกง สมุดบันทึกรายชื่อ Visitor ที่มาติดต่อออฟฟิศเปิดค้างอยู่บนโต๊ะตามระเบียบ แต่ดวงตาเขากลับล็อกอยู่ที่รอยเหงื่อบนต้นคอ กับสะโพกกลมของแม่บ้านคนเดิมทุกวันคนอื่นคงมองว่าเธอเป็นแค่แม่บ้านธรรมดา แต่สำหรับสมชาย... เธอเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาลุกจากเก้าอี้ได้ง่ายกว่ายามเปิดประตูให้
หลังจากนั้น ต่างคนต่างกลับเข้าสู่หน้าที่ของตัวเอง สมชายกลับไปนั่งประจำจุดหน้าประตู ส่วนเดือนเดินวนเช็ดพื้นทั้งชั้น เงาของเธอกระทบกับแสงไฟหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานเป็นเงาซ้อน เธอไม่ได้มองกลับไปที่โต๊ะ รปภ. เลยแต่สมชายไม่ได้ละสายตาไปไหนเลยเช่นกัน จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน...เดือนพับไม้ถูพื้นเก็บเข้าถัง ใช้ผ้าแห้งเช็ดเหงื่อที่ซึมซับมาทั้งวัน ก่อนหันไปคว้าถุงน้ำยาที่สมชายวางทิ้งไว้หน้าห้องเก็บอุปกรณ์ในตอนบ่ายประตูห้องยังเปิดแง้มอยู่เล็กน้อยเดือนก้มมองพื้นหน้าห้องที่เพิ่งเช็ดไปเมื่อเช้า... เงาวับจนเห็นปลายเท้าตัวเอง“พี่สมชาย…”เธอพูดเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเอง แต่หันไปทางโต๊ะหน้าลิฟต์ ชายร่างสูงที่เพิ่งเก็บบัตร รปภ. เข้ากระเป๋าเสื้อ หันมาทางเธอช้า ๆเดือนยิ้มบาง เอ่ยด้วยเสียงที่เหมือนแค่ถามธรรมดา แต่ปลายเสียงมันละมุนกว่าปกติ“ช่วยมายกของเข้าในนี้หน่อยจ้ะพี่ ถุงมันหนัก…”สมชายไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่ลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงมาหาเธอ แล้วคว้าถุงในมือเธอไปถือแทน ท่าทางเหมือนเดิม ไม่มีคำพูด ไม่มีรอยยิ้ม มีแต่แววตา... ที่เดือนแกล้งทำเป็นไม่เห็นเหมือนทุกทีภายในห้องเก็บของแคบ ๆ มีเพียงแสงจากหลอดไฟเก่า
มือเขาเลื่อนจากโช้คเกอร์ ลงมาที่ไหปลาร้า แล้วลากผ่านเนินอกฉันช้า ๆ แม้ยังอยู่ด้านนอกเสื้อเชิ้ต แต่แค่นี้ก็เหมือนฉันจะขาดใจอยู่แล้ว“แล้วตอนนี้...จะให้ผมทำตามที่คุณเคยพูดในกล้องรึเปล่าครับ”เสียงเขามันไม่ยั่วธรรมดา มันเหมือนปล่อยไฟฟ้าช็อตเส้นประสาทในสมองฉันจนร่างฉันเกือบล้มคาเก้าอี้ ฉันสั่นไปทั้งตัว มือข้างหนึ่งกำชายกระโปรง อีกมือกำขอบโต๊ะแน่นจนเล็บแทบจิกไม้“แล้ว…คุณเอเดนจะทำได้...เหมือนในคลิปนั่นเหรอคะ…”เขาหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำแหบเหมือนสัตว์ที่กำลังอดกลั้น“จะให้ผมทำให้ลึกกว่านั้นก็ยังได้ครับ...ถ้าคุณยอม”คำว่า “ยอม” ของเขาไม่ได้หมายถึงลายเซ็นอนุมัติจาก HR มันหมายถึงฉันต้องปลดเกราะ Erika ออกจากโลกออนไลน์ แล้วยกมันให้เขาในโลกจริงตอนนี้ ฉันจ้องหน้าเขา ใกล้จนมองเห็นแววตาสีเข้มที่ไม่มีความเป็นเด็กน้อยอยู่ในนั้นเลยแล้วฉันก็พยักหน้าเบา ๆ แต่ก่อนที่เขาจะจูบฉัน ฉันกระซิบตอบเสียงสั่น“ถ้าคุณทำได้ลึกกว่านั้น...ฉันก็จะยอมให้แค่คนเดียว...”เขาหลุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา มือเขาประคองท้ายทอยฉันแล้วกดริมฝีปากตัวเองลงมาอย่างแรง จูบนี้มันไม่ใช่จูบของ HR สาว กับหนุ่มไอทีที่เข้ามาเช็คพอร์ต LAN แต่มันคือ
ฉันควรจะตั้งสติให้ได้สักห้าวินาทีก่อนเขาจะเปิดประตูเข้ามา แต่พอเอาเข้าจริง ก็สติหลุดทุกทีที่ได้กลิ่นนี้... เสียงบานประตู HR เปิดเหมือนเดิม กลิ่นชาเขียวผสมส้มแมนดารินตีขึ้นจมูกก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่มาให้เห็นหน้า แค่กลิ่นฉันก็รู้แล้วว่าวันนี้จะไม่จบแค่การซ่อมคอมธรรมดาแน่เอเดนเดินเข้ามาแบบนิ่ง ๆ แต่สายตาเขาไม่เคยนิ่งเลยสำหรับฉันเขามองจอคอมฉันที่ค้างอยู่เหมือนจะซ่อม แต่มืออีกข้างกลับวางบนพนักเก้าอี้ฉันแบบที่ไม่ได้ระวังเลยว่า หัวใจเจ้าของเก้าอี้มันจะเต้นแรงจนจะระเบิดอยู่แล้ว“HRIS ยังงอแงอยู่เหรอครับ?”ฉันพยายามเบือนหน้าหนี ไม่ให้เขาเห็นว่าฉันหน้าแดงไปจนถึงหู เหมือนคนเป็นไข้“ค่ะ มันค้างทั้งระบบ...เพนนีก็จะแพนิคอยู่แล้ว เพราะสลิปคุณจีน่าหาย ถ้าสลิปของคุณมาร์คหายอีกคน ฉันนี่แหละจะตายก่อนเพนนีอีก”เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เหมือนเขารู้ว่า ฉันพูดประชดไปงั้นแหละ เพราะในหัวฉันตอนนี้ไม่ได้สนสลิปใครหายเลย... สนใจแต่คำเดียวในหัวว่า เขาดูคลิปฉันแล้วหรือยังเขาก้มตัวลงต่ำ สอดมือเข้าไปจัดสายไฟใต้โต๊ะ หัวเขาเกือบชิดต้นขาฉัน ลมหายใจเขาอุ่นจนฉันต้องขมิบขาตัวเองแน่นแบบไม่ให้เขาจับได้ว่าฉันกำลังเสียอาการ“อย
HR CONFIDENTIALหนุ่มไอทีมา “ซ่อมคอม” แต่สิ่งที่เขาค้นพบ…ไม่ใช่แค่บั๊ก หรือปลั๊กหลุดมันคือไฟล์ลับในร่างของ HRที่เขาต้องใช้มือ “ล้วง” เพื่อเข้าถึงระบบถ้าจะมีอะไรที่ฉันเกลียดพอๆกับวันประชุม ก็เช้าวันจันทร์นี่แหละตั้งแต่ฉันสแกนนิ้วเข้าออฟฟิศมา สิ่งแรกที่ฉันเห็นบนหน้าจอคืออีเมลแจ้งลาออกของเด็กใหม่สองคน กับ แฟ้ม onboarding ที่ใครสักคนเอามาวางไว้ผิดโต๊ะ แถมเจ้าของแฟ้มก็ชิ่งลาพักร้อนไปแล้วเรียบร้อย ฉันก็รู้ทันทีเลย ว่าวันนี้ฉันต้องจบด้วยยาพารา 2 เม็ด น้ำเปล่า 1 ขวด และจิตวิญญาณที่อยากวาร์ปกลับไปนอนใต้ผ้าห่มเอาแล้วไง.. ยังไม่ทันจะลุกไปหยิบกาแฟ เสียงปริ๊นเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะด้านซ้าย ก็ดังแกร๊กๆ เหมือนพร้อมลาโลกเต็มที เหมือนหายใจเฮือกสุดท้ายในชีวิต ถ้าสภาพ Printer คือคน มันคงตะโกนว่า “พี่ลิซ...ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ หนูจะตายแล้วววว แง...”แต่ฉันยังไม่ทันจะไปกู้ชีพมันได้ ก็เจอสิ่งที่ร้ายแรงกว่าคือหน้าจอ HRIS ของฉันมันประกาศลาโลกไปแล้วค่ะหน้าจอขาวโล่ง มีแค่ไอคอนหมุนติ้วที่โชว์ให้รู้ว่า “ยูจะทำอะไรไม่ได้อีกแล้วจ้ะลิซ”ฉันเคาะคีย์บอร์ดรัวๆ พยายามจะให้มันกลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ท่าทางคอมพิวเตอร์ของฉันจ
เธอกระชากมือออกในจังหวะที่ผมเกร็งแทบจะถึงจุด พริบตานั้นผมแทบทรุดลงกับพื้น ร่างกายเหมือนถูกสาปให้ค้างเติ่งกลางคลื่น“ถ้านายยังอยากเก็บตำแหน่งนี้ไว้...” เธอเชิดหน้าขึ้น“ก็จงเรียนรู้ที่จะ ควบคุมตัวเอง...เหมือนที่ฉันควบคุมนายได้ทุกวินาทีตอนนี้”ผมได้แต่นั่งนิ่ง หายใจหอบ ไม่กล้าขยับแม้แต่เพียงปลายนิ้ว เพราะต่อให้ผมแข็งขนาดไหน...แต่เธอต่างหากที่ ‘แข็งกว่า’"ถอดกางเกงลง"เสียงเธอนุ่ม...แต่ทรงอำนาจกว่าประโยคคำสั่งจากนายใหญ่คนไหนที่ผมเคยเจอในชีวิต ผมชะงักไปชั่วครู่ กำลังประมวลว่าเธอพูดเล่น...หรือทดสอบ"ถ้าช้ากว่านี้อีกนิด ฉันจะนับเป็นข้อเสียใน performance review ปลายไตรมาส"ผมแทบไม่ได้คิดอะไรต่อ หัวสมองว่างเปล่าเพราะเลือดไปกองที่ปลายลำทั้งหมด มือของผมปลดเข็มขัดออกอย่างว่าง่าย กางเกงสแล็คสีดำไถลลงมากองที่ข้อเท้าแท่งเนื้อของผมกระเด้งออกมาจนสุด สีชมพูเข้ม เส้นเลือดปูดแน่น ปลายบาน มันยืนตรงราวกับต้องการประกาศความภักดีต่อเธอ ผมเห็นเธอเลิกคิ้วเล็กน้อย...ก่อนจะยิ้มมุมปาก"นายต้องการมันมากใช่ไหม?"เสียงของเธอนุ่ม แต่มีพลัง เธอแตะปลายหัวเบา ๆ ด้วยนิ้วชี้ แล้วเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วเท้าเขี่ยเบา ๆ ที่โคนแท่







