อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน
“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้
“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ”
“ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี
“นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดู
อิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ”
“ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย”
“แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ
“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้ม
พุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขาย
เที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถือโอกาสพูดเรื่องที่ดินผืนนั้น
“คุณเคยบอกขายที่ผืนนั้นหรือเปล่า”
สกนธีกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ ที่ผืนนี้เขาออกปากยกให้เธอไปแล้วตั้งแต่วันที่แต่งงานกันเมื่อเจ็ดปีก่อน แล้วเขาจะเอาไปขายได้อย่างไร
“ไม่นี่ พี่จะขายได้ยังไงก็บอกยกให้เอ๋ไปตั้งนานแล้ว”
แทนคำตอบอิสริยาส่งแฟ้มเอกสารที่พุฒิเมธทิ้งไว้ให้ ชายหนุ่มมองหน้าเธอและรับมาเปิดดู สกนธีสีหน้าเปลี่ยนเมื่ออ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ยิ่งเปิดหน้าต่อๆ มาเขายิ่งเคร่งเครียด
“เอ๋เอามาจากไหน” เขาถาม
“พี่เมธเอามาให้ค่ะ เขาบอกว่าที่สวยราคาแรง”
สกนธีทำเสียงในคอ ทำไมจะไม่สวยที่ผืนนี้เขาได้เป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ย่าที่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งคู่ ท่านทั้งสองซื้อตั้งแต่ตอนที่ราคามันยังไม่แพง จะเรียกว่าสมัยปู่ย่าเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ว่าได้ แล้วไอ้หมอนั่นได้ข้อมูลมาได้อย่างไรว่าเขาจะขาย
“เอ๋บอกมันหรือเปล่า ว่าที่ผืนนี้เป็นของเรา”
หญิงสาวส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ ฉันไม่แน่ใจว่าคุณอาจจะเคยอยากได้ อาจจะเคยไปฝากขายที่ไหนไว้หรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เคยมีความคิดเรื่องขายที่” ชายหนุ่มเดาะลิ้นเป็นจังหวะอย่างกำลังใช้ความคิด
“งั้นเอ๋บอกมันว่า สนใจที่ผืนนี้อยากคุยกับเจ้าของที่ พี่อยากรู้ว่ามันเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเราอยากขาย”
หากเป็นเรื่องอื่นเธอแน่ใจว่าคงไม่ให้ความร่วมมือเป็นแน่ แต่เมื่อมาเป็นเรื่องที่ดินและเกี่ยวข้องกับพุฒิเมธทำให้เธออยากรู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร
“ได้ค่ะ ส่วนเรื่องที่ป๊ากับเฮียบอกว่าอยากขอซื้อค่ะ”
“ถ้าเอ๋อยากขายก็ขายไปสิ เดี๋ยววันโอนพี่ไปเซ็นให้” เขายังยืนกรานว่าที่ผืนนั้นเป็นของเธอจนหญิงสาวเริ่มโมโห
“คุณสกนธี เราคุยกันจริงจังสักทีเถอะ”
“พี่จริงจังแล้ว มีแต่เอ๋นี่ล่ะที่คุยคนละเรื่องกับพี่ตลอด”
เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้างราวกับกำลังสบายใจมาก
“พี่บอกว่ายกให้ก็ยกให้ แต่ถ้าที่บ้านเอ๋ป๊ากับเฮียไม่สบายใจก็ทำสัญญาเช่ามาก็ได้ อย่าซื้อเลยเก็บเงินสำรองไว้เรื่องค่าก่อสร้างกับหมุนในห้างดีกว่า”
ข้อเสนอของเขาเข้าท่าจนเธอขัดไม่ได้ อิสริยาหลุบตาลงมองเอกสารบนโต๊ะก่อนที่สกนธีจะพูดเรื่องต่อไป
“ส่วนเรื่องก่อสร้างพี่อยากให้เปิดเสนอราคา พี่จะบอกเพื่อนให้มายื่นซองด้วยเราจะได้งานที่มีคุณภาพแล้วก็ไม่แพงเกินไป”
อิสริยาขมวดคิ้ว เธอไม่อยากรับความช่วยเหลือจากคนที่นับแล้วว่าเป็นอดีตสามีแต่อีกใจก็เห็นด้วยว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าเธอ และเพื่อนของเขาที่เธอรู้จักล้วนเป็นคนดีกว่าสกนธีมาก
ต่อให้วันหนึ่งถ้าเราสองคนต้องเลิกกันไปจริงๆ ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเลิกคบกับนักธุรกิจเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสมิติหัวหน้าใหญ่ของกลุ่ม หรืออัศราเจ้าของบริษัทก่อสร้างอีกคน หรือแม้แต่ชานนท์หุ้นส่วนของสกนธีเองก็ล้วนแล้วมีความประพฤติดีกว่าพ่อของลูกเธอทั้งนั้น
“ฉันอยากคุยกับเพื่อนๆ คุณเอง น่าจะดีกว่านะคะ” เธอลังเล
“ไม่ดีหรอก เอ๋เป็นเจ้าของงานถ้ามาคุยกับพวกมันนอกรอบจะโดนครหานะว่าฮั้วกัน ไม่ดีๆ พี่ไปคุยเองดีกว่า”
ช่างน่ารำคาญ อย่าคิดว่ารู้ไม่ทัน! อิสริยาคิดในใจ หญิงสาวลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
“คุณกลับไปได้แล้วค่ะ ฉันจะไปรับลูก”
“พี่จะไปด้วย ลูกบอกว่าอยากให้พ่อแม่ไปรับด้วยกัน”
หญิงสาวเม้มปาก
“ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก มันใช้ไม่ได้ทุกสถานการณ์หรอกนะคะ” โดยเฉพาะในยามที่เธอหมดความรู้สึกไปแล้วแบบนี้
“พี่ไม่ชอบคตินั้น ของพี่ต้องบอกว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินยัง...” เขาเงียบเมื่อเธอขัดขึ้นมา
“หินมันบอกว่ารำคาญค่ะ รำคาญมากคุณไปได้แล้ววันนี้เราคุยกันเยอะไปแล้ว”
สกนธีทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอ เขามองเธอเหมือนจะค้อนแต่ก็ยอมกลับไปเมื่อเห็นว่าเธอเอาจริง
“กลับก็ได้ พรุ่งนี้พี่จะเอาโจ๊กมาฝากลูกแต่เช้า ลูกบอกอยากกิน”
“เรื่องที่ผืนนั้นตกลงเจ้าของเขาจะขายเท่าไหร่ครับคุณมิ” พุฒิเมธถามเพื่อนร่วมอาชีพสาวสวยคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับเขามาหลายครั้งแล้ว“เขายังไม่ให้ราคาแน่นอนมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะถามเขาใหม่อีกที คุณรออีกสักวันสองวันนะไม่อยากไปตามง้อมาก” มิลินตอบ“เขาขายแน่ใช่ไหม ผมเปิดขายไปแล้วลูกค้าก็ทำท่าสนใจด้วย ถ้าคุณเจรจากับเจ้าของที่ไม่ได้ลองให้ผมไปคุยเองไหม”มิลินปรายตามองพุฒิเมธแล้วเมิน“ฉันจัดการเอง เชื่อมือสิ” หญิงสาวคิดไปถึงชายหนุ่มเจ้าของที่รูปหล่อที่พบจากการแนะนำของชานนท์ เนื่องจากว่าสกนธีเป็นหุ้นส่วนของญาติเธอเอง‘สงสัยเราจะต้องไปดื่มที่ร้านคุณสมิติอีกครั้งแล้ว’ เธอนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเธอไม่เคยเจอสกนธีที่อื่นเลยนอกจากที่นั่น หญิงสาวรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นเพราะว่าชานนท์เป็นคนบอก ในฐานะนายหน้าตามนิสัยเธอจึงมองหาที่ผืนใหม่ๆ เพื่อบอกขายเสมอ และเธอได้รู้ว่าที่ดินเปล่าในทำเลดีที่หมายตามานานเป็นของเพื่อนชานนท์โดยบังเอิญ จึงพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามมาตลอด แน่ใจว่าเจ้าของไม่มีโครงการจะทำอะไรจึงพยายามหาคอนแท็กต์ของสกนธีจนญาติหนุ่มยอมให้ในที่สุดค่ำวันนั้นเธอไปที่โรง
อิสริยากลับบ้านด้วยความหนักใจ และมีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพุฒิเมธมารอที่ร้าน“พี่เมธมานานหรือยังคะ เอ๋ไม่รู้ว่าพี่จะมาเลยเข้าร้านช้า” เธอออกตัวเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้นัดไว้“ครับ ไม่เป็นไรพี่รู้ว่าพี่ไม่ได้นัดเอ๋ไว้ วันนี้พี่มีที่อีกผืนอยากให้เอ๋ไปดูนะครับ รับรองว่าจะต้องชอบ” “ที่ไหนคะ” อิสริยาสนใจเผื่อว่าที่ผืนใหม่ที่นายหน้าหนุ่มแนะนำจะดีกว่าที่ดินของสกนธี “นี่ครับ ที่สวยเนื้อที่ประมาณยี่สิบห้าหรือสามสิบไร่อยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยตรงตามเงื่อนไขน้องเอ๋ทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งภาพของที่ดินผืนที่ว่าให้เจ้าของร้านสาวดูอิสริยารับมาแล้วต้องขมวดคิ้ว นี่มันที่ของสกนธีนี่นา “ที่ผืนนี้เจ้าของเขาขายเหรอคะ” “ครับ ถ้าน้องเอ๋สนใจพี่ดำเนินการให้ได้เลย” “แน่ใจนะคะพี่เมธ จริงๆ เอ๋ไม่คิดว่าเจ้าของที่เขาจะขายเลยนะคะ” เธอย้ำ“ขายครับ ซื้อได้แน่นอนถ้างบไปถึงถ้าน้องเอ๋กับที่บ้านยอมทุ่มสักห้าหกร้อยล้าน” พุฒิเมธยิ้มพุฒิเมธขอตัวกลับไปแล้วแต่อิสริยายังนั่งนิ่งที่เดิม หญิงสาวพยายามคิดว่าเพื่อนรุ่นพี่ไปเอาเรื่องที่ดินผืนนี้มาได้อย่างไรว่าสกนธีจะขายเที่ยงวันนั้นสกนธีมาหาที่ร้านหญิงสาวจึงถ
สามชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจนได้ อิสริยานั่งเบาะหลังปล่อยให้เด็กหญิงสุพิชชานั่งคู่บิดา เธอฟังเสียงพ่อลูกคุยกันด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่ชินทั้งการที่สกนธีมีเวลามาใส่ใจลูกสาว หรือไม่ชินกับการที่เธอได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอกับสกนธีใช้ชีวิตต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ ช่องว่างที่มีในครอบครัวกลายเป็นเรื่องปกติจนเธอชินชาหลังจากที่สกนธีจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมสวนสัตว์แล้ว พวกเธอก็ได้ขึ้นรถรางนำชมส่วนการแสดงต่างๆ ตลอดระยะเวลานั้นอิสริยาแทบจะไม่ได้พูดอะไร นอกจากเออออเวลาที่ลูกสาวหันมาคุยด้วย นอกนั้นเธอเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้หน้าที่การดูแลเด็กหญิงสุพิชชาเป็นของพ่อเต็มที่“เอ๋ดูอะไรเหรอ พี่เห็นก้มหน้าก้มตามองดูแต่มือถือมาตลอดทั้งวันเลยนะ” สกนธีอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามในขณะที่รอเด็กหญิงสุพิชชาเลือกไอศกรีม เขาเห็นอิสริยาสนใจแต่อุปกรณ์สื่อสารในมือแทบจะตลอดเวลา“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าตอบมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เธอกำลังคุยกับครอบครัวผ่านโปรแกรมแชตเรื่องที่ดินที่พุฒิเมธเสนอมา แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจุกจิกทั้งสองผืน คง
ไปเรียนดนตรีสกนธีพาน้องเพียงมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย พอมีเวลาได้คุยกับครูเรื่องรายละเอียดจนเป็นที่พอใจ ในคอร์สนั้นมีนักเรียนวัยเดียวกันกับน้องเพียงสองถึงสามคนความจริงแล้วทางโรงเรียนแนะนำว่าเด็กหญิงควรเรียนเปียโนก่อนเพื่อให้มีพื้นฐานดนตรี และครูเกรงว่าน้องเพียงที่อายุห้าขวบนิ้วอาจจะไม่มีแรงพอที่จะกดคอร์ดได้ แต่สกนธีไม่อยากให้ลูกผิดหวัง เขาจึงตั้งใจพามาเรียนก่อนสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าเด็กหญิงอยากเรียนต่อเขาจะตามใจ แต่ถ้ายังเรียนไม่ได้จริงเขาจะคุยกับน้องเพียงว่าครูขอให้เปลี่ยนไปเรียนเปียโนก่อนชายหนุ่มมาส่งลูกที่หน้าห้องเรียน“พ่อจะรอหนูที่หน้าห้องนะคะลูก” “ค่ะคุณพ่อ หนูไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นบ๊ายบายกับคุณพ่อ หน้าห้องเรียนมีชุดโต๊ะเก้าอี้ว่างๆ สกนธีจึงใช้เวลาในตอนนั้นดูงานเอกสารที่ค้างอยู่ ประชุมออนไลน์กับทีมงานและสั่งงานลูกน้องที่บริษัท เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงสุพิชชาวิ่งมาหาคุณพ่ออย่างร่าเริง“คุณพ่อขา หนูมาแล้ว” “เป็นไงคะลูก เรียนสนุกไหม หนูชอบไหม” สกนธีปิดแล็ปท็อป เขาเงยหน้ายิ้มให้เด็กหญิงที่กำลังอารมณ์ดี“สนุกมากค่ะคุณพ่อ
อิสริยาเดินนำเขาไปที่ห้องทำงาน ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในนั้น เธอนั่งที่หลังโต๊ะทำงานเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจไม่ใช่คุยกับสามี“เชิญนั่งค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรคะ” “เอ๋ ทำไมทำเหมือนเราไม่ใช่ผัวเมียกันล่ะ” “เหรอคะ คุณเพิ่งรู้สึกเหรอฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว รู้สึกมาเป็นปีแล้วทำไมคุณความรู้สึกช้าจัง” เธอตอบตามที่คิดทำให้สกนธีหน้าสลดลง“เอ๋พี่ขอโทษ ขอโทษที่ละเลยเอ๋กับน้องเพียง ขอโทษที่ไม่ทำตามสัญญาแต่ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม กลับบ้านเรากันเถอะนะ” “คุณพูดว่านั่นเป็นบ้านคุณ จะมาบ้านเราอะไรตอนนี้” อิสริยากระชากเสียงนั่นเป็นเธอในมุมที่สกนธีแทบไม่เคยเห็น “ฉันยอมให้คุณทำหน้าที่พ่อให้น้องเพียงได้แค่นั้น แล้วถ้าวันไหนลูกรู้สึกแย่ๆ เพราะคุณอีกความเป็นพ่อก็จะไม่มีเหลือเหมือนกัน” “งั้น..พี่ขอพาลูกไปเรียนดนตรีได้ไหมวันเสาร์ ลูกอยากไป” สกนธีต่อรองแต่อิสริยายิ้มมุมปาก“คุณถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีเวลาให้ลูกได้ทุกวันเสาร์ไหม ไม่ใช่มาแค่ไม่กี่วันแล้วคุณก็หายไปเท่าที่จำได้เมื่อก่อนจะวันไหนๆ คุณก็ไม่เคยมีเวลาให้น้องเพียงเลยนะ ลูกชวนคุณไปสวนสัตว์แล้วคุณก็รับปากส่งๆ จนตอนนี้เขาดินปิดไปแล้วเคยจ
“พี่เอ๋คะคุณพ่อน้องเพียงมาค่ะ” อิสริยาเงยหน้าจากกองเอกสารบัญชีเมื่อลูกน้องเดินมาบอกในห้องทำงาน เธอยังไม่ทันตอบอะไรสกนธีก็เข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงโบกมือให้พนักงานออกไปเธอมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน “เมื่อไหร่เอ๋จะพาลูกกลับบ้าน” สกนธีไม่อารัมภบทนาน“บ้านฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” อิสริยาตอบเสียงเรียบ เธอทำงานตรงหน้าต่อเหมือนว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าสนใจ“เอ๋.. พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขายอมเอ่ยคำว่าขอโทษเมื่อรู้ว่าถูกเมินจริงๆอิสริยาเงยหน้ามองเขา “ขอโทษเรื่องอะไรคะ เรื่องที่คุณไล่ฉันกับลูกออกจากบ้าน เรื่องที่ไม่สนใจลูกเมีย เรื่องที่ไปเที่ยวแล้วไปไหนต่อไหนกับใคร หรือว่าเรื่องที่..เราหมดรักกันแล้ว” “ไม่ใช่นะเอ๋ พี่รักเอ๋กับลูกส่วนเรื่องคืนนั้นพี่อธิบายได้” สกนธีรีบพูด“แต่ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะว่าคืนนั้นคุณไปไหนมา ไปกับใคร ส่วนเรื่องหมดรัก คุณจะคิดยังไงฉันไม่รู้แต่ฉันหมดแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากกับการเป็นเมียเป็นคนใช้เป็นสารพัดอย่างแต่ไม่เคยมีความหมาย ไม่มีตัวตน” อิสริยาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด เธอเห็นแววตาตื่นตะลึงของสกนธีมันยิ่งทำให้คำพูดหลั่งไหลไม่หย