ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง”
“พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้
ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง
“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์
“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว
“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่
ณิชชาเดินเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงอังกูรอยู่ในห้องน้ำจึงไม่รู้จะทำอะไรนอกจากยืนรอ เธอมองสำรวจไปรอบห้องเห็นกรอบรูปบนชั้นเป็นภาพของเด็กชายรติวัชร์จึงเดินไปมองใกล้ๆ
“รูปนี้ถ่ายตอนน้องวินเข้าเรียนวันแรก”
อังกูรออกมาจากห้องน้ำเมื่อใดณิชชาเองก็ไม่รู้ตัว หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเมื่อรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้เกินไป
“คุณมีอะไรเหรอคะ ถึงเรียกณิชขึ้นมา”
“ณิชนั่งก่อนสิ” อังกูรเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานและบอกให้หญิงสาวนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงกันข้าม
“เมื่อเช้าลูกกินข้าวกับอะไรก่อนไปโรงเรียน” คำถามของเขาทำให้เธองงเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบตามตรง
“ข้าวต้มกุ้งกับโอวัลตินค่ะ”
“โอวัลตินน้ำตาลเยอะ ให้ลูกนานๆ กินทีไม่เป็นไรแต่ทุกวันคงไม่ดี แล้วปกติณิชจะไปรับลูกกี่โมงครับ”
“เอ่อ ก็ห้าโมงครึ่งค่ะ ณิชให้ลูกเรียนพิเศษทำการบ้านที่โรงเรียนให้เสร็จไปเลย มีครูดูแลอยู่ค่ะ” เนื่องจากโรงเรียนกับห้างเอ็มจีสำนักงานใหญ่อันเป็นสถานที่ทำงานนั้นไม่ไกลกันมาก ทำให้เธอออกจากห้างเวลาเลิกงานก็ไปถึงโรงเรียนลูกพอดีกับที่น้องหวานหวานเรียนพิเศษเสร็จ
“เดี๋ยวผมขอสำเนาบัตรของณิช จะได้ให้ย้งไปเตรียมเรื่องซื้อบ้าน ส่วนเรื่องไปรับลูกเย็นนี้ผมอยากไปด้วย อยากไปดูว่าลูกเรียนที่ไหนยังไง ครูของลูกจะได้รู้จักผม”
“ค่ะ แค่นี้ใช่ไหมคะ” ณิชชาขยับตัวทำท่าจะลุกแต่ชายหนุ่มเรียกไว้
“จะไปไหนล่ะณิช”
“ก็จะลงไปเอาสำเนาบัตรให้ไงคะ คุณคิดว่าณิชเดินถือขึ้นมาด้วยหรือไง” เธอย้อนถามไม่อยากจะปฏิเสธไม่รับอะไรจากเขาอีกแล้ว อังกูรเป็นคนดื้อในระดับหนึ่งจนเธอรู้สึกเหนื่อย
“ไม่ต้องลงไปหรอก เอาบัตรมาข้างบนก็มีที่ถ่ายเอกสาร”
อ้อ... ณิชชาลืมไปบนสำนักงานย่อมต้องมีอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่แล้ว หญิงสาวเปิดกระเป๋าเงินใบเล็กที่พกติดตัวเสมอหยิบบัตรประชาชนในนั้นออกมาวางบนโต๊ะ
ประตูห้องทำงานเปิดออกพร้อมกับที่สุพรรษาเข้ามารับบัตรประชาชนของณิชชา
“ผมฝากถ่ายเอกสารแล้วเอามาให้คุณณิชเซ็น แล้วรบกวนคุณสุเอาไปให้นายย้งที่ห้องเขาด้วยครับ”
“ได้ค่ะบอส” สุพรรษารับคำสั่งโดยที่ไม่ถามอะไรจุกจิก แต่เธอก็หูผึ่งเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคต่อไปที่อังกูรพูดกับณิชชา
“งานข้างล่างวันนี้มีอะไรมากรึเปล่าณิช ตอนบ่ายเราออกไปดูเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านแล้วเลยไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนเลยละกันนะ”
ณิชชามองตามเลขาสาวที่ออกไปแล้วก่อนจะหันกลับมาตำหนิอังกูร
“คุณพูดแบบนี้ให้เลขาคุณได้ยินได้ยังไงคะ เขาจะคิดยังไง”
“เขาไม่รู้วันนี้ วันอื่นเขาก็ต้องรู้อยู่ดีว่าณิชเป็นแม่น้องวิน แล้ววินกับหวานหวานเป็นฝาแฝดกัน ณิชเป็นคนเลือกมาทำงานที่นี่เองนะผมไม่ได้บังคับ”
อังกูรพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อน ในขณะที่ณิชชากำมือแน่นเธอใกล้จะหมดความอดทนกับเขาเต็มที่
“ณิชคิดว่าเมื่อวานเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
เธอย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานในห้องโฮมเธียเตอร์ของบ้านหลังใหม่ที่จะซื้อ
‘ผมขอโทษทุกเรื่องเลย เรื่องเมื่อเช้าด้วยผมไม่ได้หมายความแบบนั้นไม่ได้จะว่าณิช ขอโทษเรื่องเก่าๆ ด้วยได้ไหม’‘ปล่อยก่อนค่ะ คุณอย่าทำแบบนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกัน’
‘เรามีลูกด้วยกันโตขนาดนี้ จะไม่ได้เป็นอะไรกันได้ยังไง’
‘แล้วเราเคยตกลงเป็นอะไรกันเหรอคะ นอกจากพ่อกับแม่ของลูก’ เธอจิกเล็บลงบนหลังมือจนชายหนุ่มยอมปล่อย ณิชชาถอยเมื่อเป็นอิสระเธอหันหน้ากลับมาคุยกับเขา ถามกลับไปโดยไม่หลบตา
‘อย่างเดียวที่เราเคยตกลงกัน ก็คือณิชเคยขายตัวให้คุณเท่านั้นค่ะ’
‘ผมไม่เคยมองณิชแบบนั้น’ ในความเป็นจริงอังกูรมองว่าเขาพอใจในตัวเธอจึงยื่นข้อเสนอ ส่วนณิชชาในวันนั้นจะด้วยความจำเป็นอะไรก็ตาม แต่เธอก็ยินดีรับข้อเสนอของเขา ดังนั้นระหว่างเรามันเป็นเรื่องของความพอใจกันทั้งสองฝ่าย
แต่เมื่อเธอมาบอกว่าตั้งครรภ์ ทุกสิ่งจึงเปลี่ยนไปในความรู้สึกของอังกูร เขาเปลี่ยนสถานะจากผู้หญิงที่เคยพอใจเป็นคนที่เขาต้องรับผิดชอบ และเพราะการตั้งครรภ์ทำให้เธอต้องออกจากการเรียนยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองทำลายอนาคตของเด็กสาวคนหนึ่ง
มุมมองของเขาที่มีต่อณิชชาก็เปลี่ยนไปจากวันนั้น การที่เขาเร่งให้เธอไปเรียนต่อ การที่เขาไม่ตอบกลับเธอใดใดก็ล้วนมีเหตุผลเพื่อตัวเธอเองทั้งสิ้น
‘ณิชต้องเลิกเรียนเพราะผม อนาคตต้องสะดุดก็เพราะผมพลาดทำให้ณิชเป็นแม่คนก่อนเวลา ผมเลยอยากคืนอนาคตให้ณิช พยายามจะผลักให้ณิชกลับไปเป็นเหมือนคนโสดที่ไม่มีภาระอะไรให้ได้อีกครั้ง ณิชไม่เชื่อก็ได้แต่ผมพูดความจริง’
‘แล้วทำไมคุณไม่เคยมาเอง ไม่เคยติดต่อ มีอะไรก็บอกผ่านคุณย้งทุกครั้ง รังเกียจจนพูดคุยกันเองไม่ได้เลยเหรอคะ’
‘ผมจะรังเกียจณิชทำไม ถ้าผมรังเกียจผมจะเคยขอเลี้ยงดูณิชได้เหรอ’ เขาแย้งทันที
‘แต่เพราะว่าณิชท้อง ผมรู้สึกผิดว่าทำณิชลำบากเป็นเรื่องนึงที่ผมไม่อยากมาเจอ ส่วนอีกเรื่อง...’ ชายหนุ่มเงียบไปนาน ก่อนจะพูดต่อเพราะว่าไหนๆ ก็คุยเรื่องนี้แล้ว
‘ผมกลัวจะห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ให้ไปเกาะแกะล่วงเกินณิชอีก’
ในห้องเกิดบรรยากาศเดตแอร์ไปชั่วขณะ ณิชชาปรับสีหน้าเป็นจริงจังเหมือนเดิม
‘งั้นคุณก็ต้องถอยไปให้ห่างก็ถูกแล้วค่ะ ณิชเองก็ไม่อยากให้คุณเข้าใกล้เหมือนกัน’
‘แต่วันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนเดิม ณิชเรียนจบแล้ว มีอนาคตที่ดี มีงานดีๆ ทำแบบที่ณิชต้องการแล้ว’
‘ใช่ค่ะ ไม่มีอะไรเหมือนเดิม คุณเข้าใจก็ดีแล้วเอาเป็นว่าถ้าคุณอยากให้ณิชรับบ้านนี้ไว้ก็ตามนั้น แต่ห้ามมาทวงบุญคุณเรียกร้องอะไรจากณิชอีก’
‘ถ้าผมปากไม่ดีอีก อนุญาตให้ณิชทำอะไรก็ได้ แต่ผมไม่มีเจตนาทวงบุญคุณอะไรเลย ผมรู้ว่าแค่มีเงินหวานหวานก็โตมาแบบนี้ไม่ได้หรอก’
ขณะที่ทบทวนเรื่องข้อตกลงของวานนี้ อังกูรก็ถามต่อเพราะเห็นว่าหญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่
“แล้วผมทำผิดข้อตกลงตรงไหนล่ะ ถึงยังไงสักวันคุณสุหรือคนอื่นๆ ก็ต้องรู้ว่าณิชเป็นใคร ณิชไม่ได้อยากเป็นแม่น้องวินแบบเปิดเผยเหรอ”
เจอคำถามนี้ณิชชาก็ได้แต่อึ้ง แน่นอนเธออยากเป็นแม่ของลูกทั้งสองคนแบบเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
เธออยากเป็นแม่ที่เข้าใกล้ลูกได้ตลอดเวลา สามารถบอกกับทุกคนได้ว่าทั้งหวานหวานและวินเป็นลูกของเธอเอง เป็นคนที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ