หมวยลี่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ที่กำลังเรียกร้องขอให้ลงโทษด้วยแววตาเจ้าเล่ห์อย่างนั้น ในขณะที่เธอไร้หนทางหนี เขากลับโน้มลงมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“รู้สึกยังไงตอนนั่งบดตักของฉัน”
ค่ายกำลังตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าตอนนี้เขาไล่ต้อนกระต่ายตัวน้อยไปถึงไหนแล้ว
“เมื่อคืนลี่เมา”
ฝ่ามือใหญ่วางแนบบนสะโพกบาง ลูบไล้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ฉันชอบเธอในตอนนั้น”
“เราไม่ควรใกล้กันขนาดนี้” มือเล็กยกขึ้นดันแผงอกแกร่งเอาไว้ ต้องการให้เขาหยุดการกระทำที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
“ทำไม”
“เฮียคือลูกชายของคุณท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ควรห้ามความรู้สึกของเธอ…ให้รู้จักเจียมตัวบ้างสิ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น หลังเขาเอ่ยถ้อยคำนั้น “กี่ปีแล้ว? ทำไมถึงยังไม่ยอมตัดใจ”
“มันเรื่องของลี่” คำตอบนั้นอาจฟังดูเหมือนรำคาญ แต่เปล่าเลย ตอนนี้หมวยลี่แทบจะกลั้นหายใจอยู่แล้ว
“ไม่อยากเป็นผู้หญิงของฉันหรือไง”
ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนลมหายใจปะทะกัน แต่แล้วค่ายกลับชะงักกลางคัน เมื่อได้ยินคำพูดของร่างเล็กที่ดังขึ้นมา ในจังหวะที่ริมฝีปากเกือบสัมผัส
“ลี่จะไม่ร้องขอความรักจากใคร เหมือนที่เฮียทำอยู่ตอนนี้”
ไม่ต่างอะไรจากคำที่จี้ลงตรงจุดแผลในใจ ที่เขาพยายามกลบฝังมันให้ลึก และทันทีที่ได้ยิน แววตาคู่คมก็พลันลุกโชนขึ้นด้วยเปลวไฟ
“หุบปากไปซะ”
“ความรักมันเจ็บปวดใช่ไหมล่ะคะ” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเอ่ยคำท้าทาย
“ฉันบอกให้หยุด!!”
สิ้นสุดเสียงตวาด ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าจับลำคอเล็ก ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกดจูบขยี้บนกลีบปากนุ่ม โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ตั้งรับ แรงดึงดูดนั้นรุนแรงและหยาบกร้าน ราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเธอ
จากความโกรธในตอนแรก แต่ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความลุ่มหลงที่ไม่อาจถอดถอน
“อึก~ อื้อ” กำปั้นเล็กทุบรัวลงบนแผงอกแกร่ง พยายามผลักไสสุดแรง แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย แถมยังบดจูบลงมาหนักหน่วงมากขึ้น จนเธอรู้สึกปวดชาไปทั่วริมฝีปาก
“อื้อ~”
เสียงแผ่วเบาคล้ายจะขาดใจที่แว่วออกมา ทำให้ค่ายยอมถอนจูบออก นัยน์ตาคมสะท้อนภาพกลีบปากของเธอที่บวมช้ำ จากแรงดูดดึงร้อนแรงเมื่อครู่
“ฉันให้เวลาเธอครึ่งชั่วโมง รีบไปทำความสะอาดให้เสร็จ” ใบหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วชิดข้างหูของร่างเล็กที่ยืนตัวแข็งทื่อ
“ถ้าช้ากว่านั้น อย่าหวังว่าฉันจะปล่อยให้กลับไป”
หมวยลี่มองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายออกไปจากสายตา ในหัวของเธอมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด
“…ลี่ไม่เข้าใจเฮียเลย” ภายในห้องที่เงียบและเย็นเฉียบ เสียงที่ปะปนไปด้วยความสับสนนั้นแทบถูกกลืนหายไปกับความว่างเปล่ารอบตัว
มันคือสิ่งที่เธอกลัว แต่กลายเป็นสิ่งที่เขาชอบ ค่ายกำลังขังเธอเอาไว้ให้จมอยู่กับความรู้สึกนั้น
หมวยลี่ไล่ความคิดออกไปจากหัวทั้งหมด เธอตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเร่งรีบ เพราะกลัวไม่ทันเวลา
หลังจากจัดการในห้องทำงานเรียบร้อยก็รีบก้มดูนาฬิกาบนจอมือถือ พลางถอนหายใจโล่งอก เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกสิบนาที ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ เตรียมจะนำไปเก็บ
แต่แล้วเรียวขาก็ชะงัก กึก! ทันที เมื่อเห็นห้องโถงที่เพิ่งปัดกวาดก่อนหน้านี้ เต็มไปด้วยของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นอีกครั้ง
เธอรีบกวาดสายตามองหาเจ้าของห้อง ก่อนจะเห็นว่าค่ายกำลังยืนพ่นควันบุหรี่อยู่ด้านนอกระเบียง ไม่รอช้า เรียวขาเล็กรีบจ้ำเดินไปหาด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“แกล้งกันหรอคะ” เธอตะเบ็งเสียงถามด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ถึงจะหวั่นไหวกับเขา แต่การทำแบบนี้ใช่ว่าเธอต้องยอมอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมันไร้เหตุผล
คนที่ยืนสูบบุหรี่ค่อยๆ หันมา ก่อนจะพ่นควันใส่ร่างเล็กตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าแทนที่จะโกรธ สายตาดันสะดุดเข้ากับรอยแผลถลอกจนมีเลือดซึมออกมาบนฝ่ามือ ทำให้ความรู้สึกเป็นห่วงแล่นวาบเข้ามาแทน
“ล…เลือด”
“กลับไป” ค่ายเอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่สนใจแววตาคู่สวยที่กำลังสั่นไหวเพราะความเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย
“กล่องปฐมพยาบาลอยู่ตรงไหนคะ” แม้เขาจะเอ่ยปากไล่ แต่หมวยลี่กลับไม่สนใจ ท่าทีของเธอบอกชัดว่าในตอนนี้กำลังร้อนใจ
“อย่ายุ่ง”
“ถ้าไม่ยอมบอก ลี่จะหาเอง” เธอยื่นคำขาด ทำให้ค่ายต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจ
“ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว ออกไปซะ”
“ทำแผลเสร็จแล้วลี่จะกลับ”
“จำคำพูดของฉันไม่ได้?”
มีวูบหนึ่งที่หัวใจดวงน้อยเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น และเป็นอีกครั้งที่หมวยลี่ไม่ชอบตัวเอง เพราะต่อให้เขาขู่เธอแค่ไหน ก็ยังห่วงเขามากกว่ากลัวอยู่ดี
“หึ!”
ปลายสีเข้มของบุหรี่ถูกนำเข้ามาคาบไว้ในปาก ก่อนเขาจะสูบมันเข้าเต็มแรง จากนั้นก็พ่นควันคลุ้งออกมา แล้วทิ้งบุหรี่ที่เหลืออยู่เกือบครึ่งมวนทิ้งไป ก่อนจะคว้าจับแขนเล็กให้กลับเข้ามาในห้อง
ค่ายนั่งกระแทกลงบนโซฟา ปรายตามองร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า แววตาที่ฉายชัดว่ากำลังเป็นห่วงของเธอนั้น ทำเอาเขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ตรงนั้น ไปหยิบมาสิ”
หมวยลี่รีบพยักหน้า เธอเดินไปตามที่ปลายนิ้วชี้ทันที ค่ายยังคงหยัดยิ้มมุมปาก พลางยกมือขึ้นมาดูรอยแผลที่เขาเป็นคนทำ โดยไม่มีความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด
หลังจากคว้ากล่องอุปกรณ์ทำแผลมาได้ ร่างเล็กก็รีบเดินกลับไปยังโซฟา เธอวางกล่องลง ก่อนเปิดออกและหยิบสำลีกับแอลกอฮอล์ขึ้นมาเตรียมทำแผลทันที
สายตาคมจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้ม เธออาจไม่รู้ตัว ว่าความห่วงใยที่แสดงออกมานั้น กลายเป็นสิ่งที่ทำให้อารมณ์เดือดของเขาค่อยๆ เย็นลง
ขณะกำลังใช้แอลกอฮอล์เช็ดวนรอบแผล หมวยลี่กำลังคิดไปต่างๆ นานา ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรคนเราถึงยอมทำร้ายตัวเองเพราะความรัก เธอไม่อยากให้เขาเจ็บเลย
“เพราะเธอใช่ไหมคะ”
“…….” ค่ายไม่ตอบคำถาม ทำเพียงแค่มองเธออย่างไม่ละสายตาไปไหน
“ลี่ไม่อยากให้เฮียเจ็บปวดเพราะเธอเลย” คำพูดหลุดออกมาจากห้วงความคิด พอรู้ตัว เธอก็รีบงับริมฝีปากแน่น มือที่กำลังใช้สำลีถูวนรอบแผลถึงกับชะงักนิ่งไป
“…ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยฉันสิ” หลังความเงียบเพียงครู่เดียวเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้น พลางใช้นิ้วแตะใต้ปลายคางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกแรงดันให้ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาสบตา “ทำให้ฉันลืมความเจ็บปวด แล้วสนใจแค่เธอ”
หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายคนใกล้ขาดอากาศหายใจ เหมือนกับว่าออกซิเจนภายในห้องกำลังจะหมดลงไปอย่างช้าๆ
“….ลี่ไม่อยากกลายเป็นตัวแทนของใคร”
“แน่นอน เธอไม่สามารถทดแทนได้”
เขาตอกย้ำได้เจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เหมือนเสียงเตือนที่ดึงเธอให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง
คำตอบมันชัดเจน ว่าเขาไม่มีทางเอาเธอไปเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น เหตุผลที่ว่า เธอไม่สามารถกลายเป็นคนที่เขารักได้
มากที่สุดก็เป็นได้แค่ผู้หญิงที่เขาโหยหา…เพียงแค่หลงใหลร่างกาย
“ลี่จะพยายาม”
“หืม?”
“เลิกรู้สึก ลี่จะเลิกรู้สึกแบบนี้” เธอปัดมือเขาออกจากปลายคาง ใบหน้าสวยก้มต่ำลง เลือกจ้องฝ่ามือใหญ่แทนที่จะสบตา จากนั้นก็เริ่มทำแผลต่อ
ความเงียบเข้ามาแทรกแทนสนทนา ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งแววตาเย็นเฉียบ ค่ายกำลังคิดหาวิธีฉุดรั้งความรู้สึกของเธอเอาไว้