Chapter 2
ท่านประธาน “จะพยายามไม่ให้ไปอยู่ในสายตาแล้วกัน” หลังจากเอ่ยประโยคนั้นจบฉันก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาคำพูดของตัวเอง โชคดีที่ตอนนั้นใกล้สอบไฟนอล รายวิชาต่างๆ เลยทยอยกันปิดคอร์สลงเพื่อให้นักศึกษาแยกย้ายกันไปเตรียมตัวสอบ และโชคดีที่รหัสนักศึกษาเราห่างกันทำให้ส่วนใหญ่เรากันสอบคนละห้อง เผลอๆ คนละตึกเสียด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นการปิดท้ายปี 2 อย่างสมบูรณ์แบบ ฉันทำมันมาได้ตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมานี้ ก่อนที่มันจะพังครืนไม่เป็นท่าเพราะวันนี้วันเดียว วันนี้ก็เป็นอีกวันวันหนึ่งที่ท้องฟ้าสดใสเหมาะกับการเริ่มต้นใหม่อย่างเช่นการฝึกงานในแผนกการตลาดในฐานะนักศึกษาปี 4 เทอมสุดท้าย บริษัทที่จะมาฝึกงานถูกแรนด้อมด้วยอาจารย์และเหล่าบริษัทที่โคกันเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศ ฝ่าการจราจรอันคับคั่งจนในที่สุดก็มาถึงตึกสูงซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางหลากหลายยี่ห้อที่คุ้นชื่อกันเป็นอย่างดีในตลาด ด้วยความที่มาก่อนเวลานัดค่อนข้างจะเยอะฉันจึงเลือกที่จะไปหาอะไรดื่มรองท้องก่อนจะเข้าไปหาแผนกบุคคล แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันคงไปนั่งรอโง่ๆ ที่รีเซปชั่นดีกว่า “ลาเต้เย็นครับ” เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ฉันรีบรับชาเขียวเย็นมาแล้วนั้นหมุนตัวออกจากร้านเพื่อที่จะไม่เกะกะคนอื่น แต่ใครมันจะคิดละว่าทันทีที่หมุนตัวกลับไปแก้วชาเขียวที่ยังไม่ได้ดื่มสักอึกก็ชนเข้ากับลูกค้าคนนั้นอย่างแรงจนแก้วตกไปนอนกลิ้งอยู่ที่พื้นร่วมกับบรรดาน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ที่กระจัดกระจาย “ขอโทษค่ะ!” ฉันรีบพูดออกไปด้วยความตกใจก่อนจะเงยหน้ามองผู้เคราะห์ร้าย ทันทีที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายฉันก็ได้แต่ร้องอยู่ใจว่าผู้เคราะห์ร้ายน่ะคือฉันต่างหาก! “ไนล์...” “คุณไนล์! ตายแล้วเสื้อเปียกหมดเลยค่ะ” คนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับรีบสาวเท้าเข้ามาดู เศษซากชาเขียวเย็นถูกพนักงานกรูเข้ามาทำความสะอาด ได้ยินเสียงผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็เอาแต่พูดว่าทำไงดีๆๆ ด้วยท่าทางร้อนรน ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนยิ่งอย่างไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ในหัวมีสารพัดวิธีเด้งขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นการหยิบทิชชูมาซับ เปิดปากถามไถ่ หรือไปซื้อเสื้อใหม่...แต่ทว่า ‘ไม่อยากเจอเธอแล้วอะ’ ใช่แล้ว ต้องเดินหนี “จะไปไหน ไม่คิดจะรับผิดชอบกันหน่อยเหรอครับ” เสียงราบเรียบดังขึ้นมาทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวออกจากร้านต้องหยุดลงและมองหน้าคนพูด “เสื้อสูทผมตั้งแพง” ฉันกัดริมฝีปากแน่นมองรอยคราบน้ำหวานที่ติดอยู่บนเนื้อผ้าที่ดูแล้วมีราคาอย่างที่เจ้าตัวบอกด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะถือวิสาสะมองสำรวจอีกฝ่ายทั้งร่าง ไนล์อยู่ในชุดภูมิฐานด้วยเสื้อสูทกับกางเกงสแล็กส์เนื้อดีรวมทั้งรองเท้าดำปลาบแม้ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรแต่ก็คงเป็นตำแหน่งที่สูงไม่น้อยเพราะราศีความน่าเกรงขามมันแผ่ออกมาซะขนาดนี้ ฉันแค่นยิ้มเมื่อก้มมองตัวเองในชุดนักศึกษาธรรมดาๆ ชุดหนึ่ง “เดี๋ยวฉันไปซัก...” “ต้องซื้อใหม่ครับ” “คะ? งั้นบอกชื่อร้าน—” “รุ่นนี้เลิกผลิตแล้วครับ” “อ้าว” ฉันขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย ตกลงจะให้ฉันรับผิดชอบยังไง ซักคืนก็ไม่ได้ซื้อใหม่ให้ก็ไม่ได้ แต่ว่าก็ว่าเถอะเสื้อสูทมันก็เหมือนๆ กันหมดไม่ใช่เหรอ “ซื้อรุ่นใหม่ครับ มีตัวที่ผมอยากได้อยู่พอดี” “ตอนนี้เลยเหรอคะ” ฉันถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนรอให้ฉันเป็นฝ่ายเดินตามเขาไป “ก็ต้องตอนนี้สิครับ” “ไปตอนนี้ห้างคงยังไม่เปิดมั้งคะ” ฉันว่าเสียงค่อยเมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะถึงเวลารายงานตัวแล้ว “ฉันขอโทษจริงๆ นะคะแต่ว่าตอนนี้ฉันมีธุระด่วน” “แต่ผมไม่มีเสื้อใส่” ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่มองมานั้นล้วนแต่สร้างความกดดันให้ฉันทั้งสิ้น ฉันเม้มปากอย่างคิดไม่ตกในขณะมองรอยเปื้อนที่ขยายวงไปเรื่อยๆ บนเสื้อสูทของเขา “งั้นคุณไปซื้อเสื้อเองนะคะซื้อเสร็จแล้วมาเก็บเงินที่ฉัน ไปก่อนนะคะ!” ไม่รอให้ร่างสูงได้พูดสวนอะไรให้เกิดความลังเลใจอีก เอ่ยเสร็จฉันก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกมาจากร้านทันที บริษัทที่ฉันเข้ามาฝึกงานมีชื่อว่าบริษัท Being You Group ที่รับเป็นตัวกลางผลิตสกินแคร์และเครื่องสำอางให้กับแบรนด์ระดับไฮ-เอนด์และมีโปรดักต์เป็นของตัวเองที่เป็นเคาน์เตอร์แบรนด์อีกด้วย ไม่มีเวลาให้สำรวจบรรยากาศมากนักเมื่อมาถึงยังโต๊ะประชาสัมพันธ์ฉันก็รีบบอกสาเหตุที่มาที่นี่ทันที “เอาละทุกคน ฟังทางนี้กันหน่อย” สิ้นเสียงของพี่ปิ่นที่แนะนำตัวกับฉันว่าเป็นหัวหน้าแผนกระหว่างแผนกการตลาดและครีเอทีฟ ทุกคนที่จดจ่ออยู่กับงานของตนก็เงยหน้าขึ้นมามองทางนี้เป็นจุดจุดเดียว ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “นี่คือน้องนับแต้ม น้องฝึกงานใหม่ของแผนกเรา นับแต้มแนะนำตัวเลยจ้ะ” “สวัสดีค่ะ ชื่อนางสาวณัฐนรี ดำรงดี ชื่อเล่นชื่อนับแต้มนะคะ มาจากมหาวิทยาลัย B คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จะมาเป็นนักศึกษาฝึกงานของที่นี่เป็นเวลาสามเดือน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ว่าเสร็จฉันก็โค้งตัวลงหนึ่งครั้งเป็นการฝากตัว เสียงปรบมือต้อนรับดังขึ้นทำให้ฉันอุ่นใจอยู่ไม่น้อย พี่ปิ่นพาฉันไปฝากไว้กับพี่สาและยังให้ฉันนั่งโต๊ะตัวติดกับพี่เขาอีกด้วย พี่สาดูเป็นสาวมั่นด้วยการแต่งตัวด้วยสีสันที่ค่อนข้างฉูดฉาดและตามเทรนด์ พี่สาเหลือบมามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ ฉันเลยคลี่ยิ้มเก้อไม่รู้จะทำยังไงต่อดี “มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงในที่สุดฉันก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงกล้าๆ กลัวๆ “ไปชงกาแฟมาหน่อย กาแฟดำนะ” พี่สาตอบกลับมาโดยไม่หันหน้ามามองฉันด้วยซ้ำ “ค่ะ!” ฉันรับคำรีบผุดขึ้นยืนด้วยท่าทางกระตือรือร้นเมื่อในที่สุดก็มีอะไรให้ฉันได้ทำสักทีแม้ว่ามันจะเป็นการชงกาแฟก็ตามเถอะ ความรีบร้อนทำให้ฉันลืมคิดไปว่าตนเองไม่รู้ทางไปห้องชงกาแฟ เมื่อหันมองกลับไปพี่สาก็จดจ่ออยู่กับงานจนไม่กล้าเข้าไปถาม ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเอกสารตรงหน้ากันทั้งนั้น ฉันก็เลยตัดสินใจเดินหาด้วยตัวเอง ห้องชงกาแฟอยู่เกือบสุดทางเดินของตึกตรงกันข้ามกับห้องน้ำ ฉันรีบชงกาแฟแล้วเดินออกมาก่อนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มีหลายคนลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยแม้จากที่ดูคนเหล่านั้นก็แต่งตัวเรียบร้อยกันอยู่แล้วก็ตาม บางคนก็จดจ่อกับงานขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนบางคน... ฉันวางแก้วกาแฟบนโต๊ะขณะหันมองพี่สาที่หยิบกระเป๋าออกมาและเมื่อเปิดออกก็พบว่ามันคือเครื่องสำอาง มือเรียวจัดองศากระจกตั้งโต๊ะให้พอดีกับใบหน้า ก่อนที่จะลงมือปั้นเสริมเติมแต่งให้ใบหน้าที่สวยนั้นยิ่งดูน่าหลงใหลไปอีกโดยเฉพาะริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดราคาแพงนั่น “กาแฟได้แล้วค่ะ” พี่สาปรายตามามองแก้วกาแฟที่ฉันถืออยู่แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “วางไว้” ฉันวางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะอีกฝ่ายเลือกมุมว่างๆ บนโต๊ะเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะของการแต่งหน้าของเธอ เมื่อไม่มีอะไรให้ทำอีกฉันเลยจมกับอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง เหตุการณ์เมื่อเช้าฉายขึ้นมาพร้อมๆ กับใบหน้าของไนล์ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าสี่ปีก่อนเยอะมาก ดูนิ่งขึ้น สุขุมขึ้นและเย็นชาขึ้น... รอบตัวของเขามีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาย้ำเตือนว่าไนล์คนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักอีกแล้ว ต้องรักษาระยะห่างอย่างอัตโนมัติ “นับแต้ม!!” แม้จะเป็นการเจอหน้ากันสั้นๆ เพียงเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าเราสองคนนั้นไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้แม้แต่ในฐานะคนรู้จัก ตอนคบกันฉันรู้สึกว่าพวกเรามาจากคนละโลก ส่วนตอนนี้ฉันรู้สึกว่าพวกเรามาจากคนละจักรวาลด้วยซ้ำ “นับแต้ม บอสเรียก!” เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้ฉันหลุดจากการคิดถึงร่างสูงกลับมาอยู่ในปัจจุบัน “ฝันกลางวันอยู่เหรอเรา” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูดก่อนจะพบว่าพี่ปิ่นมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันรีบส่งสายตาลุขอโทษไปให้พี่ปิ่นและคนอื่นๆ มีบางคนที่ขมวดคิ้วมองมา บางคนก็มีแววตาขบขันกับอาการเหม่อลอยของเด็กฝึกงาน ส่วนพี่สาไม่ได้มองมาที่ฉัน เธอกองเครื่องสำอางไว้มุมหนึ่งลวกๆ สีหน้าของเธอตอนนี้เหมือนกำลังผิดหวังปนอารมณ์เสียอยู่ “ขอโทษค่ะพี่ปิ่น” “ตามฉันมา” “มีเรื่องอะไรเหรอคะ” ฉันรีบสาวเท้าเดินตามพี่ปิ่นโดยเว้นระยะเยื้องมาทางด้านหลังเล็กหน่อยพลางถามด้วยน้ำเสียงที่ติดกังวล เพราะถ้าหูไม่ฝาดเมื่อกี้พี่ปิ่นบอกว่าบอสเรียกฉันงั้นเหรอ บอสที่หมายถึงประธานบริษัทอะนะ?! “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า” พี่ปิ่นมีสีหน้าปั้นยากขณะมองฉันอย่างต้องการเค้นความจริง ฉันได้แต่ส่ายหน้าไปมา เพิ่งเข้ามาฝึกงานที่นี่ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำขออย่าให้มีเรื่องเซอร์ไพรส์กับเธอนักเลย แค่เจอใครคนนั้นมาก็เกือบจะหนีกลับบ้านอยู่รอมร่อแล้ว ฉันคิดอย่างปลงๆ แล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหารที่อยู่บนสุดพร้อมกับพี่ปิ่น นึกแล้วก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด อุตส่าห์ดีใจที่ได้มาฝึกงานในบริษัทใหญ่โตแบบนี้แต่มาก็ดันเจอดีปะกับคนที่ใจไม่พร้อมเจอตั้งแต่เช้า แล้วนี่ยังโดนเรียกมาเจอเจ้าของบริษัทอีกงั้นเหรอ “น้องฝึกงานมาแล้วค่ะท่านประธาน” พี่ปิ่นว่าหลังจากเคาะประตูห้องประธานกรรมการบริหาร พี่ปิ่นผลักประตูเข้าไปในขณะที่ฉันเดินคอตกตามหลังพี่ปิ่นไปเงียบๆ สายตาจ้องแต่พื้นห้องที่ปูด้วยพรมกำมะหยี่ราคาแพง มือทั้งสองข้างของฉันประสานกันไว้ข้างหน้า แม้จะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรแต่ก็อดตัวสั่นไม่ได้ “ผมบอกให้เรียกผมว่ายังไงนะ” ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงอันทุ้มต่ำที่คุ้นเคยเพราะเพิ่งได้ยินมาเมื่อเช้าสดๆ ร้อนๆ หัวใจของฉันก็เหมือนถูกกระชากอย่างแรงและเต้นถี่อย่างน่ากลัว ริมฝีปากถูกเม้มไว้แน่นไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักแอะ ในขณะที่รู้สึกว่าหลังของตัวเองนั้นก้มลงต่ำลงเรื่อยๆ “ขอโทษค่ะบอส” พี่ปิ่นรีบแก้คำของตนเดาว่าเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่าท่านประธานสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะเป็นบอสหรือท่านประธานก็ความหมายเดียวกันไม่ใช่หรือไง ความจริงข้อนี้ตบหน้าฉันเข้าอย่างจัง ความสับสนความประหม่าพุ่งเข้ามาเหมือนระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด แท้จริงแล้วร่างสูงก็มีสถานะเช่นนี้นี่เอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเพียงไหน “เงยหน้าขึ้นมา” เสียงนั้นแฝงไปด้วยความวางท่าและอำนาจ ฉันยังคงก้มหน้านิ่ง เพิ่มแรงสองมือที่สอดประสานกันมากกว่าเดิม พี่ปิ่นถอยหลังไปสองก้าวทำให้ฉันกลายมาเป็นคนที่ยืนด้านหน้าร่างสูงโดยปริยาย “บอสสั่งให้เธอเงยหน้าขึ้น เร็วเข้าสิ!” เสียงพี่ปิ่นกระซิบโพล่งขึ้นมา ฉันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด รู้สึกถึงความชื้นตามกรอบหน้าสวนทางกับอุณหภูมิที่เรียกว่าหนาวจัด ไนล์เป็นคนขี้ร้อนจึงไม่แปลกที่บรรยากาศในห้องคล้ายกับอยู่ขั้วโลก หากแต่คนขี้ร้อนอย่างเขาก็ยอมทนตากพัดลมราคาหลักร้อยทั้งคืนเพราะอยากนอนกอดฉัน ฉันรีบสลัดความทรงจำนั้นไปก่อนจะรวบรวมกำลังใจเงยหน้าขึ้นมองประธานบริษัทแห่งนี้ แม้จะยืนยันภายในใจมาแล้วตั้งแต่ได้ยินน้ำเสียงว่ายังไงต้องเป็นไนล์แน่ แต่พอเห็นร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำนั่งอยู่หลังโต๊ะที่มีป้ายชื่อและตำแหน่งท่านประธานสลักไว้อยู่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่ดี ใบหน้าของร่างสูงขาวจัดสุขภาพดีตามสายเลือดของคนที่มีอันจะกิน ทว่าความคมคายของกรอบหน้าก็ยิ่งเพิ่มความเสน่ห์และความดุดันให้เขาไปอีก โดยเฉพาะในตอนที่ร่างสูงปราศจากรอยยิ้มบนใบหน้า แววตาเข้มนั้นก็ยิ่งเด่นสง่าขับความโอหังอย่างไม่ได้ตั้งใจให้เด่นชัดขึ้น สร้างความกลัวเกรงให้คนที่พบเห็นมาตลอด สองสายตาสอดประสานมองกัน แววตาคู่หนึ่งว่างเปล่าแต่ก็แฝงไปด้วยความกดดัน ในขณะที่อีกคู่กับเป็นแววตาที่สั่นไหวและไม่มั่นใจ ยิ่งเห็นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยมันทำให้ฉันรู้สึกอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาอีกครา... “ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมไล่นักศึกษาฝึกงานคนนี้ออก!”ร่างบางใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะโดนเรียกประชุมไปกับการแก้แผนงาน ที่จริงแล้วแผนงานฉบับเดิมนั้นดูโอเคดีแล้วเพียงแต่มีบางจุดอย่างไม่สามารถตอบโจทย์ ‘บอส’ ได้ก็เท่านั้น ห้องประชุมทีม NewType นั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องประธาน ร่างบางรวบแฟ้มที่มีแผนงานอยู่ในนั้นรวมทั้งแฟลชไดรฟ์เพื่อเตรียมจะนำเสนอ ก่อนจะเลือกหลบมุมอยู่มุมหนึ่งเพื่อใช้สมาธิในการท่องจำ ระหว่างนั้นมือถือที่ปิดเสียงไว้ก็สั่นขึ้นมา ร่างบางปรายหางตาไปมองก่อนจะตัดสายด้วยความรวดเร็วก่อนจะส่งสติกเกอร์รูปหัวใจตอบกลับไปให้ทีนึง “ทุกคน บอสมาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพาให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างสูงในชุดสูทแบรนด์ดังดูได้จากลวดลายบนเสื้อเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามไปทุกท่วงท่า ทว่าใบหน้านั้นติดจะเรียบเฉยเอนเอียงไปทางหงุดหงิดค่อนข้างมาก ร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปนั่งตรงหัวโต๊ะอย่างไม่แม้แต่จะสบตาใครสักคน บรรยากาศขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากร่างสูงทำให้ห้องนี้เหมือนอยู่ในอากาศที่ติดลบหนาวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังของร่างสูงนั้นมีคุณจันทร์เลขาของบอสตามมาติดๆ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้คนในห้องและยกกำปั้นขึ้นเพื่อจะบอกว่า ‘สู้ๆ’
Special Chapter l พนักงานใหม่ หนึ่งวันผ่านไปก็แล้ว... สองอาทิตย์ผ่านไปก็แล้ว... สามเดือนผ่านไปก็แล้ว... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นับแต้มจะกลับมา! ภายในห้องทำงานของท่านประธานบริษัท Being you Group ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก เจ้าของห้องกำลังเคาะปากกาลงบนโต๊ะจนได้ยินเสียง กึก กึก อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้รับสืบทอดยีนเด่นมาตั้งแต่ต้นตระกูลนั้นกำลังขมวดคิ้วยุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่คงที่นัก นัยน์ตาสีเข้มทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ดับไปแล้ว นึกย้อนถึงบทสนทนาของตนกับนับแต้มที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาพยายามเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมาแต่เจ้าของปลายสายนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างจงใจ นี่เขากำลังถูกทิ้งอีกครั้งเหรอ? ร่างสูงเริ่มนั่งไม่ติด เข่าที่อยู่ใต้โต๊ะเริ่มเขย่าไปมาอย่างเสียบุคลิก เป็นไปไม่ได้หรอก...ไนล์เริ่มคิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อสองเดือนแรกที่นับแต้มกลับไปนั้นเขายังเทียวขึ้นเทียวลงไปกลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่เลย อีกอย่างตอนที่ไม่ได้เจอกันเราก็ยังคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกันเป็นปกติดี แม้ก
มีเวลาสักพักกว่าเครื่องจะออก เพราะเช็กอินทางอออนไลน์มาแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ฉันขึ้นชั้นสองแวะซื้อขนมไปฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยและที่คลับ ก่อนจะเข้ามาภายในของเกต โชคดีที่เกตที่ฉันต้องขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง ภายในเกตคนน้อยกว่าข้างนอกมาก ฉันนั่งลงที่เก้าอี้รอประกาศการขึ้นเครื่อง ทอดสายตามองไปนอกอาคารเห็นเครื่องบินลำน้อยใหญ่จอดรอเรียงกันอยู่บนรันเวย์ ฉันยกมือถือขึ้นถ่ายรูปกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก่อนจะอัปลงในไอจีและส่งข้อความไปรายงานไนล์ “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?” !!! ฉันเงยหน้าขึ้นขวับทอดสายตามองไปยังเจ้าของเงาที่ปกคลุมร่างของฉันเอาไว้ ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ อวัยวะภายในอกเต้นสั่นระรัว นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ไนล์...” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า “อื้ม ไนล์เอง” ร่างสูงยิ้มพลางทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน “มาได้ไง ไหนบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” “กลัวเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าเกตก็เลยเข้ามาดูสักหน่อย” ไนล์เอ่ยแซว ร่างสูงงอนิ้วชี้แล้วมาแตะลงบนจมูกฉันเบาๆ “ไนล์เห็นนับแต้มยืนหันซ้ายหันขวาตั้งแต่อยู่นอ
Final Chapter officially “อย่าโมโหไปเลยน่า เขาคงเมานั่นแหละ น่านะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในรถ หันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตีหน้ามุ่ยอยู่ นัยน์ตาเข้มจับจ้องไปที่ท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ช่วงนี้อารมณ์ของร่างสูงนั่นค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งฉันรู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตลอดทางจากร้านชาบูมายังหอพักที่ฉันเช่าเอาไว้ร่างสูงไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ ยิ่งพอเข้ามาในห้องอารมณ์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ หน้าของเขามืดไปแปดส่วนขณะทอดสายตาไปยังกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงมุมห้องเพราะยังเก็บของไม่เสร็จ ไนล์เดินปั้นปึ่งไปทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก ฉันมองแผ่นหลังกว้างแล้วเดินตามไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อ้าแขนกอดรวบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นวางคางบนหัวไหล่ของเขาเป็นที่ค้ำ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เป็นไนล์ที่เอ่ยออกมาก่อน เสียงของเขาฟังดูเศร้าสร้อยเสียจนคนฟังอย่างฉันใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นฉันและไนล์ต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ไปก็เรียนไม่จบสิ” ฉันบอกในสิ่งที่เจ้าตัวรู้อยู่แ
“อื้อออ” “อืมมม” ไนล์ออกแรงกระแทกเอวสอบเข้ามาทีหนึ่งแรงๆ ก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับเสียงทุ้มที่คำรามออกมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของฉัน ไนล์ซุกหน้าลงกับหน้าอกของฉันที่กระเพื่อมขึ้นลงปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ สองร่างสอดประสานกันแบบนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะถอนตัวออกไป “ไปเขียนรายงานให้นับแต้มเลยนะ” “สบายอยู่แล้ว! ให้เป็นหน้าที่ไนล์เอง” เวลาสามเดือนแห่งการฝึกงานผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่หากพอมองดีๆ แล้วกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ฉันมองไปที่โต๊ะข้างตัวที่ว่างเปล่า อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือพี่สาเลือกที่จะลาออกไปแต่โดยดี ฉันเก็บของบนโต๊ะลงใส่กล่องลังด้วยความรู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เย็นนี้พี่ปิ่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งเด็กฝึกงานแผนกการตลาดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท เมื่อมาถึงก็เห็นโต๊ะขนาดยาวต่อกันไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ ทุกคนในทีมต่างกันแย่งกันจับจองที่นั่งโดยมีพี่ปิ่นนั่งอยู่หัวโต๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ แต่ฉันที่เพิ่งไปเจอเรื่องของนับตังค์มาแล้วยังสะเทือนใจไม่หายก็ขอผ่านเครื่องดื่มพวกนี้ไปกดน้ำพันช์สีส้มมาดื่มแทน ชาบูทุกหม้อแน่นขนัด
ฉันเขม่นตาหรี่มองคนที่พูดไปตุเป็นตะ “ตลกละ” ไนล์หัวเราะก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด “พ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งนับแต้มหรอกนะ เขาแค่ดีใจที่มีคนมาดูแลนับแต้มเพิ่มขึ้นไง ถ้าอะไรๆ ลงตัวเราสองคนก็ไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นดีมั้ย” “อื้ม” ฉันพยักหน้าอยู่กับอกร่างสูง “ว่าแต่...อาทิตย์หน้าก็จะฝึกงานเสร็จแล้วใช่มั้ย” ฉันชะงักมือที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าไปทำตาโตใส่ไนล์ “จริงด้วย! นับแต้มยังทำรายงานไม่เสร็จเลย เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องนับตังค์ อ๊ะ!” “รายงานน่ะเดี๋ยวค่อยทำ มาทำการบ้านกับไนล์ก่อน” ฉันร้องเสียงหลง ร่างของฉันที่ตั้งใจจะผละออกไปยังที่โต๊ะทำงานกลับต้องซวนเซมาอยู่ในอ้อมแขนของไนล์อีกครั้งริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนลิ้นหยุ่นจะเข้ามากวาดต้อนความหวานด้านในด้วยความรวดเร็ว ไนล์ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าดันร่างฉันให้ก้าวถอยหลัง และด้วยขนาดของพื้นที่ห้องที่ไม่ได้กว้างอะไรเลย เพียงเดินถอยหลังสองสามก้าวก็ชนเข้ากับขอบเตียงเสียหลักหงายหลังหล่นตุ๊บไปอยู่บนที่นอนแล้ว ยังดีที่เหมือนว่าร่างสูงได้คาดคะเนไว้แล้วจึงใช้มือหนายั้งแผ่นหลังฉันไว้ไม่ให้กระแทกลงไปอย่างเ