หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน
“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง”
สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที
“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ”
เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว
“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมล
บอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด”“อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น”
“ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อ
สุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง”
เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันที่ณิชชาทำอยู่ตอนนี้ต่างหากที่ไม่เหมาะสมกับวุฒิ
“คุณณิชจบโทบริหารจากเมืองนอก เร็วๆ นี้น่าจะได้ย้ายมาทำตำแหน่งผู้บริหารอีกคนบนชั้นนี้ด้วยซ้ำ นี่เธอเป็นเพื่อนกับคุณณิชจริงรึเปล่าทำไมไม่รู้ล่ะ”
เที่ยงวันนั้นณิชชาแจ้งลางานครึ่งวันบ่ายเรียบร้อยแล้ว จึงออกมาจากแผนกตรงไปยังลานจอดรถผู้บริหารด้านหลังอาคาร หญิงสาวนัดอังกูรไว้ว่าจะไปเจอกันที่นั่น โดยไม่ให้เขามารับที่แผนกให้เป็นที่เอิกเกริกและถูกจับตามอง
“ทำไมต้องรีบล่ะคะ” หญิงสาวหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ที่แน่นอนว่างานกองสุมเต็มโต๊ะ
“อีกไม่กี่วันผมต้องไปจีน ถ้าเรื่องบ้านเรียบร้อยภายในหนึ่งอาทิตย์ก็คิดว่าช่วงนั้นจะให้น้องวินมาอยู่กับณิช ถ้าณิชดูแลลูกสองคนไหวเพราะว่าไปนานหลายวันไม่อยากทิ้งน้องวินไว้กับที่บ้าน” เหตุเพราะช่วงที่เขาจะไปจีน เสี่ยกวงและคุณนายอิสรีย์ผู้เป็นบิดามารดาหรือปู่ย่าของเด็กๆ ก็มีแพลนต้องเดินทางไปสิงคโปร์เช่นกัน ชายหนุ่มคิดว่าหากเป็นดังนั้นการให้น้องวินมาอยู่กับณิชชาก็เป็นการเปิดโอกาสให้เธอได้ใช้เวลากับลูกได้สมใจ
ณิชชาเปลี่ยนท่าทีฉับพลันเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า การได้อยู่กับลูกทั้งสองคนตามลำพังโดยไม่มีอังกูรอยู่ด้วย เธอย่อมสบายใจมากกว่าจึงรีบตอบรับ
“ได้เลยค่ะ ณิชดูแลเด็กๆ ได้ไม่ต้องห่วงนะคะ”
ทั้งสองแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านประจำของอังกูรซึ่งอยู่ไกลจากห้างพอสมควร เพราะเขารู้ว่าหญิงสาวจะสบายใจมากกว่าหากไม่มีพนักงานของห้างมาพบว่าเขาและเธอมาด้วยกัน จากนั้นจึงเข้าไปที่บริษัทจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังที่เขาใช้บริการเป็นประจำ
อังกูรให้สิทธิ์ณิชชาในการเลือกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เข้าบ้านใหม่ทั้งห้องนอนของเธอและหวานหวาน จะมีในส่วนของห้องนอนลูกชายที่ชายหนุ่มช่วยออกความเห็นให้ในฐานะที่รู้ใจกันมากกว่า
“ไม่เกินสามวันครับคุณอังกูร ทุกอย่างจัดส่งเรียบร้อยพร้อมติดตั้งและใช้งานได้เลย”
“ขอเป็นงานด่วน รบกวนทางทีมงานด้วยนะครับ ถ้ามีค่าใช้จ่าย ค่าล่วงเวลาพนักงานเป็นพิเศษคิดรวมได้เลย”
ชายหนุ่มยื่นบัตรเครดิตให้และสำทับอีกครั้ง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยิ้มกว้างโค้งให้อย่างสุดตัว
“ทางเราจะบริการให้อย่างเต็มที่เพื่อความพอใจอย่างสูงสุดของลูกค้า ขอบคุณที่เลือกให้เราได้ดูแลนะครับ”
ออกจากที่นั่นก็พอดีได้เวลาเด็กๆ เลิกเรียน อังกูรขับรถไปรับน้องวินก่อนเพราะเลิกเรียนเร็วกว่าเนื่องจากไม่ได้เรียนพิเศษ
“ปกติใครไปรับน้องวินที่โรงเรียนเหรอคะ” หญิงสาวถามระหว่างอยู่บนรถ
“ผมไปรับลูกเองทุกวัน ยกเว้นว่ามีงานที่ปลีกตัวไม่ได้หรือว่าไปเมืองนอก ไปต่างจังหวัด”
อังกูรรู้ตัวว่าตนเองงานยุ่งหากไม่ตั้งใจจัดสรรเวลาให้ลูกเป็นตารางที่แน่นอน เขาจะไม่มีเวลาที่ว่างสำหรับเด็กชายเลย
ณิชชามองเขาอย่างประหลาดใจปนทึ่ง
“แล้วตอนเช้าล่ะคะ”
“ตอนเช้าแบม น้องสาวผมน่ะ น้องสาวคนเล็กจะไปส่งน้องวินเพราะว่าเขาเข้าออฟฟิศก่อนผม จะออกจากบ้านก่อนเลยอาสาไปส่ง”
นอกจากการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก อังกูรเองก็ไม่ลืมว่าลูกควรต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในครอบครัว เขาจึงยอมให้สมาชิกคนอื่นในบ้านมีส่วนร่วมในการดูแลลูก เพราะรู้ว่าเด็กที่ขาดแม่ย่อมต้องการความใส่ใจเป็นพิเศษไม่ว่าจะในช่วงเวลาใดของชีวิต
เมื่อไปถึงชายหนุ่มจัดการแจ้งทางโรงเรียนเรื่องการขอเพิ่มชื่อผู้ปกครองที่สามารถรับส่งลูกได้คือณิชชาอีกคน จากที่เดิมจะมีแค่เขาและอันธิกาที่ลงทะเบียนไว้กับทางโรงเรียน
“วันนี้แม่มาด้วย” เด็กชายวิ่งเข้ามาหาณิชชาอย่างดีใจที่เห็นแม่มารับพร้อมกับบิดา
“เดี๋ยวเราไปรับน้องหวานที่โรงเรียนก่อน แล้วพ่อจะพาไปกินข้าวหิวหรือยังลูก”
ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กชายที่กอดแขนแม่แจไม่ยอมปล่อย ส่วนณิชชาดึงเป้ที่น้องวินสะพายออกมาจะหิ้วเอง แต่เขาเอื้อมมือไปรับมาใส่ท้ายรถและเปิดประตูด้านหลังให้น้องวินขึ้นไปนั่ง
“เมื่อไหร่วินกับน้องจะได้เรียนด้วยกันละฮะแม่... พ่อ”
“เทอมหน้าครับลูก ว่าแต่วินจะย้ายไปเรียนกับน้องหรือให้น้องย้ายมาหาวินดี”
“วินย้ายเองก็ได้พ่อ น้องจะได้ไม่ต้องหาเพื่อนใหม่ วินเป็นผู้ชาย
วินหาเพื่อนง่าย” เด็กชายแปดขวบอาสาทำให้พ่อแม่มองหน้ากัน ณิชชาเอี้ยวตัวไปมองลูกชายแล้วยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอบใจนะลูก แต่เดี๋ยวรอถามน้องก่อนก็ได้นะคะ” เธอยอมรับว่าอังกูรเลี้ยงลูกได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว อย่างน้อยน้องวินก็มีทัศนคติที่ดีถ้าเทียบกับอายุของเขาที่ยังคงเป็นเด็กแปดขวบ
หากแต่ในเย็นวันนั้นบนโต๊ะอาหารเย็นที่ชายหนุ่มพาแวะรับประทานก่อนจะไปส่งณิชชาและหวานหวานที่บ้าน คำตอบของเด็กหญิงก็ทำให้คนเป็นพ่อและแม่ถึงกับหัวเราะ
“หนูย้ายไปเรียนกับพี่วินก็ได้ค่ะแม่ พี่วินบอกว่าโรงเรียนพี่เขาไม่มีเรียนพิเศษ การบ้านก็น้อย”
“แล้วหนูจะไม่คิดถึงเพื่อนที่โรงเรียนเก่าใช่ไหมคะลูก”
เด็กหญิงหยุดคิด “ก็คงคิดถึงสิคะแม่ แต่ถ้าคิดถึงมากๆ หนูขอให้แม่โทรหาเพื่อนให้ก็ได้”
“เด็กๆ ครับ อาทิตย์หน้าเราคงได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันแล้วนะลูก” อังกูรบอกข่าวดีกับลูกฝาแฝด เด็กทั้งสองส่งเสียงเฮอย่างดีใจ
“แบบนี้หนูจะได้ว่ายน้ำทุกวันเลยใช่ไหมคะพ่อ”
“วินก็จะได้นอนกับแม่กับน้องแล้ว ดีใจจัง”
“แต่ว่าพอย้ายแล้ว อีกวันสองวันหลังจากนั้นพ่อต้องไปทำงานที่เมืองจีน วินจะอยู่บ้านแม่ได้ไหมครับลูกสักเจ็ดวันถ้าพ่อไม่อยู่”
เด็กชายพยักหน้าทันทีไม่ลังเล
“ได้เลยฮะพ่อ วินจะดูแลแม่กับน้องเอง”
อังกูรมองหน้าลูกชาย
“ไม่คิดก่อนสักหน่อยเหรอครับก่อนตอบ”
เด็กชายส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ฮะวินอยู่กับแม่ได้ พ่อไปทำงานได้เลย สู้ๆ ครับพ่อ”
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ