อิสริยาไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน เด็กหญิงเรียนชั้นอนุบาลสองของโรงเรียนเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่มากแต่ครูใส่ใจดูแลเด็กๆ ดี
“เย็นนี้แม่มารับค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
เธอหอมแก้มลูกปลดล็อกประตูรถ ครูประจำชั้นรีบมารับเด็กหญิงทันที
“บ๊ายบายค่ะแม่”
เด็กหญิงลงจากรถไปกับคุณครู หญิงสาวมองจนลูกเข้าไปในโรงเรียนเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปที่ร้าน
ปกติแล้วในครึ่งวันเช้าอิสริยาจะเป็นคนดูแลร้านเองจนถึงสิบเอ็ดนาฬิกา จากนั้นผู้จัดการร้านจะมารับช่วงต่อจนถึงเวลาปิดร้านในเวลาหนึ่งทุ่ม ตอนบ่ายหากไม่มีธุระไปไหนเธอจะเคลียร์บัญชีและทำงานเอกสาร เซ็นเช็คและวางบิลต่างๆ
ก่อนหน้านี้บ่ายสามเธอจะต้องออกจากร้านไปรับเด็กหญิงสุพิชชาที่โรงเรียน จากนั้นไปตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสด ของใช้ในบ้านเตรียมทำอาหารเย็นให้สองพ่อลูก เมื่อกลับถึงบ้านก็มีงานบ้านรออยู่ เธอต้องล้างจานชามที่ใช้ในมื้อเช้า ทำอาหารเย็น ปัดกวาดเช็ดถูบ้านสารพัดงานบ้านที่ไม่จบสิ้น สอนการบ้านลูก พาลูกทานข้าวอาบน้ำจนถึงพาเข้านอน
เธอจึงไม่เคยมีเวลาดูแลตัวเอง นานๆ ครั้งจะได้เข้าร้านเสริมสวย หญิงสาวรู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้สวยงามแบบตอนแต่งงานใหม่ๆ แต่เธอก็รักษารูปร่างไม่ให้อ้วน เสื้อผ้าก็ยังเป็นแบบเดิมเพียงแต่ว่าความเป็นแม่บ้านเต็มเวลาและยังต้องทำงานหาเงินด้วย ทำให้ไม่มีเวลาแต่งหน้า ทำเล็บ เสริมสวยได้ทุกวันแบบตอนที่ยังไม่มีน้องเพียง
หญิงสาวคิดว่าหากว่าสกนธีจะหมดรักเพราะเธอไม่สวยเหมือนก่อนอีกแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ควรจะเป็นพ่อของลูกและสามีของเธออีก ตัวเขาเองไม่เคยซัปพอร์ตอะไรเธอ ไม่เคยแบ่งเบางานบ้าน ลูกป่วยเธอต้องอดนอนทั้งคืนเขาไม่เคยรับรู้ ของในบ้านเสียหายเธอต้องเป็นคนที่โทรตามช่างเองและจ่ายเงินเอง เพราะเขาแทบไม่มีเวลาอยู่บ้านนอกจากกลับมากินและนอน กิจกรรมในครอบครัวช่วงวันหยุดสกนธีไม่เคยมีส่วนร่วม เธอจึงต้องพาลูกไปใช้ช่วงเวลาวันหยุดที่ร้านแทน
เมื่อถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวและมองดูตัวเอง เธอจึงได้รู้ว่าเป็นเธอฝ่ายเดียวที่พยายามประคองครอบครัวไว้ การให้ที่มากไปจนกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า อิสริยาปาดน้ำตาออกเธอจะไม่ยอมกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว เธอเพิ่งยอมรับกับตัวเองได้ว่าเธอเหนื่อยมากกับการเป็นภรรยาของเขา เหนื่อยจนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาสกนธีตาลึกโหลเหมือนคนอดนอน เขานอนหลับไม่สนิทตั้งแต่อิสริยาพาลูกออกไปจากบ้าน เมื่อวานเขากลับเข้าบ้านและเจอว่าไฟถูกตัดเพราะยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ สกนธีต้องไปนอนบ้านญาติที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
“ไงวะมึง สมน้ำหน้าอยู่ดีๆ ไล่ลูกเมียออกจากบ้าน” อาของเขาที่เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรทักทายหลานชาย
“อาอย่าซ้ำเติมผมได้ไหม ผมแค่หลุดปากเฉยๆ”
เขายอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจจะไล่เธอกับน้องเพียง แต่ทิฐิในใจทำให้ไม่ยอมขอโทษหรือติดต่อภรรยาและลูก
“คำพูดหลุดปากมันมาจากใจโว้ย”
สุพลย้ำ เห็นหน้าหลานชายดำคล้ำแต่ยังมีทิฐิจึงรู้สึกสมน้ำหน้ามากกว่าสงสาร
“แต่มึงไม่ไปตามเอ๋กับน้องเพียงกลับมาก็ดี เผื่อเขาจะได้ผัวใหม่ พ่อใหม่ที่ดีกว่ามึง ถ้าไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เขาการปล่อยเขาไปก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดที่มึงทำได้”
คำพูดของอาวนเวียนในใจเขาทั้งคืนและต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
'ถ้าไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เขาการปล่อยเขาไปก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดที่มึงทำได้'
สกนธีคิดแย้งคำพูดนั้นแต่เมื่อคิดถึงความดีในอดีตของตัวเองเขาก็จนใจเพราะหาไม่เจอจริงๆ
ออกจากสำนักงานไฟฟ้าแล้วเขาตรงไปที่โรงเรียนอนุบาล ชายหนุ่มไปขอพบลูกสาว ซึ่งไม่ยากเพราะครูที่โรงเรียนจำเขาได้จากการที่เขาเป็นคนจ่ายค่าเทอม ไม่นานนักครูพาเด็กหญิงสุพิชชามาและปลีกตัวไปให้พ่อลูกคุยกัน
สกนธีปวดใจเมื่อลูกไม่ยอมเดินมาหาเขา
“น้องเพียงมาหาพ่อสิคะ”
เขาเดินไปหาแต่เด็กหญิงถอยหนี แววตาคู่นั้นมองเขาด้วยความกลัว
“พ่อไล่หนู” เสียงเล็กๆ นั้นลอดออกมาแทบไม่ได้ยิน สกนธีใจหายวาบ เขาลืมว่าวันนั้นเด็กหญิงอยู่ด้วยในตอนที่หลุดปากไล่อิสริยาออกจากบ้าน
สกนธีลดมือที่ยกขึ้นจะแตะตัวเด็กหญิงลงทันที รู้ในตอนนั้นว่าน้องเพียงไม่ไว้ใจเขา ชายหนุ่มคอแห้งผากไม่รู้จะหาคำไหนมาทำให้บรรยากาศดีขึ้น
“น้องเพียง พ่อ..” เขากลืนน้ำลายโล่งใจที่ลูกยังยืนที่เดิม “พ่อขอโทษนะคะ วันนั้นพ่อปวดหัวเลยพูดไม่ดีพ่อไม่ได้จะไล่หนูจริงๆ นะ”
เด็กหญิงส่ายหน้า เด็กวัยห้าขวบเป็นช่วงที่กำลังจำเธอรับรู้และเข้าใจเรื่องต่างๆ มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด
“พ่อไล่แม่ไล่หนูหนูจำได้ พ่อบอกว่าให้ออกจากบ้านไปเลย เก็บของออกไปเลย” เสียงเล็กๆ นั่นพูดซ้ำถึงสิ่งที่เธอยังจำได้แม่นยำ
“พ่อขอโทษค่ะ หนูหายโกรธพ่อได้ไหมลูก” สกนธีกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตา
เด็กหญิงยังส่ายหน้าอยู่ เธอวิ่งหนีเมื่อเขาเดินเข้าหา สุดท้ายน้องเพียงวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องเรียน
“มีอะไรกันรึเปล่าคะคุณพ่อ” ครูประจำชั้นเดินออกจากห้องเรียนมามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“ไม่มีครับคุณครู ผมขอตัวกลับก่อน” สกนธีตัดใจ เขาคงต้องมาใหม่วันหลัง
เย็นวันนั้นอิสริยาได้รับแจ้งจากครูว่าสกนธีมาหาลูกสาว และน้องเพียงไม่ยอมคุยกับพ่อ
“ขอบคุณค่ะคุณครู”
“ถ้าคุณแม่จะไม่ให้คุณพ่อมาพบน้องก็ได้นะคะ ทางเราจะสั่งยามหน้าโรงเรียนไว้”
อิสริยานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“พบได้ค่ะคุณครู แต่ดิฉันไม่อนุญาตให้เขาพาน้องเพียงออกไปนอกโรงเรียน ห้ามรับไปไหน”
“ได้ค่ะคุณแม่”
อิสริยาจูงมือน้องเพียงขึ้นรถ เธอยิ้มอ่อนโยนให้ลูก
“วันนี้ไปกินไอติมไหมคะ” เธอไม่ถามเรื่องสกนธีกับลูก ถ้าน้องเพียงพร้อมเด็กหญิงจะพูดเอง
“ไปค่ะแม่ หนูอยากกินไอติมข้าวเหนียวมะม่วง” น้องเพียงดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เพราะว่าตอนนี้เธอไม่ต้องทำงานบ้านเอง ไม่ต้องทำกับข้าวเองแบบตอนที่อยู่กับสามี ที่ร้านเธอมีแม่บ้านจัดการงานบ้านและทำครัวได้ เธอจึงมีเวลาพาลูกไปทานขนมหรือของว่างในห้างสรรพสินค้าได้ตามสะดวก อิสริยาพาลูกเลี้ยวเข้าร้านไอศกรีมชื่อดัง เมื่อได้ที่นั่งแล้วเด็กหญิงเปิดเมนูอย่างร่าเริงพูดเจื้อยแจ้ว
“แม่ขาหนูเอาอันนี้ เอาลูกชุบเยอะๆ”
เด็กหญิงชี้ไปที่เมนูไอศกรีมมะม่วงอกร่องทองรายการหนึ่ง
“ขอแมงโก้ฮอลิเดย์ค่ะ ขอท็อปปิ้งลูกชุบเพิ่ม ข้าวเหนียวมูนอัญชันเพิ่มอีกหนึ่งค่ะ” เธอสั่งรายการโปรดของลูกสาว
สกนธีที่แอบตามมาเขานั่งที่ชุดเก้าอี้ติดกันแต่มีฉากกั้น เขาเห็นท่าทางมีความสุขของอิสริยา และเสียงพูดร่าเริงของลูกไม่เหมือนในยามที่เขาไปหาแล้วได้แต่สะท้อนใจ
ชายหนุ่มแทบลืมหายใจเมื่อได้ยินลูกสาวพูดขึ้นมา
“แม่ขาวันนี้คุณพ่อมาหาหนูค่ะ”
“ค่ะ คุณพ่อมาทำไมคะ” อิสริยาถาม
เด็กหญิงส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ”
“แล้วหนูคุยกับคุณพ่อไหมคะ” อิสริยาตะล่อมถาม
เด็กหญิงส่ายหน้าอีก ตอบเสียงเบา “หนูกลัวคุณพ่อ”
“กลัวทำไมคะ คุณพ่อไม่เคยตีหนูนี่นา” คนเป็นแม่พูดอย่างใจเย็น แต่เด็กหญิงรีบขัดเสียงดัง
“แต่คุณพ่อไล่หนู หนูจำได้”
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย