อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี
“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ”
“เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ”
“เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง
“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ”
“คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น
“ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน”
“งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก
“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจำได้ไหม”
“พี่จำได้ พี่ก็พยายามแก้ไขอยู่ ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะเอ๋พี่จะเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี” สกนธีรีบพูดแต่อิสริยาฟังแบบไม่ใส่ใจเท่าไร
“ถ้าคุณอยากจะพาลูกไปเรียนดนตรีก็ไป แต่ช่วยส่งรายละเอียดที่เรียน วันเวลาสถานที่มาด้วย จะมารับกี่โมง มาส่งกี่โมงช่วยบอกให้ชัดเจน ฉันให้เวลาคุณมารับลูกไปไหนมาไหนได้อาทิตย์ละวันแต่ห้ามไปค้างที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่” อิสริยาคิดว่าเวลาเท่านี้เหมาะสมแล้ว เธอไม่รู้ว่าสกนธีจะเห่อการทำหน้าที่พ่อได้นานแค่ไหน เขาอาจจะมาได้ไม่กี่ครั้งและหายไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นน้องเพียงจะได้ไม่เสียใจเกินไป
วันต่อมาสกนธีส่งรายละเอียดการเรียนดนตรีมาให้อิสริยาดูทางไลน์ เธอมองตารางเรียนนั้นอย่างครุ่นคิด
สกนธี : ลูกเรียนบ่ายวันเสาร์ พี่จะไปรับลูกตอนเที่ยงเอ๋โอเคไหม
อิสริยา : ค่ะ
สกนธี : แล้วเรียนเสร็จบ่ายสาม พี่จะพาลูกไปเดินห้างหรือทานข้าวเย็นก่อนค่อยพาไปส่งบ้านเอ๋จะโอเคไหมครับ
อิสริยา : ค่ะได้
สกนธี : ขอบคุณครับ เริ่มวันเสาร์นี้เลยนะ
อิสริยา : คุณจะพาลูกไปทานข้าวหรือเดินเล่นได้ แต่ต้องมาส่งที่นี่ก่อนหกโมงเย็นค่ะ
สกนธี : ได้ครับ
“แม่ขา วันนี้พ่อไปหาหนูที่โรงเรียนค่ะ” เด็กหญิงสุพิชชาเล่าให้มารดาฟังในตอนก่อนนอน
“ค่ะ แล้วพ่อมาหาทำไมเหรอ” หญิงสาวถาม
“พ่อมาบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับหนูไปเรียนอูคูเลเล่ค่ะ” เด็กหญิงพูดด้วยเสียงสดใส
“แล้วหนูอยากไปไหมคะ” เธอมองหน้าลูกสาว เด็กหญิงรีบพยักหน้าเร็วๆ
“หนูอยากไปค่ะแม่”
“ถ้าหนูอยากไปก็นอนเร็วๆ ค่ะ พรุ่งนี้หนูไปกับคุณพ่อสองคนนะคะแม่ต้องทำงานที่ร้าน” เธอบอกเด็กหญิงรีบพยักหน้า
“ค่ะแม่ หนูไปกับพ่อสองคนก็ได้หนูจะนอนแล้ว จะได้ตื่นมาไปเรียนเร็วๆ ฝันดีค่ะแม่” เด็กหญิงพูดพลางหลับตา
“ฝันดีค่ะลูก”
เธอหอมแก้มลูกสาวยิ้มอย่างเอ็นดู เธอภาวนาขอให้พรุ่งนี้สกนธีไม่ทำให้น้องเพียงรอเก้อ หรือมารับไปเรียนเพียงไม่กี่ครั้งแล้วเลิกทำจนลูกเสียใจ ไม่งั้นเขาจะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกเลย
วันต่อมาสกนธีมาถึงร้านตั้งแต่ยังไม่สิบนาฬิกา เด็กหญิงวิ่งลงมาหาบิดาทันทีที่อิสริยาให้พี่เลี้ยงขึ้นไปบอกว่าพ่อมารับแล้ว
“หนูยังไม่ได้แต่งตัวเลยค่ะ” เธอพูดเสียงร้อนรนกลัวพ่อไม่รอ
“ไม่ต้องรีบก็ได้ลูก พ่อช่วยแม่ขายของด้านล่างก่อนก็ได้” สกนธีรีบบอกลูกสาว สีหน้าเด็กหญิงดีขึ้นทันตา
อิสริยาปรายตามองคนที่บอกว่าจะช่วยขายของ แต่เธอไม่ขัดอะไร ไม่อยากพูดอะไรไม่ดีต่อหน้าลูก หญิงสาวคิดเงินให้ลูกค้าจากหางตาเห็นน้องเพียงวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะแปะ”
ชายสูงวัยที่โครงหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนส่งธนบัตรสีเทาให้อิสริยา หญิงสาวรับเงินมาแล้วเปิดเครื่องคิดเงินเพื่อทอนเงิน
“พี่ช่วยเอง” สกนธีหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งมาจากห่อจะช่วยใส่ของที่ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว แต่เขาเลือกขนาดไม่ถูก
“ไอ้หนุ่ม อันนี้มันเล็กไปใส่ไม่ได้หรอก”
ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบขึ้นไปแต่ท่าทางยังดูแข็งแรงมาก พูดขึ้นมาเมื่อเห็นสกนธีหยิบถุงหิ้วขนาดแปดคูณสิบห้า ขึ้นมาจะใส่กระดาษทิชชูแพ็กหกม้วน
สกนธีหยิบใหม่ คราวนี้เลือกถุงขนาดสิบสองคูณยี่สิบหกดึงมาหนึ่งใบ อาแป๊ะส่ายหน้าไปมา ขณะที่อิสริยาส่งเงินทอนให้ลูกค้าและมองดูเขาเฉยๆ ไม่แนะนำอะไร
“นั่นก็ใหญ่ไป ลื้อนี่ยังไง” ว่าแล้วอาแป๊ะก็หยิบถุงใบใหม่ขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“อาเอ๋ ลูกน้องใหม่เหรอต้องสอนเยอะๆ หน่อยนา เดี๋ยวลื้อจะขาดทุนหมด” คุณลุงลูกค้าประจำหันมาคุยกับเจ้าของร้านสาว
“ไม่เป็นไรค่ะแปะ คนนี้หนูไม่ได้จ่ายค่าแรง” เธอหัวเราะกับชายชรา
“อ๋อ...มาฝึกงาน อั๊วรู้ละ งั้นไปแล้ว” แกพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากร้าน
“พี่ซื้อขนมมาฝาก จีบปูเทเวศร์ที่เอ๋ชอบกับชิฟฟ่อน” สกนธีเอาของฝากวางบนเคาน์เตอร์เมื่อลูกค้าออกไปแล้ว
หญิงสาวชำเลืองมองนิดหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาก็ได้ คุณอยากพาลูกไปทานอะไรก็พาไปข้างนอกได้เลย”
ความหมายของเธอคือไม่ต้องซื้อมาฝากเธอ อยากทำอะไรให้ลูกก็ให้กันเองเธอไม่ขัด ชายหนุ่มหน้าจ๋อยลงแต่แล้วเขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“อันนี้พี่ซื้อมาให้เอ๋ จำได้ว่าเอ๋เคยชอบ”
“เคยชอบแต่ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้จะชอบค่ะ คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปตามเวลา”
เธอตอบกลับมาเป็นนัยให้เขาเข้าใจว่าเธอหมายถึงการรวมเขาเข้าอยู่ในจำพวกอะไรที่เคยชอบนั้นด้วย
สกนธีเข้าใจแต่เขาแกล้งทำไม่เข้าใจ
“งั้นตอนนี้เอ๋ชอบอะไร ก็บอกพี่มาสิ”
เธอไม่ตอบตามองลูกค้าเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ พร้อมสินค้าในตะกร้า
“แหม... วันนี้ผู้ช่วยเป็นหนุ่มหล่อเชียวค่ะคุณแม่น้องเพียง แฟนใหม่เหรอคะ”
มินตราผู้ปกครองของนักเรียนร่วมชั้นเรียนของลูกสาวถามเธอตรงๆ
อิสริยายังไม่ทันจะได้ตอบอะไร มินตราพินิจพิเคราะห์สกนธีอีกครั้งแล้วพูดว่า “เอ๊ะ หน้าเหมือนน้องเพียงจัง รึว่าคุณพ่อน้องเพียงคะ แหม..นึกว่าแม่น้องเพียงเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตลอด”
‘หรือไม่ก็พวกเมียน้อย ไม่เคยเห็นพ่อน้องเพียงไปรับลูกที่โรงเรียนสักที’ มินตราคิดในใจ
“ผมเป็นพ่อน้องเพียง เอ๋ไม่ใช่แม่เลี้ยงเดี่ยวครอบครัวผมอยู่กันตามปกติมาตลอด ถ้าคุณพูดมากกว่านี้ผมจะฟ้องหมิ่นประมาท” สกนธีหน้าตึง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่มีเจตนาหมิ่นอะไรเลย ก็แค่ไม่เคยเห็นน้องเพียงมีคุณพ่อไปรับที่โรงเรียนเลย”
มินตราเสียงอ่อยรีบแก้ตัว รีบเปิดกระเป๋าเงินเตรียมจ่ายค่าสินค้า
“สี่ร้อยสิบเก้าบาทค่ะ” อิสริยาพูดเสียงเรียบ เธอหยิบถุงมาใส่ของส่งให้ลูกค้า ทำเหมือนว่าหัวข้อสนทนาที่อีกฝ่ายพูดไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
“ค่ะๆ นี่ค่ะคุณเอ๋” มินตรารีบส่งเงินจ่ายค่าของแล้วรีบออกจากร้านทันที
สกนธีหน้านิ่ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาไม่เคยไปรับไปส่งลูก จะทำให้มีคนคิดว่าน้องเพียงไม่มีพ่อ
“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าพี่จะเคยทำให้ลูกกับเอ๋ถูกมองไม่ดี” ชายหนุ่มนึกด่าตัวเองในใจ
“ปัญหาของฉันกับลูกไม่ได้อยู่ที่ทัศนคติหรือคำพูดของคนอื่นหรอกค่ะ”
อิสริยาหันไปเห็นลูกสาวลงมาจากชั้นบนในชุดเจ้าหญิง เธอจึงพูดต่อ
“แต่มันเป็นเพราะตัวคุณล้วนๆ คุณไปได้แล้วค่ะลูกลงมาแล้ว ขืนคุณอยู่นานกว่านี้ร้านฉันคงเจ๊งแน่”
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย