LOGIN“มาโน่นแล้วเว้ย” ฟลุ๊กโพล่งขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามาอยู่ในรัศมีของสายตา
หนุ่มหล่อทั้งสี่คนรอจนกระทั่งนทีหย่อนก้นลงม้านั่งตัวเดียวกันกับไอดิน ก็ยิงคำถามที่อยากรู้ทันที
“หายไปไหนมาวะ ทำไมไม่มานั่งกินข้าวกับพวกกู” อาทิตย์เอ่ยเข้าประเด็น ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่าเพื่อนหายไปไหนมา
ก่อนหน้านี้ที่โรงอาหารพวกเขาห้าคนคุยกันว่าแยกย้ายไปซื้อข้าวเสร็จก็มารวมตัวกันที่โต๊ะประจำ แต่นทีเดินถือจานอาหารตามสั่งมาได้เพียงครึ่งทางก็เดินเลี้ยวไปอีกทาง สร้างความงุนงงและความอยากรู้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก
จากที่สี่หนุ่มมองตามหลังไปจนกระทั่งเพื่อนนั่งลง ก็พอมองออกว่าคนที่นทีนั่งด้วยเป็นผู้หญิง และตอนทั้งคู่หันมาคุยกัน ได้เห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของเธอ ดูจากที่ไกลแล้วตัวจริงคงจะน่ารักมากเลยทีเดียว
“เห็นแวบ ๆ ว่านั่งกับผู้หญิงใช่ไหมวะ” ไวน์เสริมขึ้น พร้อมกับยกคิ้วข้างหนึ่งอย่างสงสัย
นทียิ้มมุมปาก แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับทันที
“กูว่าใช่แน่ ๆ” อาทิตย์พูดพลางใช้ศอกกระแทกแขนของฟลุ๊กให้พูดเสริม
“เสือซุ่มนี่หว่า ไม่ปฏิเสธแบบนี้แสดงว่าใช่”
“เล่ามาให้หมด ไม่งั้นกูจะให้พี่ปลายฟ้ามาสอบปากคำ” ไอดินพูดติดตลก แต่ก็แฝงไปด้วยความอยากรู้ไม่ต่างจากสามคนนั้น
“ไอ้นี่เอาชื่อพี่กูมาขู่อีกละ” นทีรู้ว่าถ้าพี่สาวอยากรู้อะไร ก็จะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งให้รู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า “กูบอกก็ได้ นั่นน้องข้าวหอม อยู่ปีหนึ่ง”
“ชื่อข้าวหอม แล้วตัวหอมไหมวะ” ไวน์เอ่ย
“หอม” เขาตอบออกไปทันควัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตกหลุมพลางไอ้เพื่อนเวรนี่เข้าแล้ว “ไอ้สัส มึงพูดอะไรเนี่ย”
“ถามแค่นี้ทำหน้าแดงเป็นตูดลิงเลยนะ” ไวน์พูดหยอกอีกครั้ง และเพื่อนที่เหลือก็พากันส่งเสียงขำจ้องไปยังหน้าหล่อของนทีที่แดงก่ำ
“อะไรของมึง ใครหน้าแดง ได้เวลาเรียนแล้วลุกดิ ไม่เข้าเรียนกันหรือไง”
นทีว่าพลางลุกออกจากม้าหินอ่อนทันที เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างเสียอาการเมื่อถูกเพื่อนรุมจับผิด แต่กลิ่นกายของข้าวหอมนั้น หอมละมุนไม่ต่างจากใบหน้าของเธอเลย
แล้วพวกเพื่อนอีกสี่คนก็รีบลุกตามกันออกมา นทีจึงเลื่อนแขนขึ้นไปพาดต้นคอของไอดิน หันใบหน้าไปส่งสายตาร้องขอ และเพื่อนมันก็รู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“เออ ๆ กูไม่บอกพี่ปลายฟ้าหรอก”
“ขอบใจนะเพื่อน”
“ชอบคนนี้จริงเหรอวะ” ไอดินเอ่ยถาม และเพื่อนที่เหลือต่างก็หูผึ่งรอฟังคำตอบ
“อือ” นทีขานรับในลำคอ มุมปากคลี่ยิ้มขึ้น
ที่จริงเขาไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน กลัวว่าถ้าผิดหวังขึ้นมาแล้วจะถูกเพื่อนล้อ เลยไม่อยากบอกตอนนี้ แต่ในเมื่อพวกมันดูเหมือนจะมองออกกันอยู่แล้ว จึงยอมรับออกไปแต่โดยดี
“ชอบก็จีบเลยดิวะ” อาทิตย์โพล่งขึ้น
ตามด้วยเสียงของไวน์ “นั่นดิ มึงอย่าถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะเดี๋ยวนี้ยิ่งช้า หมาก็ยิ่งคาบไปแดก”
“พวกกูสนับสนุน จีบเลยเพื่อน จีบไม่ติดก็จับกดไปเลย” ฟลุ๊กเอ่ยปิดท้ายด้วยสีหน้าทะเล้น
“จับกดบ้านมึงดิ น้องมันเพิ่งปีหนึ่ง ถ้ากูจะทำจริง ๆ ต้องสมยอมเท่านั้นเว้ย”
น้ำเสียงจริงจังของนทีพลันทำให้บรรดาเพื่อนทั้งสี่ต่างพากันสงสัยว่าน้องข้าวหอมมีดีอะไร ถึงทำให้ไอ้คนหัวใจด้านชาแบบนทีเปิดใจอยากจีบเด็กปีหนึ่งคนนี้ขึ้นมา แถมยังไม่พาขึ้นเตียงแต่จะรอให้เด็กยินยอมพร้อมใจ
*****
ทางด้านข้าวหอม
“วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็ว พวกเราไปดูหนังกันไหม”
อบเชยเอ่ยชวนเพื่อนขณะกำลังเดินออกจากห้องเรียน ตามจริงทั้งสองต้องเข้าเรียนอีกหนึ่งวิชาจนถึงห้าโมงเย็น แต่เนื่องจากวันนี้อาจารย์มีธุระด่วนเลยยกคลาสไปเรียนเสริมวันเสาร์แทน อบเชยเห็นว่าเวลาเพิ่งจะบ่ายสามเลยอยากชวนข้าวหอมออกไปผ่อนคลายก่อนกลับเข้าบ้าน
“อื้ม ก็ดีเหมือนกัน กลับห้องไปก็ไม่มีอะไรทำ” เสียงหวานของข้าวหอมเอ่ยตอบ
ทว่าสองสาวยังไม่ทันได้เดินออกจากตึกคณะ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของข้าวหอมก็ส่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เจ้าของมือถือหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วกดรับสาย
“ค่ะพี่จันจิ”
(แกว่างรึเปล่า ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ)
“เอ่อ พอดีฉันนัดเพื่อนไว้”
(เพื่อนแกสำคัญกว่าฉันหรือไง ถ้าไม่ช่วยฉันจะบอกให้คุณแม่งดส่งเงินให้แกใช้)
จันจิมักจะใช้ผู้เป็นแม่มาเป็นข้ออ้างในการบีบบังคับให้น้องสาวต่างมารดายอมทำตามคำสั่ง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ถ้าเธอต้องการ ใครก็ห้ามปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นก็จะเหวี่ยงวีนเพราะถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็ก
ข้าวหอมถอนหายใจอย่างหนักอก ทุกวันนี้เงินทุกบาททุกสตางค์พ่อของเธอไม่ได้เป็นคนจัดการ แต่เป็นแม่ใหญ่ที่เป็นฝ่ายโอนเงินมาให้ใช้ แล้วถ้าพี่สาวไปฟ้องขึ้นมา เธอก็คงจะเดือดร้อนแน่
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไร”
(มาหาฉันที่ตึกบริหารฯ …)
จันจิเอ่ยออกคำสั่งจบก็วางสายไป
“ฉันคงไปไม่ได้แล้วล่ะ” ข้าวหอมหันใบหน้าที่ทำให้เพื่อนผิดหวังมองไปยังอบเชย
“มีอะไรเหรอ”
“พี่จันจิเรียกไปหาน่ะ เอาไว้วันหลังเราค่อยนัดกันใหม่นะ ฉันไปก่อน”
อบเชยพยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้เพื่อนไม่บอกว่าพี่สาวต่างแม่เรียกหาทำไม ทว่าดูจากสีหน้าของข้าวหอมก็คงเป็นเรื่องลำบากใจ จึงไม่ได้ซักไซ้อะไร
หลังจากแยกกันข้าวหอมก็ไปหาจันจิที่ตึกคณะบริหารธุรกิจ เมื่อเห็นสาวหุ่นดีอยู่ในชุดนักศึกษารัดรูป นั่งไขว้ห้างกอดอกอยู่ตรงม้าหินอ่อน หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ทำไมมาช้า ฉันนั่งรอจนร้อนไปหมดแล้วเนี่ย อะนี่ เนื้อหาที่ฉันจดเอาไว้ แกเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วส่งมาให้ฉันภายในคืนนี้”
จันจิว่าพลางฉีกกระดาษโน้ตในสมุดยื่นให้กับข้าวหอมด้วยสีหน้าออกคำสั่ง
“คืนนี้”
ข้าวหอมเปล่งเสียงดังขึ้นเนื่องจากเวลากระชั้นชิด พลางนึกในใจว่างานของตัวเองแต่กลับมาใช้ให้คนอื่นทำแทน ที่จริงแค่รบกวนเวลาพักของเธอก็มากพอแล้ว นี่ยังหลอกให้มารับเพียงกระดาษใบเดียวแทนที่จะถ่ายรูปเนื้อหาส่งมาให้ทางแชทก็ได้ ไม่เห็นต้องให้ถ่อสังขารมาถึงที่นี่เลย แล้วก็เป็นงานเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เธอก็ทำได้แค่บ่นในใจก่อนจะถามออกไป
“มีแค่นี้ใช่ไหม”
“อือ ฉันไปล่ะ อย่าลืมส่งงานที่แปลเสร็จแล้วมาให้ทางอีเมล พรุ่งนี้เช้าฉันไม่มีเรียนจะได้เอาตรวจซ้ำเพราะต้องส่งตอนบ่าย”
“ค่ะ”
ข้าวหอมขานรับเสียงต่ำด้วยใบหน้าง้ำงอ มองตามแผ่นหลังของพี่สาวต่างแม่เดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย รู้ว่ามีงานด่วนก็ยังจะไปเที่ยว แทนที่จะเอาเวลาว่างมาทำงานที่อาจารย์สั่ง
หญิงสาวนึกบ่นในใจขณะเดินไปยังร้านคาเฟเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากโรงอาหารของคณะที่เธอเรียน สั่งน้ำปั่นและขนมเค้กมานั่งกินไปพลางอ่านข้อความที่ได้รับจากจันจิแล้วนั่งแปลลงในโทรศัพท์มือถือ คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานอย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็คงเสร็จ
เรื่องแปลน่ะไม่ยากสำหรับคนที่สอบได้เกรดสี่วิชาภาษาอังกฤษอย่างเธอ แต่ก็มีบางคำที่ติดขัดไปบ้าง เพราะต้องใช้คำศัพท์เฉพาะทาง ก็ให้เจ้าของงานไปปรับแก้เอาเอง เธอช่วยแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว
นั่งอยู่ในคาเฟไม่นานโทรศัพท์ของเธอที่กำลังพิมพ์เนื้อหาอยู่ก็มีข้อความเด้งขึ้นมา หญิงสาวเผยรอยยิ้มหวานเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อของคนส่ง ก่อนจะกดเข้าอ่านแชทที่ได้รับ
ข้าวหอมปรือดวงตาขึ้นในช่วงสายของวันอย่างงัวเงีย แต่ดีที่ไม่มีอาการปวดหัวจากอาการเมาค้าง ทว่าคนข้างกายของเธอได้หายไปไหนแล้วไม่รู้ มีเพียงกล่องของขวัญสีขาวผูกริบบิ้นสีชมพูวางอยู่ตรงที่เขานอนกอดเธอเมื่อคืนหญิงสาวเผยรอยยิ้มหวานลุกออกจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมใส่ ก่อนจะหยิบกล่องสีขาวขึ้นมาดึงริบบิ้นออก เปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในพร้อมกับใจที่เต้นด้วยความตื่นเต้น แล้วดวงตาคู่หวานก็ปรากฏร่องรอยของความแปลกใจกับของขวัญที่ได้รับด้านในกล่องมีกุญแจรถยนต์ และโบรชัวร์ของโครงการบ้านเดี่ยว ขณะที่หญิงสาวยังอึ้งกับสิ่งที่เห็น เสียงของนทีก็ดังขึ้นพลันทำให้เธอตกใจเล็กน้อย เพราะไม่ทันได้สังเกตว่าเขายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไร“ถูกใจของขวัญที่พี่ให้ไหม”“นี่คืออะไรเหรอคะ” เธอยังรู้สึกงุนงง ไม่คิดว่าเขาจะให้ของชิ้นใหญ่ขนาดนี้“รถของเมียพี่ไงครับ แล้วก็บ้านหนึ่งหลังที่จะเป็นเรือนหอของเรา”เขาเอ่ยพลางเข้ามานั่งลงบนเตียง ตอนนี้ข้าวหอมก็เรียนจบแล้ว ได้เวลาสร้างครอบครัวที่เคยวาดฝันกันเอาไว้นทีได้ซื้อรถเก๋งให้เธอหนึ่งคันเป็นของขวัญวันเรียนจบ ส่วนโบรชัวร์โครงการบ้านเดี่ยว เขาอยากให้เธอมีส่วนร่วมการตัดสินใ
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สองสาวเพื่อนรักอย่างข้าวหอมและอบเชยก็ได้เรียนจบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และค่ำนี้ประมาณหนึ่งทุ่มทุกคนก็พร้อมหน้ากันที่เลานจ์ซึ่งเปิดให้บริการที่โรงแรมชื่อดัง หนึ่งในธุรกิจของครอบครัวนทีหนุ่มหล่อสาวสวยรวมแปดคน นั่นก็คือ นที ข้าวหอม ไอดิน ปลายฟ้า ไวน์ อาทิตย์ ฟลุ๊ก และอบเชย ได้นั่งอยู่ในห้องวีไอพีแบบส่วนตัว สั่งอาหารหลากหลายเมนู รวมถึงเหล้าพร้อมกับมิกเซอร์“มาครับทุกคน ฉลองให้กับสองสาวหน่อย”ไวน์ลุกขึ้นยืนพร้อมแก้วที่มีเหล้าผสมโซดา ยื่นออกไปตรงหน้าเอ่ยเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม แล้วเสียงแก้วทั้งแปดใบก็ยื่นออกไปกระทบกัน ก่อนจะยกจรดริมฝีปากของตัวเองกระดกน้ำสีอำพันกลืนลงคอจนหมดแก้วคืนนี้ทุกคนตั้งใจมาเพื่อแสดงความยินดีให้กับว่าที่บัณฑิตใหม่ทั้งสองคน ไม่เมาไม่กลับ“พี่มีของขวัญมาให้ด้วยนะ” ปลายฟ้าเอ่ยพลางหยิบของขวัญที่เตรียมมาด้วยยื่นให้กับคนเรียนจบ“นี่ของข้าวหอมจ้ะ” ปลายฟ้าเอ่ยพลางมอบของขวัญสองอย่างให้กับแฟนน้องชาย“ขอบคุณนะคะพี่ปลายฟ้า”ข้าวหอมรับมาไว้ในมือ คนอื่น ๆ ก็เชียร์ให้เปิดดู พบว่าเป็นกระเป๋าสะพายข้างแบรนด์ขึ้นชื่อ และยังมีสร้อยข้อมือประดับเพชร“ว้าว สวยมาก
อาทิตย์ต่อมาครอบครัวฝ่ายชายได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้งเพื่อส่งมอบทองห้าบาท เงินสดสามล้านตามที่ครอบครัวฝ่ายหญิงประสงค์ ทุกคนต่างมากันอย่างพร้อมหน้ารวมทั้งข้าวหอม นที และยายของหญิงสาวการมอบสินสอดในครั้งนี้ถือว่าเป็นการให้คำมั่นและความไว้วางใจ บ่งบอกว่าลูกสาวของบ้านนี้ได้กลายเป็นลูกสะใภ้ของอีกบ้านแล้ว แม้จะยังไม่ผ่านพิธีการใด“ในส่วนนี้พวกคุณเก็บไว้ได้เลยนะคะ ส่วนในอนาคตพวกเราคงต้องขอสงวนสิทธิ์ให้หนูข้าวหอมรับเพียงคนเดียว”แม่ของชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าจะขัดใจอีกฝ่าย ทำให้จินดารีบโพล่งขึ้น“อนาคต หมายถึงอะไร”“เราทำตามที่ตกลงกันแล้วนะคะ ทองห้าบาท เงินสดสามล้าน หนูข้าวหอมอยู่กับลูกชายของเรา คุณยายย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา หลังจากเรียนจบพวกเราจะจัดงานแต่งกันอีกครั้ง”“อันนี้ฉันเข้าใจ แต่ทำไมต้องสงวนสิทธิ์ให้แค่ข้าวหอม”“หยุดพูดได้แล้ว”ในขณะที่จินดารู้สึกขัดใจกับถ้อยคำอีกฝ่าย สามีของเธอก็ส่งเสียงเอ็ดทำให้สงบปากสงบคำในทันทีเพราะเมื่อหลายวันก่อน หลังจากทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว สามีก็ได้เรียกลูกสาวคนโตกลับมาที่บ้าน อยู่กันครบทั้งแม่ลูก ก็ได้ต่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
“ตอนที่พวกคุณไปเจอเด็กทั้งสองอยู่ด้วยกัน หนูข้าวหอมได้แจ้งชัดเจนแล้วนะคะว่าอยากจะพาคุณยายออกไปอยู่ข้างนอก พวกเราเลยจะมาคุยเรื่องนี้ด้วย”แม่ของชายหนุ่มเอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปถามแฟนของลูกชาย“แล้วยายของหนูล่ะจ๊ะ”“ยายอยู่บ้านอีกหลังค่ะ” เธอตอบไม่เต็มเสียง กลัวว่าผู้เป็นพ่อจะไม่เห็นด้วย“ดิฉันว่าให้คุณยายมาฟังสิ่งที่พวกเราคุยกันด้วยดีกว่านะคะ ยังไงท่านก็เป็นอีกคนที่เลี้ยงดูหนูข้าวหอมมา”ขันธ์ชัยเห็นว่าสมควรเป็นอย่างนั้น จึงเรียกให้แม่บ้านไปพาแม่ของภรรยาผู้ล่วงลับเข้ามานั่งในห้องนี้อีกคนหญิงชรานั่งลงข้างหลานสาว ยังไม่รู้ว่าการถูกเรียกตัวเข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ในรอบกี่ปีก็จำไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไร อีกทั้งยังมีคนนอกที่ไม่รู้จักอีกต่างหากและพอลูกเขยแนะนำให้รู้จักอีกฝ่าย มีการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้รับทราบ หญิงชราก็รู้สึกยินดีที่หลานสาวมีคนรัก และพร้อมจะดูแลเธอต่อจากนี้ แต่ที่ยังไม่ทราบคือ…“หนูข้าวหอมอยากพาคุณยายออกไปอยู่ข้างนอก คุณยายสะดวกไหมคะ” แม่ชายหนุ่มเอ่ยถาม ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยให้คนชรายายหลานหันจ้องมองกัน ข้าวหอมกอดแขนของยายแน่น แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังหญิงชร
ในขณะข้าวหอมและนทีกลับเข้าห้อง เขาก็คว้าเอาแฟนสาวเข้ามาโอบกอด แผ่นหลังของเธอสั่นไหว ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจ“ขอโทษนะที่เมื่อกี้พี่พูดไม่ดีกับพ่อของเราไป”“ฮึก พี่นทีไม่ผิดค่ะ ฮึก หนูผิดเอง”“อย่าพูดอย่างนั้น ข้าวหอมดีที่สุดสำหรับพี่ ดีที่สุดสำหรับทุกคน”ทว่าเธอกลับตอกย้ำตัวเองในใจ ว่ายังไม่ดีพอสำหรับคนบ้านนั้น อยู่ที่นั่นเธอไม่มีพื้นที่ให้หายใจ ทำอะไรก็ผิด โดนเอาเปรียบ ถูกต่อว่า มีแค่ยายที่เป็นที่พึ่งพิง ให้ความรักความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียว“พี่นที ฮึก ยายยังอยู่ที่นั่น”เขาได้ยินที่เธอพูดเรื่องหาบ้านให้ยายแล้ว แต่ตอนนี้จิตใจของแฟนสาวกำลังบอบช้ำ พวงแก้มก็เป็นรอยนิ้วมือบวมแดง จะปล่อยให้ไปหายายตอนนี้ข้าวหอมคงยังไม่พร้อม“เดี๋ยวพี่จัดการให้”*****สองวันต่อมาในช่วงบ่ายแก่ ๆ เสียงกริ่งที่หน้าบ้านเจ้าของตลาดใหญ่ดังขึ้นอยู่สองครั้ง แม่บ้านก็รีบวิ่งออกมาที่ประตูรั้ว เมื่อทราบว่าคนที่มาเยือนมีธุระกับเจ้านายของตนด้วยเรื่องสำคัญ จึงเชิญเข้าไปนั่งรอในบ้าน แล้วรีบแจ้งให้ผู้เป็นนายรับทราบพ่อแม่ของนทีพร้อมด้วยทนายได้เข้าไปที่บ้านของข้าวหอม ตามคำขอของลูกชาย และพอเจ้าของบ้า
ทางด้านจันจิหลังจากตื่นนอนก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วกลับเข้าบ้านในวันเสาร์ เนื่องจากหลักฐานการถูกทำร้ายยังอยู่บนแก้มทั้งสองข้างไม่จางหาย“หน้าลูกไปโดนอะไรมา นี่มันรอยมือใช่ไหม”ขณะกำลังกินมื้อเช้ากันอย่างพร้อมหน้าสามคนพ่อแม่ลูก แม่ของจันจิได้เห็นรอยนิ้วมือบนพวงแก้มของลูกสาวก็พลันแสดงสีหน้าตกใจ ทำให้ผู้เป็นสามีเบี่ยงสายตาตำหนิลูกสาวทันที“ไปมีเรื่องกับใครมาอีกล่ะ”“นี่คุณ ถามให้มันดี ๆ หน่อย ลูกของเราไม่ใช่เด็กเกเร”“แค่กินเที่ยวไม่เว้นวัน”แม้ว่าจะเป็นห่วงที่เห็นลูกเจ็บ แต่พ่อก็มักจะพูดด้วยถ้อยคำเหน็บแนมอยู่เสมอ“เด็กวัยรุ่นมันก็ต้องมีบ้างสิ ทำอย่างกับตอนเรียนคุณไม่เที่ยว”ได้ยินผู้เป็นแม่พูดถึงสมัยเรียนก็ทำให้จันจินึกถึงคำพูดของข้าวหอมเมื่อคืน แต่ทว่าวันนี้เธอไม่ได้มาเพื่อถามเอาความจริงจากเรื่องนั้น แต่มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า“เมื่อคืนหนูไปเที่ยวกับเพื่อนจริง ๆ ค่ะ แต่ว่าไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร”“ไม่มีเรื่อง แล้วรอยนี่มาได้ยังไง” แม่ของเธอเอ่ย“เอ่อ เมื่อคืนหนูเจอ…” จันจิแสร้งทำหน้าลำบากใจราวกับไม่อยากจะเอ่ย เมื่อเห็นพวกท่านจ้องเธอด้วยรอฟังคำตอบ จันจิจึงพูดต่อ“เจอข้าวหอมไปกับผู้ชาย”แล







