ไปเรียนดนตรี
สกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคน
ความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อน
ชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน
“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง
“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว”
“เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี
“สนุกมากค่ะคุณพ่อ หนูชอบ” เด็กหญิงพยักหน้าถี่ๆ เธอลดเสียงลงแล้วพูดว่า
“คุณพ่อขา หนูหิวขนมแล้ว”
สกนธีหัวเราะ เขาเก็บของบนโต๊ะย่อตัวลงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาพาเดินไปด้วยกัน
“หนูอยากกินอะไรดีคะ”
“อยากกินไอติมค่ะ” น้องเพียงบอกทันที ชายหนุ่มพยักหน้ารับเขาเดินไปถึงรถยนต์พอดี ชายหนุ่มเปิดประตูรถด้านคนขับให้น้องเพียงเดินข้ามเบาะไปที่นั่งด้านข้าง
ชายหนุ่มพาลูกสาวไปทานไอศกรีมร้านเดิมที่เคยแอบตามอิสริยาพาลูกไปทานคราวก่อน เด็กหญิงเปิดดูเมนูชี้รายการที่อยากได้ สกนธีจึงสั่งกับพนักงานตามรายการนั้น
“ช็อกโกแลตซันเดย์หนึ่งครับ กับกาแฟเย็นหนึ่ง”
“น้องเพียงอยากไปเที่ยวไหนไหมคะลูก” เขาถามเด็กหญิงในขณะที่มองเธอทานไอศกรีม เธอทำท่าคิดเอียงคอ
“หนูอยากไปสวนสัตว์ค่ะแต่แม่ไม่ว่างสักที” เธอพูดเสียงเบาลง เข้าใจว่าแม่ไม่ว่าง
“พ่อพาไปได้ค่ะ ไปสวนสัตว์เปิดไหมลูก”
“ต้องถามแม่ค่ะ” เด็กหญิงถูกสอนมาว่าจะไปไหนต้องถามแม่ก่อน ถ้าแม่ไม่ให้ไปก็คือไปไม่ได้
“พ่อบอกแม่ให้เอง ก็ชวนแม่ไปด้วยไงลูก” สกนธีบอกลูกสาว เด็กหญิงมีสีหน้าดีใจทันที
“จริงด้วยค่ะ พ่อจะพาหนูไปจริงๆ นะ”
ตอนเย็นชายหนุ่มพาเด็กหญิงมาส่งที่ร้าน เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นอิสริยานั่งคุยกับใครที่ห้องทำงาน ท่าทางไม่น่าใช่เซลขายสินค้า เธอและแขกหันมามองเมื่อน้องเพียงเปิดประตูห้องทำงานไปหามารดา
“แม่ขาหนูมาแล้ว” น้องเพียงเขม่นมองชายหนุ่มที่นั่งคุยกับอิสริยาก่อนจะกรีดร้องดีใจวิ่งไปหาชายคนนั้น
“ลุงพุฒ...”
สกนธีนึกออกทันที พุฒิเมธ เพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนของอิสริยา สมัยเรียนรุ่นพี่คนนี้เคยชอบแม่ของลูกเขามากแต่เธอเลือกที่จะรับรักเขาในวันนั้น แล้ววันนี้มันมาทำไม
“ว่าไงครับน้องเพียงไปไหนมาคะลูก ลุงมารอตั้งนานมีขนมมาฝากด้วย” ชายหนุ่มมองพุฒิเมธที่อุ้มลูกสาวเขาขึ้นมานั่งบนตักโดยที่อิสริยาไม่ได้ว่าอะไร
ทำไมมันขัดตาแบบนี้ฟะ
อิสริยาห่มผ้าให้น้องเพียงหลังจากที่เด็กหญิงหลับแล้ว วันนี้ลูกสาวเธอมีเรื่องเล่าไม่หยุดปากตั้งแต่กลับมาจากเรียนดนตรี
'วันนี้พ่อพาหนูไปกินไอติมด้วยค่ะแม่'
'วันนี้สนุกมากค่ะแม่ หนูอยากให้แม่ไปด้วยจัง'
'พ่อบอกว่าจะพาหนูไปสวนสัตว์ แม่ไปด้วยนะคะ'
เธอรับฟังลูกเงียบๆ ไม่ได้ขัดคออะไร จนถึงเวลาทานข้าว อาบน้ำเล่านิทานก่อนนอน เด็กหญิงหลับไปอย่างรวดเร็วจากความเพลียเพราะมีกิจกรรมนอกบ้าน
อิสริยาเดินมาเปิดโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า เป็นพุฒิเมธนั่นเอง
พุฒิ : ที่สองผืนเอ๋ลองดูราคาก่อนนะว่าไหวไหม แปลงแรกสิบไร่ ราคาสองร้อยห้าสิบล้านอยู่ไม่ไกลจากร้านเดิมของเอ๋ กับอีกแปลงแปดไร่ สามงานแต่อยู่ไกลออกไปหน่อยประมาณห้าสิบกิโล ราคาสองร้อยล้าน
พุฒิเมธส่งภาพในมุมต่างๆ ของตัวที่ทั้งสองแปลงมาให้เธอดู ประมาณยี่สิบภาพและสำเนาโฉนด รายละเอียดต่างๆ ของตัวที่ดินแนบมาให้
“ขอบคุณค่ะพี่เมธ เอ๋ขอดูก่อนนะคะแล้วถ้ายังไงเดี๋ยวเอ๋ติดต่อกลับไปค่ะ” เธอพิมพ์ตอบไปพร้อมกับขอบคุณ
พุฒิเมธเป็นนายหน้าขายที่ดิน จึงเป็นเหตุให้เธอติดต่อเขาในระยะนี้เพื่อหาที่แปลงใหม่ตามที่ครอบครัวให้ช่วยกันดู
เธอพิจารณาที่ด้วยความหนักใจ ขนาดที่ดินกำลังดีแต่ถ้าเอาเงินจำนวนมากมาทุ่มกับค่าที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างน่าจะมีปัญหาแน่
วันรุ่งขึ้นสกนธีมาที่ร้านตั้งแต่เช้า เธอขมวดคิ้วเมื่อแม่บ้านขึ้นมาแจ้งว่าเขามาหาน้องเพียง
“พ่อบอกว่าจะพาหนูไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะแม่ ให้พ่อขึ้นมานะคะ” เด็กหญิงกระโดดด้วยความดีใจ เธอหันมาพูดกับมารดาแล้วเปิดประตูลงไปชั้นล่างโดยที่แม่ห้ามไม่ทัน
“คุณพ่อ” เสียงเล็กๆ ที่มาก่อนตัวทำให้สกนธีหันมามอง เขาเห็นน้องเพียงอยู่ที่หัวบันไดชั้นบน ชายหนุ่มยิ้มให้ลูกสาวทันที
“ค่ะลูก พ่อมารับไปเที่ยว”
“พ่อขึ้นมาก่อนค่ะ หนูยังกินข้าวไม่เสร็จ” เด็กหญิงกวักมือเรียกสกนธีมีทีท่าลังเล
“จะดีเหรอคะลูก แม่เขาจะว่าไหม” ความจริงเขาเองก็อยากขึ้นไปดูส่วนที่เป็นที่อยู่ของภรรยาและลูก แต่เกรงว่าอิสริยาจะไม่พอใจ
“ไม่ว่าค่ะ หนูบอกแม่แล้ว” น้องเพียงยืนยันเด็กหญิงลงบันไดมาจูงมือพ่อขึ้นบ้าน สกนธีจึงเดินตามลูกไปเงียบๆ
“พ่อนั่งตรงนี้ก่อนนะคะ” เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ที่ชั้นบนถูกตกแต่งไว้เหมือนบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ดูออกว่าเพิ่งรีโนเวตไม่นานสีห้องยังใหม่กริบ ส่วนโถงถูกจัดเป็นห้องนั่งเล่นและพักผ่อน มีชุดรับแขก โทรทัศน์เครื่องเสียง โต๊ะทานข้าวอยู่ในบริเวณเดียวกัน
อิสริยาเดินออกมาจากห้องนอน เธอไปแต่งตัวใหม่เมื่อรู้ว่าลูกไปพาสกนธีขึ้นมาบนห้อง
“เอ๋ พี่มารับลูกกับเอ๋ไปสวนสัตว์เขาเขียว ไปด้วยกันนะ” สกนธีรีบพูดเมื่อเธอเดินออกมา เขาเห็นเธอถอนใจแรงๆ ก็หน้าเสีย
“วันนี้เหรอคะ” หญิงสาวย้อนถาม
“ค่ะแม่ หนูอยากไปนะคะ”
น้องเพียงเขย่ามือแม่ เด็กหญิงมองมารดาแววตามีความหวังเต็มเปี่ยม
“หนูทานข้าวเสร็จหรือยังคะลูก” เธอย้อนถามเด็กหญิง
“หนูกินใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ แม่ไปด้วยกันนะคะ” น้องเพียงรีบตอบแม่
“ไปด้วยกันเถอะเอ๋ ลูกอยากไป...นะครับ” สกนธีรีบพูด
อิสริยานึกอยากว่าเขา เธอเคยบอกเขานานแล้วว่าลูกอยากไปแต่เขาไม่เคยสนใจ ตอนนี้ทำไมเกิดจะอยากพาไปขึ้นมา แต่ก็ไม่อยากพูดแบบนั้นต่อหน้าลูก เด็กหญิงเพิ่งร่าเริงได้ไม่นาน
“ค่ะ ไปก็ได้แต่ฉันมีเวลาไม่มากนะ น้องเพียงทานข้าวให้หมดลูก” เธอหันไปคุยกับลูกสาวที่รีบวิ่งกลับไปทานอาหารเช้าต่อทันที
“ค่ะแม่ แม่มากินด้วยกันสิคะ พ่อด้วย”
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”