อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน
หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว
“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต
“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย”
“อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน
“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้
“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก
“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่ทำจากหินอ่อนขึ้นมาไว้ในมือ
อันธิกาชะงักทันที “อะไรนะ เฮียต้นซื้อเหรอ” เธอหยิบแฟ้มมาเปิดดูใหม่และเห็นจริงว่าเป็นเช็คที่ออกในนามของพี่ชาย หญิงสาวดูอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะมีคำถามต่อมา
“แล้วณิชชาคือใคร ทำไมเฮียต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ แล้วบ้านหลังนี้ราคาห้าหกสิบล้านเชียวนะ ไม่น่าจะใช่เด็กที่เฮียเขาเลี้ยงใช่ไหม”
“แล้วทำไมแบมถึงคิดว่าเฮียจะรู้ละจ๊ะ เฮียต้นเขาทำอะไรก็ไม่ได้บอกเฮียทุกเรื่องหรอกน้า”
“ได้ค่ะ ไม่เป็นไรงั้นแบมจะไปถามเขาเอง” อันธิกาคิดว่าจู่ๆ เธอจะให้พี่ชายเปย์อะไรให้ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ขนาดนี้คงไม่ดี อย่างน้อยก็อยากไปถามเพราะความเป็นห่วงว่าเขาไม่ได้กำลังหน้ามืดไปกับพวกมิจฉาชีพที่มีไปทั่วทุกหนแห่ง
“อ๊ะ... อย่าเลยแบม เฮียต้นเขาไม่ใช่เด็กแล้ว เฮียว่าปล่อยเขาไปเถอะ”
“เอางั้นเหรอคะ” อันธิกาย้อนถามหรี่ตามองคนรัก ยิ่งพูดยิ่งมีพิรุธมากขึ้นเรื่อยๆ
“แบบนั้นละจ้ะ อย่าไปสนใจเรื่องของเฮียต้นเขาเลยเสียบรรยากาศเปล่าๆ นะ”
“งั้นทริปไปญี่ปุ่นของเราคงจะต้องยกเลิกไปก่อนแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าแบมไม่สบายใจเท่าไหร่ กลัวเฮียต้นเจอมิจฉาชีพ”
“ได้จ้ะ เอ้ย...อ้าว เฮ้ยไม่ได้สิแบม เราตกลงกันแล้วนะกว่าเฮียจะลางานได้ยาวๆ แบบนั้นยากจะตาย” ยงธนัทโวยก่อนจะยอมในที่สุด “ก็ได้แต่ถ้าเฮียบอก แบมอย่าไปถามอะไรเฮียเขานะ”
อันธิกาจ้องเขม็ง ในที่สุดเธอก็ยอมรับปาก “ได้ค่ะ”
“คุณณิชชาคือแม่ของน้องวิน ที่เฮียซื้อบ้านให้คือตั้งใจจะซื้อให้เด็กๆ อยู่ด้วย ไม่ใช่ให้คุณณิชคนเดียวหรอก”
“เดี๋ยวนะคะ เฮียใช้คำว่าเด็กๆ แปลว่าอะไรคะ เฮียไม่ได้มีลูกคือน้องวินคนเดียว หรือว่าเฮียไปหลงสาวมีลูกติดอะไรงี้เหรอ” อันธิกาเดา
“เอ่อ... คือว่าเด็กๆ เฮียหมายถึงน้องวินกับน้องหวาน คือวินมีฝาแฝดผู้หญิงที่อยู่กับแม่น่ะ ส่วนวินก็อยู่กับเฮียต้นเด็กๆ เพิ่งได้เจอกันไม่กี่วันก่อนนี้เอง” ยงธนัทพยายามพูดให้เข้าใจและครอบคลุมเรื่องทั้งหมดเพื่อไม่ให้อันธิกาถามจี้มาก
“งั้นแบมก็มีหลานอีกคนน่ะสิเฮีย หูย... อยากเจอจังทำไงจะได้เจอ ถ้าไปขอเจอหลานแม่เขาจะว่าไหม” อันธิกาทำท่าตื่นเต้น
“คงไม่หรอกมั้ง คุณณิชเขาจริงๆ ก็เป็นคนดีนะ ใจดีด้วย”
“แล้วทำไมเฮียไม่พาแม่หลานเข้าบ้านละถ้าเขาดีจริง” อันธิกาตั้งข้อสงสัย ก่อนจะสรุปเอง
“อ๋อ แบมรู้ล่ะ เฮียต้นซื่อบื้อเองละมั้ง ต้องใช่แน่ๆ เลย”
ต่อมาณิชชาและลูกย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านใหม่เรียบร้อยโดยที่อังกูรส่งคนมาช่วยจัดการให้ สองแม่ลูกไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอยควบคุมดูแลการขนย้ายว่าจะเอาอะไรไปบ้าง โดยที่วันต่อมาชายหนุ่มต้องเดินทางไปจีน อังกูรจึงพาน้องวินมาส่งที่บ้านใหม่พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่สองใบ และมีแม่บ้านกึ่งพี่เลี้ยงอีกหนึ่งคนที่ชายหนุ่มส่งให้มาด้วยกันเพื่อช่วยณิชชาดูแลเด็กๆ และทำงานบ้าน
“กุญแจรถยนต์คันที่จอดหน้าบ้านนะครับคุณณิช ช่วงนี้เฮียไม่ค่อยมีเวลาเลยสั่งให้เอารถที่เฮียเขาใช้ประจำมาไว้ให้คุณณิชใช้ เฮียสั่งว่าเขากลับมาจากจีนจะมาดูคันใหม่ให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณย้ง”
เพราะว่าช่วงนี้ณิชชาต้องไปรับส่งเด็กๆ ที่เรียนคนละโรงเรียน เธอจึงยอมรับรถยนต์ไว้ใช้ชั่วคราว โดยที่ช่วงเช้าเธอจะไปส่งหวานหวานก่อนและเลยไปส่งวินแล้วค่อยเข้าที่ทำงาน ส่วนตอนเย็นจะไปรับวินก่อนจากนั้นวกรถกลับไปรับหวานหวานแล้วตรงกลับบ้าน ซึ่งเป็นแผนการที่สามารถทำเวลาได้ดีและเธอเองก็ไม่ต้องไปทำงานสายด้วย
ณิชชาต้องออกจากที่ทำงานก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นการลงเวลาว่าเป็นการออกไปทำงานตามคำสั่งของอังกูรคือไปรับน้องวินในช่วงที่เขาไม่อยู่ เพื่อกันข้อครหาที่อาจจะมีซึ่งดูเหมือนว่าเขารอบคอบแล้ว แต่ในความเป็นจริงก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ช่วยอะไรณิชชาได้มากนัก เพราะเธอก็ยังถูกจับตามองอยู่ดีและตกเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่พนักงานอยู่บ่อยครั้ง
“คนนี้เหรอเธอ ที่ว่าเป็นเด็กที่คุณอังกูรเลี้ยงดู”
“ก็น่าจะใช่นะ น่าจะเป็นแม่ของคุณหนูวินด้วย เพราะฉันเคยเห็นนางไปรับคุณหนูกลับมาจากโรงเรียน มีเด็กผู้หญิงอีกคนหน้าตาคล้ายๆ กันมาด้วยน่าจะฝาแฝดนะ”
“อ้าวแล้วทำไมคุณอังกูรเอาแต่ลูกชายไปเลี้ยงเป็นลูกออกหน้าออกตาล่ะ แม่เด็กกับน้องสาวไม่เอาเหรอ”
“ก็คงตามประสาบ้านคนจีน พวกเมียน้อยเมียเก็บถ้ามีลูกชายก็คงเอาไปเลี้ยงเองเป็นทายาทละมั้ง ส่วนพวกลูกสาวกับเมียเก็บก็คงได้อยู่ที่เดิมเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยไป”
“แล้วที่ว่ายายณิชอะไรนี่เรียนจบโทจากเมืองนอกล่ะ จบโทแล้วจะมาเป็นเมียเก็บทำไม เงินเดือนก็ไม่น้อยหัวหน้าแผนกเชียว”
“ฉันว่าประวัติก็คงเฟกเอานั่นละ ใครจะไปตรวจล่ะว่าเด็กเส้นขนาดนี้เรียนจบเมืองนอกจริงไหม ไม่เห็นเหรอว่าหน้าที่การงานยายนี่โตเอาๆ ตอนแรกก็นึกว่าเก่ง ที่ไหนได้ทำงานบนเตียงนี่เอง”
บรรดาพนักงานสาวๆ ในสำนักงานจับกลุ่มคุยกัน ยิ่งคุยก็คุยสนุกปากจนเรื่องราวไปไกลจากความจริงอีกไกลโข พวกเธอเมามันจนไม่เห็นว่าใครเดินมาหา
“แต่ถ้าพวกเธอยังไม่เลิกนินทาคนอื่นแล้วไปทำงาน เห็นทีว่าอนาคตทางการงานคงจะดับในเร็วๆ นี้แทนแน่”
“อุ๊ย คุณสุมา... ไปแล้วค่ะ”
ขาเม้าแตกวงเหมือนผึ้งแตกรัง สุพรรษามองตามแต่ละคนที่รีบไปนั่งประจำที่ตัวเองหยิบงานขึ้นมาทำด้วยท่าทีขะมักเขม้นสุดฤทธิ์แล้วถอนใจ ส่ายหน้าไปมา
เธอนึกหนักใจแทนณิชชาและอังกูร หากพวกเขารู้เรื่องว่าเรื่องส่วนตัวของตนเองกลายเป็นอาหารปากของพนักงาน ทั้งสองจะคิดและแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไรที่จะไม่ส่งผลถึงเด็กๆ ทั้งสองคน สุพรรษานึกเป็นห่วงคู่แฝดทั้งสอง เธอเองก็เพิ่งจะทราบเมื่อไม่นานมานี้ว่าณิชชาเป็นแม่ของเด็กทั้งคู่จริง และในเรื่องการทำงานเธอเองก็แน่ใจว่าณิชชาใช้ความสามารถตัวเองในการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาจริงเช่นกัน
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ