อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี
“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ”
“เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ”
“เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง
“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ”
“คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น
“ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน”
“งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก
“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจำได้ไหม”
“พี่จำได้ พี่ก็พยายามแก้ไขอยู่ ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะเอ๋พี่จะเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี” สกนธีรีบพูดแต่อิสริยาฟังแบบไม่ใส่ใจเท่าไร
“ถ้าคุณอยากจะพาลูกไปเรียนดนตรีก็ไป แต่ช่วยส่งรายละเอียดที่เรียน วันเวลาสถานที่มาด้วย จะมารับกี่โมง มาส่งกี่โมงช่วยบอกให้ชัดเจน ฉันให้เวลาคุณมารับลูกไปไหนมาไหนได้อาทิตย์ละวันแต่ห้ามไปค้างที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่” อิสริยาคิดว่าเวลาเท่านี้เหมาะสมแล้ว เธอไม่รู้ว่าสกนธีจะเห่อการทำหน้าที่พ่อได้นานแค่ไหน เขาอาจจะมาได้ไม่กี่ครั้งและหายไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นน้องเพียงจะได้ไม่เสียใจเกินไป
วันต่อมาสกนธีส่งรายละเอียดการเรียนดนตรีมาให้อิสริยาดูทางไลน์ เธอมองตารางเรียนนั้นอย่างครุ่นคิด
สกนธี : ลูกเรียนบ่ายวันเสาร์ พี่จะไปรับลูกตอนเที่ยงเอ๋โอเคไหม
อิสริยา : ค่ะ
สกนธี : แล้วเรียนเสร็จบ่ายสาม พี่จะพาลูกไปเดินห้างหรือทานข้าวเย็นก่อนค่อยพาไปส่งบ้านเอ๋จะโอเคไหมครับ
อิสริยา : ค่ะได้
สกนธี : ขอบคุณครับ เริ่มวันเสาร์นี้เลยนะ
อิสริยา : คุณจะพาลูกไปทานข้าวหรือเดินเล่นได้ แต่ต้องมาส่งที่นี่ก่อนหกโมงเย็นค่ะ
สกนธี : ได้ครับ
“แม่ขา วันนี้พ่อไปหาหนูที่โรงเรียนค่ะ” เด็กหญิงสุพิชชาเล่าให้มารดาฟังในตอนก่อนนอน
“ค่ะ แล้วพ่อมาหาทำไมเหรอ” หญิงสาวถาม
“พ่อมาบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับหนูไปเรียนอูคูเลเล่ค่ะ” เด็กหญิงพูดด้วยเสียงสดใส
“แล้วหนูอยากไปไหมคะ” เธอมองหน้าลูกสาว เด็กหญิงรีบพยักหน้าเร็วๆ
“หนูอยากไปค่ะแม่”
“ถ้าหนูอยากไปก็นอนเร็วๆ ค่ะ พรุ่งนี้หนูไปกับคุณพ่อสองคนนะคะแม่ต้องทำงานที่ร้าน” เธอบอกเด็กหญิงรีบพยักหน้า
“ค่ะแม่ หนูไปกับพ่อสองคนก็ได้หนูจะนอนแล้ว จะได้ตื่นมาไปเรียนเร็วๆ ฝันดีค่ะแม่” เด็กหญิงพูดพลางหลับตา
“ฝันดีค่ะลูก”
เธอหอมแก้มลูกสาวยิ้มอย่างเอ็นดู เธอภาวนาขอให้พรุ่งนี้สกนธีไม่ทำให้น้องเพียงรอเก้อ หรือมารับไปเรียนเพียงไม่กี่ครั้งแล้วเลิกทำจนลูกเสียใจ ไม่งั้นเขาจะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกเลย
วันต่อมาสกนธีมาถึงร้านตั้งแต่ยังไม่สิบนาฬิกา เด็กหญิงวิ่งลงมาหาบิดาทันทีที่อิสริยาให้พี่เลี้ยงขึ้นไปบอกว่าพ่อมารับแล้ว
“หนูยังไม่ได้แต่งตัวเลยค่ะ” เธอพูดเสียงร้อนรนกลัวพ่อไม่รอ
“ไม่ต้องรีบก็ได้ลูก พ่อช่วยแม่ขายของด้านล่างก่อนก็ได้” สกนธีรีบบอกลูกสาว สีหน้าเด็กหญิงดีขึ้นทันตา
อิสริยาปรายตามองคนที่บอกว่าจะช่วยขายของ แต่เธอไม่ขัดอะไร ไม่อยากพูดอะไรไม่ดีต่อหน้าลูก หญิงสาวคิดเงินให้ลูกค้าจากหางตาเห็นน้องเพียงวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะแปะ”
ชายสูงวัยที่โครงหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนส่งธนบัตรสีเทาให้อิสริยา หญิงสาวรับเงินมาแล้วเปิดเครื่องคิดเงินเพื่อทอนเงิน
“พี่ช่วยเอง” สกนธีหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งมาจากห่อจะช่วยใส่ของที่ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว แต่เขาเลือกขนาดไม่ถูก
“ไอ้หนุ่ม อันนี้มันเล็กไปใส่ไม่ได้หรอก”
ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบขึ้นไปแต่ท่าทางยังดูแข็งแรงมาก พูดขึ้นมาเมื่อเห็นสกนธีหยิบถุงหิ้วขนาดแปดคูณสิบห้า ขึ้นมาจะใส่กระดาษทิชชูแพ็กหกม้วน
สกนธีหยิบใหม่ คราวนี้เลือกถุงขนาดสิบสองคูณยี่สิบหกดึงมาหนึ่งใบ อาแป๊ะส่ายหน้าไปมา ขณะที่อิสริยาส่งเงินทอนให้ลูกค้าและมองดูเขาเฉยๆ ไม่แนะนำอะไร
“นั่นก็ใหญ่ไป ลื้อนี่ยังไง” ว่าแล้วอาแป๊ะก็หยิบถุงใบใหม่ขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“อาเอ๋ ลูกน้องใหม่เหรอต้องสอนเยอะๆ หน่อยนา เดี๋ยวลื้อจะขาดทุนหมด” คุณลุงลูกค้าประจำหันมาคุยกับเจ้าของร้านสาว
“ไม่เป็นไรค่ะแปะ คนนี้หนูไม่ได้จ่ายค่าแรง” เธอหัวเราะกับชายชรา
“อ๋อ...มาฝึกงาน อั๊วรู้ละ งั้นไปแล้ว” แกพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากร้าน
“พี่ซื้อขนมมาฝาก จีบปูเทเวศร์ที่เอ๋ชอบกับชิฟฟ่อน” สกนธีเอาของฝากวางบนเคาน์เตอร์เมื่อลูกค้าออกไปแล้ว
หญิงสาวชำเลืองมองนิดหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาก็ได้ คุณอยากพาลูกไปทานอะไรก็พาไปข้างนอกได้เลย”
ความหมายของเธอคือไม่ต้องซื้อมาฝากเธอ อยากทำอะไรให้ลูกก็ให้กันเองเธอไม่ขัด ชายหนุ่มหน้าจ๋อยลงแต่แล้วเขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“อันนี้พี่ซื้อมาให้เอ๋ จำได้ว่าเอ๋เคยชอบ”
“เคยชอบแต่ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้จะชอบค่ะ คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปตามเวลา”
เธอตอบกลับมาเป็นนัยให้เขาเข้าใจว่าเธอหมายถึงการรวมเขาเข้าอยู่ในจำพวกอะไรที่เคยชอบนั้นด้วย
สกนธีเข้าใจแต่เขาแกล้งทำไม่เข้าใจ
“งั้นตอนนี้เอ๋ชอบอะไร ก็บอกพี่มาสิ”
เธอไม่ตอบตามองลูกค้าเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ พร้อมสินค้าในตะกร้า
“แหม... วันนี้ผู้ช่วยเป็นหนุ่มหล่อเชียวค่ะคุณแม่น้องเพียง แฟนใหม่เหรอคะ”
มินตราผู้ปกครองของนักเรียนร่วมชั้นเรียนของลูกสาวถามเธอตรงๆ
อิสริยายังไม่ทันจะได้ตอบอะไร มินตราพินิจพิเคราะห์สกนธีอีกครั้งแล้วพูดว่า “เอ๊ะ หน้าเหมือนน้องเพียงจัง รึว่าคุณพ่อน้องเพียงคะ แหม..นึกว่าแม่น้องเพียงเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตลอด”
‘หรือไม่ก็พวกเมียน้อย ไม่เคยเห็นพ่อน้องเพียงไปรับลูกที่โรงเรียนสักที’ มินตราคิดในใจ
“ผมเป็นพ่อน้องเพียง เอ๋ไม่ใช่แม่เลี้ยงเดี่ยวครอบครัวผมอยู่กันตามปกติมาตลอด ถ้าคุณพูดมากกว่านี้ผมจะฟ้องหมิ่นประมาท” สกนธีหน้าตึง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่มีเจตนาหมิ่นอะไรเลย ก็แค่ไม่เคยเห็นน้องเพียงมีคุณพ่อไปรับที่โรงเรียนเลย”
มินตราเสียงอ่อยรีบแก้ตัว รีบเปิดกระเป๋าเงินเตรียมจ่ายค่าสินค้า
“สี่ร้อยสิบเก้าบาทค่ะ” อิสริยาพูดเสียงเรียบ เธอหยิบถุงมาใส่ของส่งให้ลูกค้า ทำเหมือนว่าหัวข้อสนทนาที่อีกฝ่ายพูดไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
“ค่ะๆ นี่ค่ะคุณเอ๋” มินตรารีบส่งเงินจ่ายค่าของแล้วรีบออกจากร้านทันที
สกนธีหน้านิ่ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาไม่เคยไปรับไปส่งลูก จะทำให้มีคนคิดว่าน้องเพียงไม่มีพ่อ
“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าพี่จะเคยทำให้ลูกกับเอ๋ถูกมองไม่ดี” ชายหนุ่มนึกด่าตัวเองในใจ
“ปัญหาของฉันกับลูกไม่ได้อยู่ที่ทัศนคติหรือคำพูดของคนอื่นหรอกค่ะ”
อิสริยาหันไปเห็นลูกสาวลงมาจากชั้นบนในชุดเจ้าหญิง เธอจึงพูดต่อ
“แต่มันเป็นเพราะตัวคุณล้วนๆ คุณไปได้แล้วค่ะลูกลงมาแล้ว ขืนคุณอยู่นานกว่านี้ร้านฉันคงเจ๊งแน่”
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”