อันธิกาท้วงเธอสั่งคนงานให้ยกกลับให้หมด และพูดต่อว่าถ้ารถหกล้อคันเดียวขนไม่หมดให้เรียกรถมาเพิ่มอีกคัน อิสริยาจึงไม่ได้ว่าอะไรตอนแรกเธอเห็นว่าเป็นของชิ้นใหญ่ นึกเกรงใจคนงานเลยไม่สั่งให้ขนไปด้วย แต่ถ้าอันธิกาจัดการได้เธอก็ไม่มีปัญหา
ท้ายสุดอิสริยาเปิดเซฟ หญิงสาวเลือกเอาไปเฉพาะของของเธอกับลูก ส่วนอะไรที่เป็นของสกนธีเธอไม่แตะต้อง จากนั้นจึงไปอุ้มลูกสาวขึ้นมาเด็กหญิงงัวเงียเมื่อมารดาอุ้มออกมานอนต่อบนรถยนต์เพื่อเตรียมตัวเดินทาง
“นอนต่อนะคะลูก” เธอลูบผมลูกสาวเบาๆ จากนั้นน้องเพียงก็หลับต่อ อิสริยาถอนใจเมื่อลูกไม่งอแงในช่วงเวลานี้
“เดี๋ยวแบมให้คนงานเอาของไปไว้ที่ร้านพี่เลยนะ ชั้นสองใช่ไหมพี่เห็นพี่ตกแต่งแล้วนี่” อันธิกาเดินมาบอกเมื่อคนงานปิดท้ายรถเรียบร้อย
“ขอบใจนะแบม” เธอตื้อในอกไม่รู้จะพูดอะไร
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวช่วงนี้แบมให้จี๊ดไปอยู่กับพี่นะ จะได้ช่วยดูแลน้องเพียงด้วย เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านไหมป๊ากับม้าก็ห่วงพี่นะ”
อันธิกาพูดถึงแม่บ้านที่อยู่กันมานาน จี๊ดเองก็คุ้นเคยสนิทสนมกับอิสริยาและลูกดี ประโยคนั้นทำให้พี่สาวน้ำตาร่วง เธอไม่อยากเอาปัญหาส่วนตัวไปบอกที่บ้านเพราะไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ครอบครัวคงเป็นเซฟโซนที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
“ขอบใจนะแบม เดี๋ยวเย็นๆ พี่พาน้องเพียงไปบ้าน”
“ร้องไห้ให้พอแล้วหยุดนะพี่ ถึงเวลาที่เราต้องรักตัวเองทำเพื่อตัวเองแล้ว อะไรที่ให้เขาแล้วไม่มีค่าก็ช่างมัน เริ่มต้นใหม่”
อันธิกาบอกพี่สาว เธอแยกตัวไปขึ้นรถตนเองเพราะมีเรื่องจะต้องกลับไปคุยกับบิดามารดาที่บ้านอีก
อิสริยามองบ้านที่เป็นเรือนหอ เธออยู่ที่นี่มาเจ็ดปีเต็มมันมีความสุขมากในช่วงปีแรก จนถึงปีที่สองที่เธอตั้งครรภ์ จนเมื่อน้องเพียงเกิดความหวานชื่นค่อยๆ ลดลงเมื่อเธอต้องเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านและทำงานนอกบ้าน
สกนธีไม่ชอบให้มีแม่บ้านเขาบอกว่าบ้านควรเป็นที่ส่วนตัว ไม่ควรมีคนนอกเข้ามายุ่มย่าม ใหม่ๆ เขาก็ช่วยแบ่งเบางานบ้านแต่เมื่อนานไป เมื่อเขาเปลี่ยนจากพนักงานกินเงินเดือนมาเปิดบริษัทกับเพื่อน ชายหนุ่มทำงานหนักขึ้นรวมถึงมีพบปะสังสรรค์กับลูกค้ากับหุ้นส่วน นั่นทำให้เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องในบ้านจนเธอต้องรับภาระทั้งหมด
อิสริยารู้สึกเหนื่อยแต่เธออดทนได้ เธอรู้ว่าการใช้เสียงดังข่มเมื่อทะเลาะเป็นนิสัยของเขาและมันทำให้เธอเงียบมาตลอด แต่จนถึงวันนี้ที่เขาทำร้ายความรู้สึกของลูก ล้ำเส้นเธอด้วยการทำให้น้องเพียงได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรฟังทำให้เธอไม่ลังเลอีกต่อไป
สกนธีกลับเข้าบ้านในตอนดึก เขาแปลกใจที่บ้านมืดสนิททั้งหลัง ชายหนุ่มนึกตำหนิอิสริยาที่ไม่เปิดไฟไว้
“เอ๋ทำไมปล่อยบ้านมืดล่ะ” เขาเข้ามาในบ้านเปิดไฟขึ้นหากต้องแปลกใจเมื่อเห็นบ้านโล่งผิดปกติ
“เอ๋ อยู่ไหนน่ะ”
เขาตะโกนเรียกหาเธอแต่เงียบสนิท ชายหนุ่มขึ้นไปดูบนห้องนอน เขาเปิดไฟทั้งบ้านและพบว่าของที่เธอซื้อมามันหายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นของแต่งบ้านหรือของใช้ รวมถึงตัวเธอและลูกสาวด้วย ชายหนุ่มกลับขึ้นห้องไปดูซองเอกสารมันหายไปด้วย เขานึกออกว่าเมื่อเช้าเขาไล่เธอออกจากบ้าน
'เดี๋ยวก็คงกลับมาเอง คงจะรอให้เราไปง้อแต่ไม่ไปหรอก จะเสียการปกครอง' เขามั่นใจว่าเธอรักเขาและจะไม่ยอมให้ลูกขาดพ่อแน่ๆ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ไปตามเดี๋ยวเธอก็พาลูกกลับมาเอง
เกือบสี่ทุ่มอิสริยาพาลูกกลับมาจากไปทานข้าวที่บ้านพ่อแม่ เด็กหญิงดูร่าเริงขึ้นเมื่อได้พบคนอื่นๆ
“ลูกอาบน้ำนอนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”
เธอพาลูกสาวขึ้นมาที่ชั้นสองของร้านค้า นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจตกแต่งที่นี่เป็นที่พักเมื่อสองเดือนก่อน ตึกของเธอเป็นอาคารพาณิชย์ขนาดสามคูหา ข้างบนตีทะลุถึงกันหมดแต่ด้านล่างกั้นเป็นร้านค้าสองร้าน เธอเปิดมินิมาร์ทฝั่งที่เป็นสองห้อง อีกหนึ่งห้องเธอตกแต่งแล้วปล่อยเช่าซึ่งมีคนมาเปิดร้านกาแฟหลายปีแล้ว
เธอมองไปรอบๆ พรุ่งนี้คงจะต้องไปหาซื้อของสำหรับเด็กอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเขียนหนังสือหรือของใช้อื่นๆ เธอเปิดตู้เสื้อผ้าที่ถูกจัดแล้วเรียบร้อย หญิงสาวหยิบชุดนอนของน้องเพียงออกมาหนึ่งชุด เอามาให้น้องเพียงดูและถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“วันนี้หนูใส่ชุดนี้ดีไหมคะ เจ้าหญิงเอลซ่า”
“ดีค่ะแม่หนูชอบเจ้าหญิงเอลซ่า” น้องเพียงยิ้มจนตาหยี
“งั้นเจ้าหญิงก็ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ มาแม่อาบให้”
เธอจัดการพาลูกสาวไปอาบน้ำ หลายอย่างที่นี่น้องเพียงยังไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย
“แม่ขา.. แล้วเราจะไม่กลับไปนอนบ้านเหรอคะ” เด็กน้อยถามในขณะที่แม่พาเข้านอน
อิสริยามองหน้าลูก “หนูอยากกลับไหมคะ”
น้องเพียงส่ายหน้าทันที “ไม่ค่ะ หนูกลัวคุณพ่อ คุณพ่อเสียงดัง”
หญิงสาวกอดลูกไว้ “พ่อเขาโมโหค่ะเลยเสียงดัง แต่คุณพ่อเขารักลูกนะคะถึงเราจะไม่กลับไปแต่เขาก็ยังเป็นพ่อหนู หนูเข้าใจใช่ไหม”
เด็กหญิงสุพิชชาพยักหน้า ซึ่งเธอไม่รู้ว่าลูกสาวเข้าใจแค่ไหนแต่ก็ดีใจที่เด็กหญิงไม่ร้องกลับบ้าน
“นอนนะคะลูก”
หนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อลูกสาวหลับเรียบร้อย อิสริยาออกมานอกห้องนอนเธอสำรวจของที่นำมา คนงานและแม่บ้านช่วยกันจัดวางให้เข้าที่หมดแล้ว หญิงสาวเปิดเครื่องซักผ้าเสื้อผ้าเมื่อเช้าที่ซักไว้ของเธอยังไม่แห้งดี ก็เกิดเรื่องเสียก่อนตอนนี้จึงต้องมาซักซ้ำเพื่อไม่ให้มีกลิ่นอับ ส่วนในครัวทุกอย่างพร้อมใช้เครื่องครัวต่างๆ ที่เธอเคยซื้อทิ้งไว้ได้ใช้จริงจังก็ตอนนี้เอง
อย่างน้อยการเริ่มต้นใหม่ก็ไม่ได้แย่แบบที่เคยกลัวมาตลอดอิสริยาคิดในใจ หนทางข้างหน้าคงไม่มีอะไรแย่กว่าที่เคยเจออีกแล้ว ต่อไปเธอจะทำเพื่อตัวเองและลูกก็พอ
สกนธีตื่นสาย เขาบ่นเมื่อมองนาฬิกา “เอ๋ทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะ สายแล้วเห็นไหม” เขาพูดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ไม่มีเธออยู่แล้ว ชายหนุ่มลุกเข้าห้องน้ำจะอาบน้ำแต่ก็ต้องกลับออกมา
'ยาสีฟันหมด เอ๋เก็บไว้ตรงไหนวะเนี่ย' เขาออกมารื้อหาทั่วห้องถึงจะเจอว่าบรรดาของใช้ ยาสีฟัน แชมพูเธอซื้อสำรองเก็บไว้ที่ชั้นล่างของตู้เสื้อผ้า
หลังจากนั้นเมื่อเขาจะแต่งตัวก็ต้องหงุดหงิดอีกเมื่อไม่มีชุดทำงานใส่ เขาเดินหาทั่วบ้านจึงเห็นว่าชุดทำงานกองใหญ่ถูกวางทิ้งไว้ตรงที่เขาทะเลาะกับเธอเมื่อวาน
สกนธีลงจากชั้นบนด้วยชุดทำงานยับๆ เขามองหาเครื่องชงกาแฟไม่เจอและนึกขึ้นได้ว่าอิสริยาเป็นคนซื้อมา เธอคงขนไปด้วยหมด เขาเปิดลิ้นชักที่เคาน์เตอร์กาแฟไม่มีอะไรเหลืออยู่ น้ำร้อนใช้ไมโครเวฟทำได้แต่เขาไม่มีกาแฟชงอยู่ดี
ชายหนุ่มมองหาตู้เย็น หากเช้านี้ไม่มีอะไรทานได้น้ำเย็นๆ ก็ยังดี แต่ตู้เย็นก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมเช่นกัน
'นี่ของในบ้านเอ๋เป็นคนซื้อหมดเลยเหรอวะเนี่ย' เขานึกไม่ออกว่าตัวเองไม่ได้สนใจเรื่องในบ้านมานานแค่ไหน เพราะไม่เคยขาดแคลนอะไร
'ซื้อใหม่ก็ได้วะ เดี๋ยวเย็นนี้ไปซื้อเลยก็ได้มันจะกี่ตังเชียว' เขาคิดในใจ แต่อีกใจแย้งขึ้นมาว่าเดี๋ยวอิสริยาก็กลับมา อดทนไปก่อนไม่กี่วัน
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย