“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว
“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ
“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”
มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน
“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ”
หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง
‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’
เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุด
ค่ำวันนั้นเธอไปที่โรงเบียร์และได้พบชานนท์ที่มากับคนรักของเขา แต่ไม่เจอชายหนุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของเธอ
“ไอ้เก่งเหรอ มันไม่มาหรอก” ชานนท์พูดปดแม้จะรู้ว่าอีกสักครู่สกนธีจะมาตามนัดที่เขานัดคุยกับลูกค้าไว้อีกคน
“งั้นมิขอเบอร์โทรเขาได้ไหมนนท์ มีเรื่องสำคัญจะต้องคุยจริงๆ”
ชานนท์ถอนใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่ามิลินเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนมีปัญหากับภรรยา ถึงแม้ว่าสกนธีจะไม่เล่าหรือโทษใครแต่เขาก็ยังจำได้ว่าคืนล่าสุดที่มิลินได้เจอเพื่อนของตัวเอง เช้าต่อมาอิสริยาโทรมาหาเขาและหลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่ามันถูกเมียทิ้ง
“อย่าไปยุ่งกับมันเลย ที่ผืนนั้นมันไม่ขายหรอกเธอกลับไปได้แล้วมิลิน”
“มิอยากพยายามอีกที วันนั้นคุณเก่งอาจจะยังไม่ได้ตั้งใจฟังก็ได้เลยไม่สนใจ” มิลินไม่หมดความหวัง
“เธอทำมันมีปัญหากับเมีย อยู่ดีๆ ไปจูบบนปกเสื้อมันทำไม เขาทะเลาะกันใหญ่โตจนเมียมันหอบเสื้อผ้าหอบลูกหนีไปแล้ว ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอ”
มิลินตาโต ถ้าสกนธีเลิกกับภรรยางั้นที่ผืนนั้นที่เขาว่ายกให้ภรรยามันก็พอมีหวังที่เธอจะได้มาขายงั้นสิ “ก็ดีน่ะสิ งั้นก็มีความหวังที่เขาจะขายที่มากขึ้นเพราะเมียทิ้งไปแล้ว”
ญาณินวางแก้วลงบนโต๊ะค่อนข้างแรง เธอฟังแล้วรู้สึกรังเกียจญาติของแฟนหนุ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้หญิงอะไรไม่มีจิตสำนึก
“นินไปห้องน้ำก่อนนะนนท์ จะอ้วกน่ะ”
ญาณินลุกออกไปพอดีกับที่สกนธีเข้ามาในร้านพอดี ชายหนุ่มแวะคุยกับสมิติที่กำลังคุยกับแขกอีกโต๊ะ มิลินจะตรงไปหาชายหนุ่มที่มาใหม่แต่ถูกดึงไว้อย่างแรง
“ฉันนัดมันมาคุยเรื่องงานกับลูกค้า ถ้าเธอยังไม่หยุดสร้างปัญหาเธอโดนแน่” เสียงชานนท์เข้มอย่างเอาจริงจนมิลินชะงัก หญิงสาวเม้มปากมองดูชานนท์ที่ลุกไปหากลุ่มเพื่อนแล้วจึงสะบัดหน้าเดินออกจากร้านไป
‘เอาไว้วันหลังก็ได้ เชอะ’ หญิงสาวเดินออกจากร้านเมื่อเห็นว่าชานนท์เอาจริงกว่าที่คิด
“วันนี้มึงดูดีขึ้นนี่หว่าไอ้เก่ง”
ชานนท์เดินมาทักเพื่อนและหุ้นส่วนที่โต๊ะของสมิติ หลังจากที่เห็นว่ามิลินกลับออกไปแล้ว
“เออ ฝากบอกญาติมึงนะว่าอย่าเข้าใกล้กูอีกในระยะหนึ่งเมตร ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน”
สกนธีพูดถึงมิลินอย่างรังเกียจ เขาจำได้ดีว่าในคืนก่อนที่เขาจะมีปัญหากับภรรยา เขาพบเธอที่นี่จากที่ชานนท์เคยแนะนำมาแล้วหนึ่งครั้ง เธอพยายามมาตีสนิทและนัวเนียเขาเกินจำเป็นจนชายหนุ่มลุกหนี และไม่รู้ว่าบนเสื้อของตัวเองมีรอยลิปสติกตั้งแต่ตอนไหน
คืนนั้นเขาแยกย้ายกับชานนท์ตอนสามทุ่ม และไปต่อกับอัศราเรื่องหาสถาปนิกมาทำงานเพิ่มตามเนื้องานที่มากขึ้น นอกจากเป็นหุ้นส่วนกับชานนท์แล้วเขายังมีงานตัวเองที่รับช่วงทำต่อจากอัศราญาติผู้น้องของสมิติด้วย และส่วนมากจะใช้เวลาตอนค่ำๆ หลังเลิกงานประจำมาปรึกษาหารือกัน
สกนธีนึกอะไรได้บางอย่าง หรือว่าเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเอามาเสนอขายให้อิสริยาจะมาจากมิลิน
“เออ อยู่ๆ มีคนเอาที่ของเมียกูมาเสนอขายให้เมียกู กะฟันค่านายหน้าเป็นสิบๆ ล้าน ญาติมึงเกี่ยวด้วยไหมวะ”
ต่อมาเสี่ยกวงให้อังกูรเรียกสกนธีมาพบ ชายหนุ่มมาพบบิดาของอิสริยาโดยไม่อิดออด
“สวัสดีครับป๊า” ชายหนุ่มยกมือไหว้อากงของลูกสาวตามแบบที่เขาทำทุกครั้ง
“หวัดดีอาเก่ง ลื้อนั่งก่อนสิ” ชายวัยกลางคนชี้มือไปทางเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่
“อยู่กินข้าวด้วยกันไหมวันนี้ ลื้อไม่ได้มากินข้าวบ้านนี้เป็นปีละนะ” เสี่ยกวงชวนแต่สกนธีรู้ดีว่านั่นคือคำตำหนิในที ว่าเขาละเลยคำว่าครอบครัวมานานเพราะอิสริยาพาลูกมาที่นี่ทุกเดือน โดยที่ก่อนหน้านี้เขามาด้วยในระยะแรกๆ จนปีหลังสุดที่เขาปล่อยให้สองแม่ลูกมากันเองจนกลายเป็นความเคยชิน
“ผมขอโทษครับป๊าที่ไม่มีเวลาให้ลูกกับเอ๋เลย แต่ผมจะพยายามปรับปรุงตัว เย็นนี้ผมนัดลูกไว้ที่บ้านแล้วผมจะพาน้องเพียงกับเอ๋มากินข้าวกับป๊าวันหลังได้ไหมครับ”
เสี่ยกวงมองหน้าชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้าแล้วถอนใจ ถึงจะเคยไม่พอใจมากแต่ไอ้ลูกเขยที่ไม่ได้ดังใจมันก็ยังรู้สึกตัวตั้งแต่วันที่เมียหอบลูกออกจากบ้าน อิสริยาน่าจะทำแบบนี้นานแล้วด้วยซ้ำเขาคิดในใจ
“ช่างเถอะ ไอ้การที่อาเอ๋จะพาลูกมาพร้อมลื้อมันคือเรื่องในอนาคต งั้นเรามาคุยกันดีกว่าเรื่องที่ผืนนั้น”
เสี่ยกวงโบกมือไปมา ส่วนสกนธีหน้าชาแล้วชาอีกเมื่อถูกตำหนิและค่อนแคะตรงๆ ชายหนุ่มนึกดีใจที่ทางพ่อตายังให้โอกาสเขาเข้าบ้านอยู่
‘เอาวะ ก็ดีกว่าถูกเอาน้ำสาดไล่ไหมวะกู’ เขาบอกตัวเอง
“เรื่องที่ผืนนั้น อั๊วอยากให้ทำสัญญาเช่าแบบระยะยาว ลื้อจะว่าไง”
“ผมยกให้เอ๋แล้วครับป๊า ถ้าป๊าจะเช่าค่าเช่าก็ให้เป็นของเอ๋จะดีกว่าไหมครับ”
เสี่ยกวงพยักหน้า
“งั้นลื้อว่างวันไหนก็นัดเวลามา จะให้อาอังกูรไปที่ดินกับลื้อวันทำสัญญา”
สกนธีพยักหน้า เขารู้ว่าทำธุรกิจต้องทำค่าใช้จ่ายค่าเช่าหรือเช่าซื้อสถานที่เป็นเหตุผลทางบัญชี จึงไม่คัดค้านเรื่องนี้ เมื่อลูกเขยและพ่อตาตกลงกันในรายละเอียดตัวเลขแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดอีกเรื่อง
“เรื่องก่อสร้างป๊าทำรายละเอียดมาได้เลยครับ ผมจะออกแบบห้างใหม่ให้กับทำเรื่องเอกสาร แล้วป๊าจะเปิดยื่นซองไหม”
“เรื่องรายละเอียดห้างลื้อไปคุยกับอาอังกูรนะ อั๊วคุยดีเทลไว้แล้วพูดถึงสร้างใหม่ก็ดีจะได้เปลี่ยนแปลงโฉมใหม่ของห้างสักที ส่วนค่าใช้จ่ายลื้อแจ้งมาได้เลย”
“ไม่เป็นไรครับป๊า ผมจะออกแบบให้เองไม่มีค่าใช้จ่ายหรอก”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะ ถึงจะเป็นบริษัทของลื้อเองแต่ก็มีค่าจ้างคน ค่ากระดาษค่าถ่ายเอกสาร แค่หายใจเข้าไปทุกวันก็ต้องจ่ายแล้ว มันไม่มีอะไรหรอกที่ทำแล้วไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากใครจ่ายแทนเรา”
ฉึก! เหมือนพ่อตาปักมีดลงกลางอกลูกเขยอีกดอก สกนธีรู้อยู่เต็มอกว่าเขากำลังถูกว่าเรื่องที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไรในบ้านเพราะภรรยาไม่เคยเอ่ยปากขอเงิน
“ผมจะปรับปรุงตัวครับป๊า ส่วนเรื่องแบบห้างผมไม่คิดค่าออกแบบส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผมจะเป็นคนจ่ายให้เอง”
เสี่ยกวงพยักหน้า พอใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าพ่อของหลานสาวจะเข้าใจและทำได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยความไม่เถียงก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“เรื่องยื่นซองลื้อก็คัดมาแล้วกัน เอาเป็นว่าอั๊วยกเรื่องก่อสร้างให้ลื้อจัดการเลยไปปรึกษาอาอังกูรละกัน ส่วนเรื่องเงินอั๊วจะลองขอวงเงินจากแบงก์ดูว่าจะได้สักเท่าไหร่”
ต่อมาครอบครัวของอิสริยาที่ตกลงใจทำสัญญาเช่าที่ดินแบบระยะยาว ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้ว่าฝ่ายเจ้าของที่ดินและผู้เช่าต้องไปทำสัญญาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่กรมที่ดิน โดยที่บริษัทห้างค้าปลีกและส่งของครอบครัวเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้เช่าและสกนธีเป็นผู้ให้เช่า มีราคาค่าเช่าถูกกว่าท้องตลาดประมาณหนึ่งซึ่งสกนธีระบุในสัญญากำกับไว้ว่าการจ่ายค่าเช่าให้โอนจ่ายเข้าบัญชีของอิสริยาในทุกปี
ในวันนั้นหลังจากที่ไปกรมที่ดินแล้ว พวกเขาไปธนาคารต่อเพื่อถอนและโอนเงินให้อิสริยา เงินเจ็ดหลักซึ่งเป็นค่าเช่าในปีแรกถูกโอนเข้าบัญชีของอิสริยาที่เธอไปด้วย หญิงสาวรับสมุดบัญชีมาดูยอดแล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีอีกบัญชีที่สกนธีแนบมาพร้อมกัน
มันเป็นบัญชีชื่อของเด็กหญิงสุพิชชา ที่ถูกเปิดมาได้สองปีแล้วนับเป็นเวลาเดียวกับที่สกนธีไม่ได้ให้ค่าใช้จ่ายในบ้านให้กับเธอ เขาโอนเงินเข้าบัญชีลูกทุกเดือน เป็นเงินจำนวนเดือนละหนึ่งแสนบาทถ้วนหญิงสาวเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ ทำไมเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้
“พี่เปิดบัญชีให้ลูก ตั้งให้ตัดเงินเข้าบัญชีทุกเดือนเลยลืมบอกเอ๋ วันนี้พี่เอาสมุดมาอัปเดตเลยจะให้เอ๋เก็บไว้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” อิสริยาพูดเสียงเรียบ
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย