อิสริยาไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน เด็กหญิงเรียนชั้นอนุบาลสองของโรงเรียนเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่มากแต่ครูใส่ใจดูแลเด็กๆ ดี
“เย็นนี้แม่มารับค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
เธอหอมแก้มลูกปลดล็อกประตูรถ ครูประจำชั้นรีบมารับเด็กหญิงทันที
“บ๊ายบายค่ะแม่”
เด็กหญิงลงจากรถไปกับคุณครู หญิงสาวมองจนลูกเข้าไปในโรงเรียนเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปที่ร้าน
ปกติแล้วในครึ่งวันเช้าอิสริยาจะเป็นคนดูแลร้านเองจนถึงสิบเอ็ดนาฬิกา จากนั้นผู้จัดการร้านจะมารับช่วงต่อจนถึงเวลาปิดร้านในเวลาหนึ่งทุ่ม ตอนบ่ายหากไม่มีธุระไปไหนเธอจะเคลียร์บัญชีและทำงานเอกสาร เซ็นเช็คและวางบิลต่างๆ
ก่อนหน้านี้บ่ายสามเธอจะต้องออกจากร้านไปรับเด็กหญิงสุพิชชาที่โรงเรียน จากนั้นไปตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสด ของใช้ในบ้านเตรียมทำอาหารเย็นให้สองพ่อลูก เมื่อกลับถึงบ้านก็มีงานบ้านรออยู่ เธอต้องล้างจานชามที่ใช้ในมื้อเช้า ทำอาหารเย็น ปัดกวาดเช็ดถูบ้านสารพัดงานบ้านที่ไม่จบสิ้น สอนการบ้านลูก พาลูกทานข้าวอาบน้ำจนถึงพาเข้านอน
เธอจึงไม่เคยมีเวลาดูแลตัวเอง นานๆ ครั้งจะได้เข้าร้านเสริมสวย หญิงสาวรู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้สวยงามแบบตอนแต่งงานใหม่ๆ แต่เธอก็รักษารูปร่างไม่ให้อ้วน เสื้อผ้าก็ยังเป็นแบบเดิมเพียงแต่ว่าความเป็นแม่บ้านเต็มเวลาและยังต้องทำงานหาเงินด้วย ทำให้ไม่มีเวลาแต่งหน้า ทำเล็บ เสริมสวยได้ทุกวันแบบตอนที่ยังไม่มีน้องเพียง
หญิงสาวคิดว่าหากว่าสกนธีจะหมดรักเพราะเธอไม่สวยเหมือนก่อนอีกแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ควรจะเป็นพ่อของลูกและสามีของเธออีก ตัวเขาเองไม่เคยซัปพอร์ตอะไรเธอ ไม่เคยแบ่งเบางานบ้าน ลูกป่วยเธอต้องอดนอนทั้งคืนเขาไม่เคยรับรู้ ของในบ้านเสียหายเธอต้องเป็นคนที่โทรตามช่างเองและจ่ายเงินเอง เพราะเขาแทบไม่มีเวลาอยู่บ้านนอกจากกลับมากินและนอน กิจกรรมในครอบครัวช่วงวันหยุดสกนธีไม่เคยมีส่วนร่วม เธอจึงต้องพาลูกไปใช้ช่วงเวลาวันหยุดที่ร้านแทน
เมื่อถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวและมองดูตัวเอง เธอจึงได้รู้ว่าเป็นเธอฝ่ายเดียวที่พยายามประคองครอบครัวไว้ การให้ที่มากไปจนกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า อิสริยาปาดน้ำตาออกเธอจะไม่ยอมกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว เธอเพิ่งยอมรับกับตัวเองได้ว่าเธอเหนื่อยมากกับการเป็นภรรยาของเขา เหนื่อยจนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาสกนธีตาลึกโหลเหมือนคนอดนอน เขานอนหลับไม่สนิทตั้งแต่อิสริยาพาลูกออกไปจากบ้าน เมื่อวานเขากลับเข้าบ้านและเจอว่าไฟถูกตัดเพราะยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ สกนธีต้องไปนอนบ้านญาติที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
“ไงวะมึง สมน้ำหน้าอยู่ดีๆ ไล่ลูกเมียออกจากบ้าน” อาของเขาที่เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรทักทายหลานชาย
“อาอย่าซ้ำเติมผมได้ไหม ผมแค่หลุดปากเฉยๆ”
เขายอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจจะไล่เธอกับน้องเพียง แต่ทิฐิในใจทำให้ไม่ยอมขอโทษหรือติดต่อภรรยาและลูก
“คำพูดหลุดปากมันมาจากใจโว้ย”
สุพลย้ำ เห็นหน้าหลานชายดำคล้ำแต่ยังมีทิฐิจึงรู้สึกสมน้ำหน้ามากกว่าสงสาร
“แต่มึงไม่ไปตามเอ๋กับน้องเพียงกลับมาก็ดี เผื่อเขาจะได้ผัวใหม่ พ่อใหม่ที่ดีกว่ามึง ถ้าไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เขาการปล่อยเขาไปก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดที่มึงทำได้”
คำพูดของอาวนเวียนในใจเขาทั้งคืนและต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
'ถ้าไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เขาการปล่อยเขาไปก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดที่มึงทำได้'
สกนธีคิดแย้งคำพูดนั้นแต่เมื่อคิดถึงความดีในอดีตของตัวเองเขาก็จนใจเพราะหาไม่เจอจริงๆ
ออกจากสำนักงานไฟฟ้าแล้วเขาตรงไปที่โรงเรียนอนุบาล ชายหนุ่มไปขอพบลูกสาว ซึ่งไม่ยากเพราะครูที่โรงเรียนจำเขาได้จากการที่เขาเป็นคนจ่ายค่าเทอม ไม่นานนักครูพาเด็กหญิงสุพิชชามาและปลีกตัวไปให้พ่อลูกคุยกัน
สกนธีปวดใจเมื่อลูกไม่ยอมเดินมาหาเขา
“น้องเพียงมาหาพ่อสิคะ”
เขาเดินไปหาแต่เด็กหญิงถอยหนี แววตาคู่นั้นมองเขาด้วยความกลัว
“พ่อไล่หนู” เสียงเล็กๆ นั้นลอดออกมาแทบไม่ได้ยิน สกนธีใจหายวาบ เขาลืมว่าวันนั้นเด็กหญิงอยู่ด้วยในตอนที่หลุดปากไล่อิสริยาออกจากบ้าน
สกนธีลดมือที่ยกขึ้นจะแตะตัวเด็กหญิงลงทันที รู้ในตอนนั้นว่าน้องเพียงไม่ไว้ใจเขา ชายหนุ่มคอแห้งผากไม่รู้จะหาคำไหนมาทำให้บรรยากาศดีขึ้น
“น้องเพียง พ่อ..” เขากลืนน้ำลายโล่งใจที่ลูกยังยืนที่เดิม “พ่อขอโทษนะคะ วันนั้นพ่อปวดหัวเลยพูดไม่ดีพ่อไม่ได้จะไล่หนูจริงๆ นะ”
เด็กหญิงส่ายหน้า เด็กวัยห้าขวบเป็นช่วงที่กำลังจำเธอรับรู้และเข้าใจเรื่องต่างๆ มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด
“พ่อไล่แม่ไล่หนูหนูจำได้ พ่อบอกว่าให้ออกจากบ้านไปเลย เก็บของออกไปเลย” เสียงเล็กๆ นั่นพูดซ้ำถึงสิ่งที่เธอยังจำได้แม่นยำ
“พ่อขอโทษค่ะ หนูหายโกรธพ่อได้ไหมลูก” สกนธีกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตา
เด็กหญิงยังส่ายหน้าอยู่ เธอวิ่งหนีเมื่อเขาเดินเข้าหา สุดท้ายน้องเพียงวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องเรียน
“มีอะไรกันรึเปล่าคะคุณพ่อ” ครูประจำชั้นเดินออกจากห้องเรียนมามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“ไม่มีครับคุณครู ผมขอตัวกลับก่อน” สกนธีตัดใจ เขาคงต้องมาใหม่วันหลัง
เย็นวันนั้นอิสริยาได้รับแจ้งจากครูว่าสกนธีมาหาลูกสาว และน้องเพียงไม่ยอมคุยกับพ่อ
“ขอบคุณค่ะคุณครู”
“ถ้าคุณแม่จะไม่ให้คุณพ่อมาพบน้องก็ได้นะคะ ทางเราจะสั่งยามหน้าโรงเรียนไว้”
อิสริยานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“พบได้ค่ะคุณครู แต่ดิฉันไม่อนุญาตให้เขาพาน้องเพียงออกไปนอกโรงเรียน ห้ามรับไปไหน”
“ได้ค่ะคุณแม่”
อิสริยาจูงมือน้องเพียงขึ้นรถ เธอยิ้มอ่อนโยนให้ลูก
“วันนี้ไปกินไอติมไหมคะ” เธอไม่ถามเรื่องสกนธีกับลูก ถ้าน้องเพียงพร้อมเด็กหญิงจะพูดเอง
“ไปค่ะแม่ หนูอยากกินไอติมข้าวเหนียวมะม่วง” น้องเพียงดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เพราะว่าตอนนี้เธอไม่ต้องทำงานบ้านเอง ไม่ต้องทำกับข้าวเองแบบตอนที่อยู่กับสามี ที่ร้านเธอมีแม่บ้านจัดการงานบ้านและทำครัวได้ เธอจึงมีเวลาพาลูกไปทานขนมหรือของว่างในห้างสรรพสินค้าได้ตามสะดวก อิสริยาพาลูกเลี้ยวเข้าร้านไอศกรีมชื่อดัง เมื่อได้ที่นั่งแล้วเด็กหญิงเปิดเมนูอย่างร่าเริงพูดเจื้อยแจ้ว
“แม่ขาหนูเอาอันนี้ เอาลูกชุบเยอะๆ”
เด็กหญิงชี้ไปที่เมนูไอศกรีมมะม่วงอกร่องทองรายการหนึ่ง
“ขอแมงโก้ฮอลิเดย์ค่ะ ขอท็อปปิ้งลูกชุบเพิ่ม ข้าวเหนียวมูนอัญชันเพิ่มอีกหนึ่งค่ะ” เธอสั่งรายการโปรดของลูกสาว
สกนธีที่แอบตามมาเขานั่งที่ชุดเก้าอี้ติดกันแต่มีฉากกั้น เขาเห็นท่าทางมีความสุขของอิสริยา และเสียงพูดร่าเริงของลูกไม่เหมือนในยามที่เขาไปหาแล้วได้แต่สะท้อนใจ
ชายหนุ่มแทบลืมหายใจเมื่อได้ยินลูกสาวพูดขึ้นมา
“แม่ขาวันนี้คุณพ่อมาหาหนูค่ะ”
“ค่ะ คุณพ่อมาทำไมคะ” อิสริยาถาม
เด็กหญิงส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ”
“แล้วหนูคุยกับคุณพ่อไหมคะ” อิสริยาตะล่อมถาม
เด็กหญิงส่ายหน้าอีก ตอบเสียงเบา “หนูกลัวคุณพ่อ”
“กลัวทำไมคะ คุณพ่อไม่เคยตีหนูนี่นา” คนเป็นแม่พูดอย่างใจเย็น แต่เด็กหญิงรีบขัดเสียงดัง
“แต่คุณพ่อไล่หนู หนูจำได้”
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”