ไปเรียนดนตรี
สกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคน
ความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อน
ชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน
“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง
“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว”
“เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี
“สนุกมากค่ะคุณพ่อ หนูชอบ” เด็กหญิงพยักหน้าถี่ๆ เธอลดเสียงลงแล้วพูดว่า
“คุณพ่อขา หนูหิวขนมแล้ว”
สกนธีหัวเราะ เขาเก็บของบนโต๊ะย่อตัวลงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาพาเดินไปด้วยกัน
“หนูอยากกินอะไรดีคะ”
“อยากกินไอติมค่ะ” น้องเพียงบอกทันที ชายหนุ่มพยักหน้ารับเขาเดินไปถึงรถยนต์พอดี ชายหนุ่มเปิดประตูรถด้านคนขับให้น้องเพียงเดินข้ามเบาะไปที่นั่งด้านข้าง
ชายหนุ่มพาลูกสาวไปทานไอศกรีมร้านเดิมที่เคยแอบตามอิสริยาพาลูกไปทานคราวก่อน เด็กหญิงเปิดดูเมนูชี้รายการที่อยากได้ สกนธีจึงสั่งกับพนักงานตามรายการนั้น
“ช็อกโกแลตซันเดย์หนึ่งครับ กับกาแฟเย็นหนึ่ง”
“น้องเพียงอยากไปเที่ยวไหนไหมคะลูก” เขาถามเด็กหญิงในขณะที่มองเธอทานไอศกรีม เธอทำท่าคิดเอียงคอ
“หนูอยากไปสวนสัตว์ค่ะแต่แม่ไม่ว่างสักที” เธอพูดเสียงเบาลง เข้าใจว่าแม่ไม่ว่าง
“พ่อพาไปได้ค่ะ ไปสวนสัตว์เปิดไหมลูก”
“ต้องถามแม่ค่ะ” เด็กหญิงถูกสอนมาว่าจะไปไหนต้องถามแม่ก่อน ถ้าแม่ไม่ให้ไปก็คือไปไม่ได้
“พ่อบอกแม่ให้เอง ก็ชวนแม่ไปด้วยไงลูก” สกนธีบอกลูกสาว เด็กหญิงมีสีหน้าดีใจทันที
“จริงด้วยค่ะ พ่อจะพาหนูไปจริงๆ นะ”
ตอนเย็นชายหนุ่มพาเด็กหญิงมาส่งที่ร้าน เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นอิสริยานั่งคุยกับใครที่ห้องทำงาน ท่าทางไม่น่าใช่เซลขายสินค้า เธอและแขกหันมามองเมื่อน้องเพียงเปิดประตูห้องทำงานไปหามารดา
“แม่ขาหนูมาแล้ว” น้องเพียงเขม่นมองชายหนุ่มที่นั่งคุยกับอิสริยาก่อนจะกรีดร้องดีใจวิ่งไปหาชายคนนั้น
“ลุงพุฒ...”
สกนธีนึกออกทันที พุฒิเมธ เพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนของอิสริยา สมัยเรียนรุ่นพี่คนนี้เคยชอบแม่ของลูกเขามากแต่เธอเลือกที่จะรับรักเขาในวันนั้น แล้ววันนี้มันมาทำไม
“ว่าไงครับน้องเพียงไปไหนมาคะลูก ลุงมารอตั้งนานมีขนมมาฝากด้วย” ชายหนุ่มมองพุฒิเมธที่อุ้มลูกสาวเขาขึ้นมานั่งบนตักโดยที่อิสริยาไม่ได้ว่าอะไร
ทำไมมันขัดตาแบบนี้ฟะ
อิสริยาห่มผ้าให้น้องเพียงหลังจากที่เด็กหญิงหลับแล้ว วันนี้ลูกสาวเธอมีเรื่องเล่าไม่หยุดปากตั้งแต่กลับมาจากเรียนดนตรี
'วันนี้พ่อพาหนูไปกินไอติมด้วยค่ะแม่'
'วันนี้สนุกมากค่ะแม่ หนูอยากให้แม่ไปด้วยจัง'
'พ่อบอกว่าจะพาหนูไปสวนสัตว์ แม่ไปด้วยนะคะ'
เธอรับฟังลูกเงียบๆ ไม่ได้ขัดคออะไร จนถึงเวลาทานข้าว อาบน้ำเล่านิทานก่อนนอน เด็กหญิงหลับไปอย่างรวดเร็วจากความเพลียเพราะมีกิจกรรมนอกบ้าน
อิสริยาเดินมาเปิดโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า เป็นพุฒิเมธนั่นเอง
พุฒิ : ที่สองผืนเอ๋ลองดูราคาก่อนนะว่าไหวไหม แปลงแรกสิบไร่ ราคาสองร้อยห้าสิบล้านอยู่ไม่ไกลจากร้านเดิมของเอ๋ กับอีกแปลงแปดไร่ สามงานแต่อยู่ไกลออกไปหน่อยประมาณห้าสิบกิโล ราคาสองร้อยล้าน
พุฒิเมธส่งภาพในมุมต่างๆ ของตัวที่ทั้งสองแปลงมาให้เธอดู ประมาณยี่สิบภาพและสำเนาโฉนด รายละเอียดต่างๆ ของตัวที่ดินแนบมาให้
“ขอบคุณค่ะพี่เมธ เอ๋ขอดูก่อนนะคะแล้วถ้ายังไงเดี๋ยวเอ๋ติดต่อกลับไปค่ะ” เธอพิมพ์ตอบไปพร้อมกับขอบคุณ
พุฒิเมธเป็นนายหน้าขายที่ดิน จึงเป็นเหตุให้เธอติดต่อเขาในระยะนี้เพื่อหาที่แปลงใหม่ตามที่ครอบครัวให้ช่วยกันดู
เธอพิจารณาที่ด้วยความหนักใจ ขนาดที่ดินกำลังดีแต่ถ้าเอาเงินจำนวนมากมาทุ่มกับค่าที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างน่าจะมีปัญหาแน่
วันรุ่งขึ้นสกนธีมาที่ร้านตั้งแต่เช้า เธอขมวดคิ้วเมื่อแม่บ้านขึ้นมาแจ้งว่าเขามาหาน้องเพียง
“พ่อบอกว่าจะพาหนูไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะแม่ ให้พ่อขึ้นมานะคะ” เด็กหญิงกระโดดด้วยความดีใจ เธอหันมาพูดกับมารดาแล้วเปิดประตูลงไปชั้นล่างโดยที่แม่ห้ามไม่ทัน
“คุณพ่อ” เสียงเล็กๆ ที่มาก่อนตัวทำให้สกนธีหันมามอง เขาเห็นน้องเพียงอยู่ที่หัวบันไดชั้นบน ชายหนุ่มยิ้มให้ลูกสาวทันที
“ค่ะลูก พ่อมารับไปเที่ยว”
“พ่อขึ้นมาก่อนค่ะ หนูยังกินข้าวไม่เสร็จ” เด็กหญิงกวักมือเรียกสกนธีมีทีท่าลังเล
“จะดีเหรอคะลูก แม่เขาจะว่าไหม” ความจริงเขาเองก็อยากขึ้นไปดูส่วนที่เป็นที่อยู่ของภรรยาและลูก แต่เกรงว่าอิสริยาจะไม่พอใจ
“ไม่ว่าค่ะ หนูบอกแม่แล้ว” น้องเพียงยืนยันเด็กหญิงลงบันไดมาจูงมือพ่อขึ้นบ้าน สกนธีจึงเดินตามลูกไปเงียบๆ
“พ่อนั่งตรงนี้ก่อนนะคะ” เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ที่ชั้นบนถูกตกแต่งไว้เหมือนบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ดูออกว่าเพิ่งรีโนเวตไม่นานสีห้องยังใหม่กริบ ส่วนโถงถูกจัดเป็นห้องนั่งเล่นและพักผ่อน มีชุดรับแขก โทรทัศน์เครื่องเสียง โต๊ะทานข้าวอยู่ในบริเวณเดียวกัน
อิสริยาเดินออกมาจากห้องนอน เธอไปแต่งตัวใหม่เมื่อรู้ว่าลูกไปพาสกนธีขึ้นมาบนห้อง
“เอ๋ พี่มารับลูกกับเอ๋ไปสวนสัตว์เขาเขียว ไปด้วยกันนะ” สกนธีรีบพูดเมื่อเธอเดินออกมา เขาเห็นเธอถอนใจแรงๆ ก็หน้าเสีย
“วันนี้เหรอคะ” หญิงสาวย้อนถาม
“ค่ะแม่ หนูอยากไปนะคะ”
น้องเพียงเขย่ามือแม่ เด็กหญิงมองมารดาแววตามีความหวังเต็มเปี่ยม
“หนูทานข้าวเสร็จหรือยังคะลูก” เธอย้อนถามเด็กหญิง
“หนูกินใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ แม่ไปด้วยกันนะคะ” น้องเพียงรีบตอบแม่
“ไปด้วยกันเถอะเอ๋ ลูกอยากไป...นะครับ” สกนธีรีบพูด
อิสริยานึกอยากว่าเขา เธอเคยบอกเขานานแล้วว่าลูกอยากไปแต่เขาไม่เคยสนใจ ตอนนี้ทำไมเกิดจะอยากพาไปขึ้นมา แต่ก็ไม่อยากพูดแบบนั้นต่อหน้าลูก เด็กหญิงเพิ่งร่าเริงได้ไม่นาน
“ค่ะ ไปก็ได้แต่ฉันมีเวลาไม่มากนะ น้องเพียงทานข้าวให้หมดลูก” เธอหันไปคุยกับลูกสาวที่รีบวิ่งกลับไปทานอาหารเช้าต่อทันที
“ค่ะแม่ แม่มากินด้วยกันสิคะ พ่อด้วย”
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย