“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไป
เธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน
“เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน
“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ”
อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ
“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆ
อิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว”
“ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด
“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน”
อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หยุด
“คุณไม่ได้รักฉัน ตอนนี้ที่คุณมาก็เพราะว่าแค่ขาดทาสรับใช้ ขาดคนทำงานบ้าน ขาดคนจ่ายค่าโน่นนี่ให้คุณก็แค่นั้นเอง”
สกนธีกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งที่เดิม เธอต้องรวบรวมกำลังใจแค่ไหนที่พูดตอบโต้เขาออกไปได้แบบนั้น สีหน้าหมองคล้ำของเขาจะต้องไม่ทำให้เธอเห็นใจ เธอบอกตัวเอง
“พี่เอ๋คะจะออกไปรับน้องเลยไหมคะ” แม่บ้านเข้ามาเตือนเมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ออกมาจากห้องทำงาน
“อ้อ ไปสิขอบใจนะ” หญิงสาวลุกไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปรับลูก วันนี้ทางบ้านบอกมาว่าให้พาน้องเพียงไปทานข้าวที่นั่น
เย็นนั้นเธอพาน้องเพียงออกจากโรงเรียนและตรงไปที่บ้านของครอบครัวเดิม เด็กหญิงมีการบ้านเธอจึงสอนการบ้านลูกที่นั่นเพื่อที่ว่าเมื่อถึงบ้านในตอนค่ำจะได้อาบน้ำนอนได้เลย
“อาเอ๋ครับ สวยไหม” น้องวินหลานชายวัยหกขวบ ลูกของอังกูร พี่ชายคนโต เด็กชายเรียกให้อาสาวดูดินน้ำมันที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
“สวยมากเลยครับ น้องวินปั้นเป็นหมาใช่ไหมคะลูก” เธอหันไปเล่นกับหลาน ทว่าน้องวินหน้าเสีย
“อาเอ๋น่ะ นี่หมีต่างหาก”
“เอ้า อาล้อเล่นหมีเหมือนเป๊ะเลยครับ” เธอรีบแก้คำพูด ได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านนอก
“เอ๋มาแล้วเหรอ พักนี้เป็นไงบ้าง” อังกูรเข้ามาคุยด้วย พลางจับศีรษะลูกชายโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“ก็ดีค่ะเฮีย ว่าแต่วันนี้มีอะไรคะทำไมป๊ากับม้าเรียกเอ๋มาหา” เธอถามพี่ชายอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวเป็นลูกคนกลางที่สนิทกับพี่ชายและน้องสาวพอๆ กันและสามพี่น้องมักจะปรึกษาปัญหากันเสมอ ยกเว้นเรื่องของสกนธีในคราวนี้เพราะเธอกลัวพี่ชายจะพาลูกน้องไปกระทืบสามี
“เดี๋ยวก็รู้” อังกูรหันไปคุยกับหลานสาว
“น้องเพียงคะ เป็นไงบ้างลูกเจอพ่อบ้างไหม”
เด็กหญิงเงยหน้ามองลุงแล้วตอบ
“เจอค่ะ วันนี้พ่อเอาอูคูเลเล่มาให้หนูด้วย ขนมด้วย” เด็กหญิงเล่าเธอหยิบกล่องอูคูเลเล่มาอวดคุณลุง
“ไหนดูสิคะเป็นไงนะ ลุงไม่เคยเห็นเลย”
ลุงหลานคุยกันกะหนุงกะหนิง อิสริยาจึงเลี่ยงออกมาเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา เธอสงสัยว่าสกนธีกำลังคิดจะทำอะไร
เย็นนั้นเสี่ยกวง บิดาของเธอบอกลูกสาวว่า
“ที่ดินตรงสำนักงานใหญ่ร้านเราจะโดนเวนคืนน่ะเอ๋ ป๊าเลยอยากปรึกษาลูกๆ ทุกคนว่าควรทำยังไงกันดี”
“เวนคืนเหรอคะป๊า” อิสริยาทวนคำที่บิดาบอก พื้นที่ร้านตรงนั้นมีทั้งหน้าร้านและโกดังสินค้า ใช้พื้นที่ไม่น้อยกว่าสิบไร่ ถ้าไม่ใช่ที่ดินดั้งเดิมที่มีมานานจะไปหาที่ไหนใกล้เคียงกับที่เดิม
วันนั้นจากการที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวปรึกษากันได้ผลสรุปว่าจะลองช่วยกันหาที่ผืนใหม่ ที่มีขนาดและทำเลใกล้ที่เดิมและทางครอบครัวเธอสู้ราคาไหว เพราะไม่ใช่แค่ค่าที่แต่จะต้องมีค่าก่อสร้างใหม่อีกด้วยที่หนักไม่แพ้กัน
สองวันต่อมาสกนธีมาหาน้องเพียงที่โรงเรียนอีกครั้ง คราวนี้เด็กหญิงคุยกับเขาเกือบเป็นปกติ
“พ่อหาที่เรียนอูคูเลเล่ให้หนูได้แล้วนะคะลูก”
“จริงเหรอคะ” เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจ
“จ้ะ เดี๋ยวพ่อไปคุยกับแม่ให้นะลูก เรียนวันเสาร์หนูว่างใช่ไหมคะ”
เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงัก “ค่ะพ่อ”
“เดี๋ยวพ่อไปรับนะคะสายๆ วันเสาร์ พ่อกวาดบ้านก่อนแล้วจะไปรับหนูที่ร้าน” สกนธีคุยกับลูกสาว
“กวาดบ้าน..” เด็กหญิงทวนคำพูดของพ่อ
“จ้ะ ตอนนี้พ่อกวาดบ้านสะอาดแล้วนะคะลูก ไม่เชื่อหนูชวนแม่กลับบ้านไปดูได้เลย”
สกนธีมาหาอิศริยาที่ร้านในวันต่อมา ขณะนั้นเธอมีลูกค้าหน้าร้าน ชายหนุ่มรอจนเธอว่างจึงเข้ามาคุยกับเธอที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์
“พี่ขอคุยกับเอ๋เรื่องลูกสักแป๊บได้ไหม”
อิสริยามองเวลา ตอนนี้ใกล้จะสิบเอ็ดนาฬิกาแล้ว
“ตอนนี้ยังไม่ว่างค่ะ แต่คุยได้หลังสิบเอ็ดโมงรอผู้จัดการมาก่อน” เธอตอบเสียงเรียบ
“ได้ งั้นพี่นั่งรอแถวนี้นะ หรือว่าเอ๋มีอะไรให้พี่ช่วยไหม” เขาเห็นคนเข้าร้านไม่ขาดระยะ พนักงานสองคนในรอบเช้ายังเติมของบนชั้นไม่ได้หยุด เริ่มเข้าใจที่เธอเคยบอกว่าร้านงานยุ่งนั้นยุ่งแบบไหน
หญิงสาวเหลือบตามองเขาและหันไปมองท้องฟ้าด้านนอก
“สงสัยวันนี้น่าจะมีพายุ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณช่วยนั่งเฉยๆ จะขอบคุณมาก”
“น้องเอ๋วันนี้เอาของไปส่งที่ร้านเฮียด้วยนะ” ชายหนุ่มหน้าตี๋เจ้าของร้านชำในหมู่บ้านใกล้เคียงเดินเข้ามาส่งรายการสั่งของให้เธอ อิสริยายิ้มให้ลูกค้าประจำ
“ได้ค่ะเฮีย ช่วงบ่ายนะคะ” เธอพูดขณะที่คีย์รายการทำบิลเงินสดให้ลูกค้า หญิงสาวขายปลีกให้คนทั่วไปและมีเรตราคาขายส่งให้ร้านค้าเล็กๆ ราคาที่เธอส่งให้แทบไม่ต่างจากห้างค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศ และเธอมีบริการส่งฟรีดังนั้นทำให้มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ยังสมัครใจซื้อกับเธอ
อิสริยาหยิบใบเสร็จที่พิมพ์ออกมาเรียบร้อย ลูกค้าเปิดกระเป๋าคาดเอวหยิบเงินสดออกมาหนึ่งปึก คลี่นับด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ
“นี่ครับสองหมื่นสองนะ ขอบคุณมากครับ” นอกจากจะเป็นลูกค้าชั้นดีแล้วยังขอบคุณแม่ค้าด้วย สกนธีมองอย่างประหลาดใจ
อิสริยาลุกเอารายการสั่งของไปให้พนักงานในร้านที่กำลังจัดสินค้าขึ้นชั้น สองคนนี้มีหน้าที่จัดของในชั้นวางสินค้าและจัดของส่งลูกค้าด้วย เพราะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าอะไรอยู่ตรงไหน สินค้าตัวไหนใกล้หมด ตัวไหนไม่มี
“เช็กของก่อนว่าครบไหม ถ้าไม่มีพี่จะได้เบิกจากโกดังใหญ่” เธอสั่งลูกน้อง โกดังใหญ่ที่ว่าคือร้านค้าส่งขนาดใหญ่ที่เป็นธุรกิจครอบครัวนั่นเอง
ครู่เดียวพนักงานเอารายการมาส่ง ขีดกากบาทสีแดงหน้ารายการของที่ขาด
“ขาดกระดาษเช็ดปากห้าแพ็ก กล่องชานอ้อยเจ็ดร้อยห้าสิบ มิลสามแถว แป้งเค้กมังกรฟ้าสามลังกับถั่วทองหนึ่งมัดค่ะพี่เอ๋”
“โอเคขอบใจจ้ะ” อิสริยาส่งข้อความแจ้งรายการสินค้าไปยังไลน์ของผู้จัดการที่ร้านใหญ่ ฝ่ายนั้นตอบกลับมาว่าจะมาส่งภายในหนึ่งชั่วโมง
“พี่เอ๋คะ เซลของน้ำมันรำข้าวมาค่ะ” พนักงานอีกคนเข้ามาบอก หญิงสาวจึงให้เซลเข้ามาคุยที่หน้าเคาน์เตอร์นั้นเอง
สกนธีมองเธอทำงานอย่างเพลิดเพลิน เขาไม่เคยสัมผัสกับชีวิตการค้าขายแบบนี้ ครอบครัวเดิมของเขาเป็นข้าราชการทั้งพ่อและแม่เป็นข้าราชการครูมาทั้งชีวิต ชีวิตเดิมเขาจึงไม่เคยลำบาก ไม่ถึงขั้นรวยแต่ไม่เคยต้องหยิบจับทำอะไรเอง ไม่เคยทำงานบ้านเองดังนั้นในชีวิตแต่งงานแรกๆ เขาจึงทำได้เพียงเพราะความอยากเอาใจเธอ แต่พองานตัวเองยุ่งมากขึ้นเขาเริ่มไปสนใจกับทุกสิ่งรอบตัวที่อยู่นอกบ้านจนลืมเธอและลูก
'สมควรแล้วไหมวะ'
สกนธีถามตัวเอง ไม่ใส่ใจแล้วยังปากหมาทั้งที่เขารู้ดีกว่าใครว่าอิสริยามีนิสัยอย่างไร ยามที่เธออดทนเธอจะอดทนถึงที่สุด แต่เมื่อไหร่ที่เธอไม่ทนแล้วใจเธอก็เป็นตามนั้นจริงๆ
ชายหนุ่มคิดเพลินจนสะดุ้งโหยงเมื่อเธอเรียกเขาเสียงดัง
“คุณสกนธีเชิญด้านในค่ะ”
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”