ช่วงนี้อังกูรต้องพูดคุยกับสกนธีในเรื่องเกี่ยวกับธุระที่บิดาฝากไว้ค่อนข้างบ่อย
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยว่าทำไมเสี่ยกวงจึงไว้ใจให้สกนธีเข้ามาดูแลเรื่องการก่อสร้างห้างใหม่ ทั้งที่ท่านรู้จักคนมามากมายมากกว่านั้นแน่นอน“จะเป็นไรไปละตี๋ใหญ่ ถ้าอีทำดีมันก็ออกมาดีเราก็ได้งานดี อาเพียงอีก็จะภูมิใจว่าพ่ออีทำงานเก่ง แต่ถ้าอีทำไม่ดีเราก็ไม่ได้เสียอะไรนอกจากเสียเวลาไปนิดหน่อย”
อังกูรพยักหน้าเขาเข้าใจบิดาแล้วว่าท่านเลือกจะให้โอกาสกับลูกเขยเพราะเห็นแก่หลาน ซึ่งถ้าเป็นเหตุผลเรื่องนี้เขาไม่มีสิ่งใดจะคัดค้านอีก
“อั๊วเห็นอาวินขาดแม่แล้วก็ไม่อยากให้อาเพียงเป็นแบบนั้นอีกคน พวกลื้อก็บ้างานพอๆ กันล่ะ”
อังกูรสีหน้าสลดลงเมื่อบิดาพูดถึงบุตรชายของเขาที่เป็นเด็กกำพร้าแม่ ตั้งแต่ภรรยาของเขาจากไปโดยที่เธอไม่เคยกลับมาอีก
“อั๊วไม่ได้จะยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกลื้อหรอก แต่จะทำอะไรก็ช่วยคิดถึงคนรอบตัวด้วย”
“ผมไม่ได้ว่าป๊าแบบนั้นเลย” อังกูรพูดอุบอิบ
“ถึงยังไงอั๊วก็ต้องรักลูกหลานอั๊วมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ลื้อไม่ต้องคิดมากแล้วเรื่องนี้
วันเสาร์ต่อมาสกนธีมารอรับลูกสาวไปเรียนดนตรีตามตารางปกติ ชายหนุ่มพาเด็กหญิงสุพิชชาไปทานอาหารว่างหลังเรียนเสร็จ
“พ่อขา หนูอยากกินไอติม” ความสัมพันธ์ของพ่อและลูกสาวระยะหลังกลับมาสนิทสนมกันเป็นปกติเหมือนเดิม เด็กหญิงสามารถอ้อนพ่อได้อย่างสนิทใจอีกครั้ง
“ไปสิลูก แล้วไม่หิวข้าวเหรอคะ”
“ไม่หิวข้าวค่ะ ตอนนี้หนูหิวไอติมขอช็อกราดเยอะๆ เลยนะ”
“งั้นไปร้านเดิมนะคะ” เด็กหญิงพยักหน้าทันที
สองพ่อลูกพากันไปที่ร้านไอศกรีมชื่อดังร้านโปรดของเด็กหญิง พวกเขาสั่งรายการตามเมนูที่เธอชี้เลือกเองจากนั้นจึงนั่งรอ
“คุณครูบอกว่าเสาร์หน้าจะสอบค่ะ ถ้าหนูสอบผ่านก็เลื่อนชั้นได้แล้วพ่อจะให้หนูเรียนต่อไหมคะ” น้องเพียงเล่าถึงสิ่งที่ครูสอนดนตรีบอกไว้ก่อนจบการเรียนในวันนี้
“แล้วหนูอยากเรียนไหมคะ”ชายหนุ่มถาม อันที่จริงเขาอยากเสริมให้ลูกทำกิจกรรมอื่นบ้างแต่คงต้องถามเจ้าตัวก่อน
“อยากค่ะแต่ว่า...” เด็กหญิงทำท่าคิดหนัก “เพื่อนในห้องบอกว่าเขาเรียนบัลเลต์ด้วยค่ะ”
“แล้วหนูอยากเรียนไหมคะ บัลเลต์น่ะ” เขาถามต่อ
น้องเพียงพยักหน้า “อยากค่ะ หนูอยากใส่ชุดสวยๆ อยากหมุนตัวได้แบบเพื่อน อยากขึ้นเวทีตอนงานโรงเรียน” เธอฟังมาจากเพื่อนในชั้นเรียนอูคูเลเล่ที่อายุมากกว่าหนึ่งปีเล่าให้ฟัง
สกนธีเห็นว่าการเรียนบัลเลต์จะช่วยฝึกบุคลิกภาพให้ลูกได้ เขาจึงไม่ติดขัดอะไร
“ก็เรียนสิคะ พ่อจะสมัครให้เอง”
“แต่แม่ไม่อยากให้เรียนค่ะ แม่บอกอยากให้หนูไปเรียนเลข” เด็กหญิงหมายถึงการเรียนแบบจินตคณิตที่มารดาต้องการให้ไปเรียน
“พ่อว่าก็ดีนะคะลูก เรียนอาทิตย์ละวันสองวันเองเดี๋ยวพ่อคุยกับแม่ให้ไหม” เขาโตมากับการเรียนพิเศษทั้งเจ็ดวัน รู้ดีว่ามันน่าเบื่อและขาดชีวิตชีวาดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น
“หนูจะเอาขนมอะไรไปฝากแม่ดีคะลูก อันนี้ดีไหมคะแม่ชอบ” สกนธีชี้ไปยังชีสเค้ก ในตอนนั้นชายหนุ่มพาเธอเดินไปตามตู้ขนมในแผนกเบเกอรี
“เดี๋ยวนี้แม่ชอบอันนั้นค่ะ หนูเห็นแม่สั่งมาหลายวันละ” น้องเพียงชี้มือไปทาร์ตมะนาวหรือเลม่อนทาร์ต คนพ่อมองแล้วขมวดคิ้ว
“แม่สั่งมาจากแอปเหรอคะลูก”
เด็กหญิงส่ายหน้าหวือ ตอบทันที “เปล่าค่ะ แม่สั่งจากร้านกาแฟข้างบ้านไงคะ”
“ร้านกาแฟข้างบ้าน?” สกนธีลืมไปแล้วว่าอิสริยาแบ่งตึกให้คนเช่าอีกหนึ่งคูหา เขาเองก็ไม่เคยมองว่าผู้เช่าทำธุรกิจประเภทใดไปที่นั่นแต่ละครั้งก็พุ่งความสนใจไปที่อิสริยาและลูกเท่านั้น
“ขนมร้านนั้นอร่อยไหมคะลูก” เขาคิดว่าถ้าอิสริยาชอบขนมของที่นั่น ตนเองควรจะกลับไปซื้อของร้านนั้นก็น่าจะดีกว่า
“อร่อยค่ะ พี่จี๊ดบอกว่าอร่อยด้วยหล่อด้วย” เด็กหญิงยังคงพูดด้วยกิริยาร่าเริงแต่คราวนี้สกนธีชะงัก อะไรคืออร่อยด้วยหล่อด้วย
“ยังไงนะคะ”
“สวัสดีครับร้านไนซ์คาเฟยินดีต้อนรับมีอะไรให้รับใช้แจ้งได้เลยนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นทันทีที่ประตูไนซ์คาเฟ เปิดออก เชฟดนัยเจ้าของร้านคาเฟที่ควบตำแหน่งทั้งเชฟและบาริสตาต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในร้าน
เชฟหนุ่มมองหน้าลูกค้าสองคนซึ่งคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กที่เขารู้จักดี ส่วนชายหนุ่มที่มากับเธอน่าจะเป็นบิดาของเธอที่เขาเคยได้ยินคนพูดถึงว่าแยกกันอยู่กับภรรยา
“สวัสดีค่ะน้านาย” น้องเพียงกล่าวอย่างร่าเริง เด็กหญิงชอบมาที่นี่เพราะชอบกลิ่นหอมของนมเนยและขนมปังอบใหม่
“สวัสดีค่ะน้องเพียง วันนี้รับอะไรดีครับ”
“ขอเป็นมอคค่าปั่นหวานปกติหนึ่งครับ แล้วน้องเพียงเอาน้ำอะไรด้วยไหมลูก”
สกนธีตอบแทน ชายหนุ่มก้มลงถามเด็กหญิงที่กำลังมองเมนูอยู่
“หนูจะเอานมน้ำผึ้งปั่นค่ะพ่อ”
“ครับ ของน้องเพียงนมน้ำผึ้งปั่น ส่วนมอคค่าปั่นนี่ของพี่เอ๋ใช่ไหมครับ” เชฟรูปหล่อทอดเสียงนุ่มถามลูกค้าหน้าใหม่หนึ่งคนและสาวน้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีอีกหนึ่ง
สกนธีตากระตุกเมื่อได้ยินสรรพนาม “พี่เอ๋” จากปากของเชฟหนุ่มตรงหน้า ไอ้หมอนี่รูปหล่อแบบที่ลูกสาวเขาพูดไม่มีผิด ผิวขาวหน้าตาดี สูงรูปร่างดีราวกับนายแบบใครจะคิดว่ามันเป็นเชฟขนมหวานแบบที่น้องเพียงบอก
“ครับ ของภรรยาผมเอง” ชายหนุ่มสองคนสบตากันโดยไม่มีใครหลบตาใคร
“ผมชงเองครับ ของน้องเพียงกับพี่เอ๋เหมือนเดิมนะ” ชายหนุ่มอีกคนปราดออกมาจากหลังร้าน เขามีส่วนสูงน้อยกว่าเจ้าของร้านนิดหน่อยและผิวคล้ำกว่าแต่หน้าตาคมเข้มพอๆ กัน
“น้าเอก” เด็กหญิงสุพิชชาร้องเรียกคนมาใหม่อีกคนเสียงดัง ช่วยทำลายบรรยากาศมาคุให้ดีขึ้นทันตา
“คร้าบ... วันนี้น้องเพียงไปไหนมาเนี่ย”
“ไปเรียนอูคูเลเล่มาค่ะ แล้วก็ไปกินไอติมต่อ” เธอเล่าขณะที่ยืนเขย่งเกาะเคาน์เตอร์มองการทำงานของผู้ช่วยเชฟอย่างสนใจ
“พี่เอ๋สั่งนิวยอร์คชีสเค้กไว้ ผมขอฝากไปด้วยได้ไหมครับหรือว่าจะให้ผมไปส่งเธอเองก็ได้นะ” เชฟหนุ่มหยิบขนมออกจากตู้มาแพ็กและหันมาถามสกนธี
“ผมเอาไปเอง เอ๋จ่ายหรือยังถ้ายังคิดรวมไปเลยก็ได้”
“พี่เอ๋ยังไม่ได้จ่ายครับ งั้นผมคิดรวมไปเลยนะ เครื่องดื่มสองแก้วหนึ่งร้อยแปดสิบ นิวยอร์คชีสเค้กสองชิ้นสี่ร้อยบาทรวมทั้งหมดห้าร้อยแปดสิบบาทครับ” เชฟดนัยแจ้งยอดและส่งถุงขนมให้สกนธี
ชายหนุ่มรับมาพร้อมกับเข่นเขี้ยวในใจ เขานึกออกแล้วว่าอิสริยาซื้อเค้กร้านนี้กลับบ้านอยู่บ้างในสมัยที่ยังไม่ทะเลาะกัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าราคามันจะสูงมาก
‘เค้กห่าไรวะ ชิ้นละสองร้อย’ ชายหนุ่มนึกในใจขณะที่ส่งธนบัตรสีเทาให้เจ้าของร้าน
“เงินทอนครับ ขอบคุณที่อุดหนุนโอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับลูกค้า” เชฟดนัยพูดเสียงนุ่ม
“ไปกันค่ะลูก คุณแม่รอนานแล้ว” ชายหนุ่มรับแก้วเครื่องดื่มสองแก้วมาถือมือเดียวกับขนมและจูงลูกอีกมือ
“หนูไปนะคะ บ๊ายบายค่าน้านายน้าเอก” น้องเพียงโบกมือลาคุณน้าทั้งสอง เธอยิ้มร่าสดชื่นที่มากับบิดาส่วนชายหนุ่มทั้งสองโบกมือตอบและยิ้มนิดๆ แทนคำลา
วันต่อมาสกนธีทำตามที่พูดจริงๆ ชายหนุ่มขนเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว โต๊ะและอุปกรณ์การทำงานจากบ้านมาที่ร้าน โดยมีลูกสาวตัวน้อยคอยช่วยพ่อหยิบจับของด้วยสีหน้าที่บอกว่าดีใจอย่างมากพื้นที่ชั้นสองของอาคารสามคูหานั้นกว้างพอที่เขาจะจัดมุมทำงานและวางเครื่องนอนได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่รบกวนการใช้ชีวิตของอิสริยา“ไหนคุณว่าจะขึ้นไปนอนชั้นสาม” อิสริยาออกจากห้องมาเห็นที่นอนแบบพับปูที่พื้นจึงถามด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ“ตอนนี้ชั้นสามยังไม่ได้ตกแต่ง พี่ขอเวลาแป๊บนะเดี๋ยวให้ช่างเข้ามาติดแอร์ ตกแต่งเพิ่มทาสีใหม่เปลี่ยนอะไรที่เสียชำรุดด้วย” พื้นที่ชั้นสามประกอบด้วยห้องนอนสองห้อง หนึ่งห้องน้ำ และมีส่วนของพื้นที่เปิดเป็นลานกว้าง ที่สกนธีมีแผนจะทำเป็นสวนขนาดเล็กปลูกต้นไม้และดอกไม้เพื่อให้บรรยากาศสดชื่นน่าอยู่ขึ้น“แล้วก็นี่...” สกนธีหยิบโทรศัพท์ออกมากดอะไรอยู่สองสามนาที จากนั้นมีสัญญาณข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชีที่โทรศัพท์ของอิสริยา เธอยกขึ้นดูอย่างงงๆ มองตัวเลขจำนวนห้าหลักที่ถูกโอนเข้ามา“พี่โอนค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่ค่าน้ำไฟให้ ต่อไปนี้จะให้ทุกเดือน” อิสริยาถอนใจ จะไม่ให้เขาอยู่ก็ไม่อ
วันนั้นอิสริยาไม่ได้ไปส่งลูกเพราะว่าสกนธีเสนอตัวไปส่งเอง เธอเห็นว่าน้องเพียงมีความสุขดีจึงไม่อยากขวางสองพ่อลูก หญิงสาวถือโอกาสเคลียร์งานที่ร้านหลังจากที่วานนี้ออกไปดูที่กับพุฒิเมธ และมีการปะทะเล็กๆ กับสกนธีในรถยนต์จนเธอไม่มีสมาธิทั้งวันนอกจากดูแลร้านตัวเองแล้ว หญิงสาวยังมีหน้าที่หลักช่วยเรื่องระบบหลังบ้านของห้างค้าส่งของที่บ้านอีกด้วย ในเรื่องของการดูแลด้านการเงินการบัญชีและระบบเงินเดือน ตอนบ่ายเธอเข้าไปที่สำนักงานของห้างค้าส่งเพราะเป็นวันเซ็นสัญญาจ้างก่อสร้างห้างใหม่ ซึ่งตัวอิสริยาเองต้องเข้าไปในฐานะกรรมการบริหารและหุ้นส่วนคนหนึ่งของห้าง จึงได้พบกับสกนธีที่มากับ ชานนท์และทีมกฎหมายของทั้งสองฝ่าย “ดีนะ ที่อาเอ๋กับผัวไม่ได้จดทะเบียนกัน ไม่งั้นใครรู้จะหาว่าฮั้วกันเองอีก” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังเสร็จสิ้นการลงนามในสัญญา “เอาราคาที่เซ็นไปเช็กก็ได้ ว่าฮั้วกันยังไงบริษัทเขาลดให้เราจนแทบไม่มีกำไร จะพอจ่ายค่าแรงคนงานหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เสี่ยกวงว่าใส่หน้าญาติคนหนึ่งที่เป็นผู้ถือหุ้นของห้างอย่างไม่เกรงใจ ชายสูงวัยพูดต่อ“แล้วลูกสาวลูกเขยอั๊วจะจดทะเบียน
เช้าวันรุ่งขึ้นสกนธีตื่นจากเสียงดังก๊อกแก๊กของแม่บ้านที่มาทำความสะอาด ชายหนุ่มลุกไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ลงไปเอามาจากในรถ เขาจึงได้เห็นว่าบริเวณชั้นสองจะมีแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาด ในโซนห้องครัวแม่บ้านจะช่วยเตรียมอาหารสดไว้ให้อิสริยามาปรุงเองสำหรับอาหารมื้อเช้า เธอไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาเตรียมอาหารสำหรับครอบครัว ทำงานบ้าน แต่งตัวให้ลูก ดูแลให้รับประทานมื้อเช้าและไปส่งลูก ทำทุกอย่างเองแบบในตอนที่ยังอยู่กับเขาอีกแล้ว‘นอกจากช่วยแบ่งเบาภาระไม่ได้ เรายังทำให้เอ๋เหนื่อยขึ้นด้วยการไม่ยอมให้มีแม่บ้าน มึงคิดอะไรอยู่วะตอนนั้น’ เขานึกด่าตัวเองที่เคยหลุดปากตำหนิว่าเธอไม่ดูแลตัวเอง ตอนนี้เมื่อมีโอกาสทบทวนจึงรู้ว่าอิสริยาจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลความสวยความงามแบบตอนก่อนแต่งงาน ในเมื่อเธอต้องดูแลทุกอย่างในบ้านคนเดียวเขาเดินเข้าไปในครัว เห็นอิสริยายืนหันหลังให้เธอกำลังทำอะไรที่หน้าเตา “มีอะไรให้พี่ช่วยไหมเอ๋” หญิงสาวเหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะมองเตาที่หม้อข้าวต้มกำลังเดือด “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เธอได้ยินเสียงเขาเดินมาหาจึงไม่ตกใจ “คุณจะกลับเลยก็ได้ค่ะ ถ้าลูกตื่นเดี๋ยวฉ
สองพ่อลูกหายไปกันประมาณสี่สิบนาทีเมื่ออิสริยาได้ยินเสียงแจ้วๆ ของลูกเธอจึงออกจากห้องทันได้เห็นว่าสกนธีอุ้มลูกเดินขึ้นบันไดมาเพราะเด็กหญิงอ้อนไม่อยากเดินเอง เธอฟังเสียงชายหนุ่มคุยเล่นกับลูกอย่างสะท้อนใจ ภาพความสุขของเด็กหญิงทำให้เธอไล่เขาออกไปจากบ้านไม่ลง จนกระทั่ง“โอ๊ย...” เสียงสกนธีดังขึ้นเพราะลูกที่กอดคอเขาอยู่เผลอกดมือลงบนแผลที่อิสริยากัดเขาเมื่อตอนกลางวัน“พ่อร้องทำไมคะ เจ็บเหรอ” น้องเพียงทำหน้าตกใจจนอิสริยาต้องรีบไปรับตัวลูกมา“น้องเพียงมาหาแม่ก่อนค่ะ”“ไม่มีอะไรค่ะลูก พ่อลืมว่าเดินชนประตูเลยเจ็บ” ชายหนุ่มปล่อยเด็กหญิงลงนั่งบนเก้าอี้ เขารีบพูดให้เธอสบายใจ“น้องเพียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพี่จี๊ดก่อนค่ะลูก จะได้มากินขนม” เมื่อลูกไปกับพี่เลี้ยงแล้วหญิงสาวหันมามองเขาเขม็ง“เลือดออกขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมคุณไม่ไปทำแผล” เธอย่อมจำได้ดีว่าตัวเองเป็นเจ้าของรอยแผลนั้น แต่เขาจะโทษเธอไม่ได้เพราะถ้าเขาไม่ทำรุ่มร่ามมันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสกนธีหันมามองรอยเลือดบนบ่าที่ซึมผ่านเสื้ออย่างไม่สนใจนัก “ไม่เป็นไรหรอกเอ๋ เอาไว้เตือนตัวเองก็ดีเหมือนกัน”
อิสริยาหันมากระชากแขนออกจากมือเขาแต่กลับถูกดึงเข้าไปกอดทั้งตัว ชายหนุ่มยกร่างบอบบางลอยหวือจากเบาะที่นั่งอยู่ไปนั่งบนตักเขา เขารวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้ด้วยกันด้วยมือเดียวไพล่หลัง อิสริยาดิ้นขลุกขลักด้านหลังเธอชนกับพวงมาลัยรถยนต์ด้านหน้าก็ถูกกอดรัดจนขยับไม่ได้“ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้” เธอก้มลงกัดบ่าเขาเต็มแรงเมื่อถูกพันธนาการไว้แน่นหนาสกนธีปล่อยให้เธอกัด เขากอดเธอนิ่งจนหญิงสาวได้กลิ่นเลือดเธอเงยหน้าขึ้นเห็นเลือดที่ซึมจากแผลที่เธอกัดผ่านเนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่เขาสวมอยู่ “กัดอีกก็ได้ เอ๋จะทำอะไรพี่อีกก็ได้ถ้าทำให้ความรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มเจ็บหนึบที่แผลแต่เขารู้ว่านั่นยังไม่เท่ากับที่เขาเคยทำไว้กับเธอ เขาคลายมือที่รวบข้อมือเธอไว้แต่ยังกอดเธอนิ่งรอจนเธอสงบลงเอง “ปล่อยเดี๋ยวนี้” อิสริยาขบฟันด้วยความโมโห“สัญญาก่อนว่าจะไม่วิ่งหนี เดี๋ยวพี่ไปส่งเอ๋ที่ร้านเอง”สกนธีไปส่งอิสริยาที่ร้านแล้วจึงย้อนกลับมาเอาเอกสารที่บ้าน ชายหนุ่มเข้าบริษัทในตอนบ่ายเจอกลุ่มเพื่อนที่มาหาพอดี“มึงไปโดนอะไรมาวะ” อัศราทักขึ้นมา เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมเปลี่ยนเสื้อ ฝ่ายนั้นลุกมาดูใกล้ๆ ที่ไหล่
หลังจากที่พุฒิเมธและมิลินกลับไปแล้ว อิสริยาก็ขยับตัวแต่สกนธีรีบเรียกเธอไว้“เอ๋จะไปไหนครับ ช่วยมาดูอะไรตรงนี้ก่อนได้ไหม” อิสริยาชะงักเธอกำลังจะออกไปมองหารถแท็กซี่ เมื่อครู่ดูเหมือนว่าพุฒิเมธจะลืมว่าเธอยังไม่ได้ตอบคำถาม เขารีบร้อนกลับไปโดยที่ไม่รอเธอตอบสักคำว่าจะกลับอย่างไร แต่อีกใจเธอก็เข้าใจเขาว่าคงต้องการเวลาในการปรับอารมณ์พอสมควร หญิงสาวจึงสะดวกใจที่จะหา รถกลับเองมากกว่า“มีอะไรคะ” หญิงสาวถามแต่ไม่เดินไปหาสกนธีที่กำลังกางกระดาษออกมาดูอะไรสักอย่างในนั้น“พี่อยากให้เอ๋มาดูตรงนี้ทีครับ ว่าพี่เขียนแบบมาอย่างนี้การใช้งานจริงจะโอเคไหม” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเดินมาหาเธอเอง เขาส่งกระดาษแบบโครงสร้างคร่าวๆ ให้เธอดู อิสริยารับไปถือดูเองเขาจึงหันไปขอร่มจากลูกน้องมากางให้ทั้งภรรยาและตนเองเนื่องจากตอนนี้แดดเริ่มแรงมาก“เฮียเขาว่าอย่างไงคะ เห็นแบบนี้หรือยัง” อิสริยาขมวดคิ้วเมื่อการออกแบบห้างใหม่ ดูต่างจากของเดิมค่อนข้างมาก“เมื่อคืนพี่ส่งไฟล์คร่าวๆ ให้ดูยังไม่ได้ลงดีเทล เฮียเขาว่าให้เอ๋ดูวันนี้ก็ได้ว่ามันเหมาะกับที่จริงไหม” “ก็น่าจะดีนะคะ แต่จริงๆ ก็คือยังไม่เห็นภาพค่ะ” เธอตอบตามตรง