แสงแดดยามเช้ารบกวนเวลานอนของร่างเล็กที่กำลังหลับอยู่บนเตียง เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆ เปิดขึ้นรับกับแดดอุ่นๆ ที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง
หมวยลี่รีบดีดตัวขึ้นนั่ง พลางกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนใบหน้าสวยจะเริ่มขึ้นสีแดงเถือกทีละนิด เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในรถเมื่อคืน
‘ลงโทษเฮีย’
‘คนแรกของเธอ….เป็นฉันได้หรือเปล่า’
เธอเมา แต่กลับจำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนที่เขาเข้ามาส่งในห้อง วางลงบนเตียง ภาพเหล่านั้นฉายวนเข้ามาเป็นฉากๆ มือเล็กยกขึ้นมาสัมผัสบนลำคอของตัวเองเบาๆ ก่อนจะรีบลนลานลุกขึ้นจากเตียงไปส่องกระจก
ร่องรอยสีแดงช้ำที่ชัดในสายตา ย้ำเตือนว่าทุกอย่างคือความจริง
เธอกำลังต่อว่าตัวเองในใจว่าทำบ้าอะไรลงไป ถึงยอมให้เขาฝากรอยไว้บนร่างกายแบบนี้ ทั้งที่ความจริงรู้คำตอบลึกๆ ในหัวใจดีอยู่แล้ว แค่เป็นเขา แค่ผู้ชายที่ชื่อค่าย ก็สามารถทำให้เธอยอมได้ทุกอย่าง
ก็อกๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของผู้เป็นแม่
“ลี่ตื่นหรือยังลูก”
ดวงตากลมกวาดมองไปรอบห้องหาบางอย่าง ก่อนจะรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาคลุมต้นคอเอาไว้ เพื่อปิดบังร่องรอย
“ลี่ได้ยินแม่หรือเปล่าลูก”
“ค่า ลี่กำลังจะไปเปิดประตู”
มือเล็กเอื้อมจับลูกบิด ก่อนประตูจะถูกปลดล็อก ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้องนอนของลูกสาว พร้อมกับพูด
“คุณท่านเรียกพบน่ะลูก”
“พบแค่ลี่หรอคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีๆ เร็วเข้า ปล่อยให้ท่านรอนานไม่ดี” หมวยลี่พยักหน้า โชคดีที่ผู้เป็นแม่ไม่นึกสงสัยสิ่งที่เธอกำลังปกปิด
ให้หลังจากแม่ออกไปจากห้องแล้ว หมวยลี่เดินย้อนกลับมาหยุดยืนที่หน้ากระจกสะท้อนอีกครั้ง ทั้งที่ไม่ชอบ แต่พอมองเห็นรอยแดงจากฝีมือของคนที่เธอพยายามหลีกหนี หัวใจดวงน้อยก็พลันสั่นไหวอย่างไม่รักดี
หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเรียบร้อย ร่างเล็กในชุดเสื้อไหมพรมแขนยาวที่ปิดถึงลำคอ ก็ก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ เพื่อพบเจ้าของคฤหาสน์ตามคำเรียก
“ฉันอยากให้หนูคอยดูแลเรื่องอาหารในงานหมั้น พอจะสะดวกหรือเปล่า”
“ได้ค่ะท่าน”
งานหมั้นที่ว่าคือ งานลูกชายคนกลางของตระกูลทรัพย์หิรัญสกุล ที่มีชื่อว่า ‘ล่า’
หมวยลี่เองก็รู้จักกับว่าที่คู่หมั้นของเขาเป็นอย่างดี เธอเป็นคนอัธยาศัยดี นิสัยน่ารัก และยังชอบแวะเอาขนมมาฝากบ่อยครั้ง
“ทำไมถึงแต่งตัวแบบนั้น อากาศอบอ้าวแต่ใส่เสื้อคอเต่า”
ไกรวิชญ์อดเอ่ยถามไถ่ด้วยความแปลกใจไม่ได้ ทว่าแค่เพียงคำนั้นกลับทำให้ร่างเล็กรู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก
ดวงตากลมสั่นไหวเล็กน้อย รีบคิดหาข้ออ้างมารับมือ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของคฤหาสน์ที่ยังนั่งจิบกาแฟอย่างใจเย็น
“คือ….คือลี่ลืมซักผ้าค่ะ เลยเหลือแค่ชุดนี้”
“อืม” แก้วกาแฟในมือถูกวางลงบนโต๊ะอย่างเดิม ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นไปอย่างสุขุมนุ่มลึก แต่ให้อารมณ์น่าเกรงขาม “ลูกชายฉันบอกว่าอยากให้หนูเข้าไปทำความสะอาดที่เพนท์เฮ้าให้ห้าวันต่ออาทิตย์ สะดวกหรือเปล่าล่ะ”
ค่ายใช้วิธีนี้ไล่ต้อน…เพราะรู้ดี
“….ได้ค่ะ”
เธอไม่มีทางขัดคำขอของผู้มีพระคุณ
“หนูคงรู้ว่าลูกชายฉันคนนี้ค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัว ถ้าไม่ใช่คนที่บ้านก็ไม่ยอมให้ใครเข้าไปทำความสะอาด”
“รู้ค่ะ”
ความเจ้าเล่ห์ของค่ายเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอไม่สามารถตั้งรับได้เลยในแต่ละครั้ง
“ลูกชายฉันน่ะ รักผู้หญิงคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้น ช่างน่าสมเพชจริงๆ ใช่ไหม” ไกรวิชญ์แค่นหัวเราะเบาๆ นึกถึงสีหน้าของลูกชายในวันที่มาขอร้องให้ไปสู่ขอผู้หญิงคนนั้น ก็พลันหงุดหงิดเล็กน้อย ลูกชายที่ทั้งเก่งและฉลาดมาตลอด แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับความรักจอมปลอมอย่างน่าเสียดาย
“ไม่เลยค่ะท่าน มันคือความรัก ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วการที่เราจะจมปลักเพราะรักคนคนหนึ่งมากเกินไป ไม่เรียกว่าน่าสมเพช”
เพราะเธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน
“อืม ฉันแค่อยากให้ลูกชายทุกคนได้ภรรยาที่ดี หนูคิดว่าฉันเจ้ากี้เจ้าการเกินไปหรือเปล่า”
“ท่านเป็นพ่อ ฉะนั้นการที่พ่อจะห่วงลูกชายไม่ได้เรียกว่าเจ้ากี้เจ้าการเลยค่ะ”
“หนูอยากเป็นสะใภ้ของทรัพย์หิรัญสกุลหรือเปล่า”
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ ลมหายใจสะดุดขาดช่วงอีกครั้ง แม้จะถูกเจ้าของคฤหาสน์เอ็นดู ราวกับเป็นลูกหลานในตระกูล แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะได้ยินคำถามแบบนี้
สมองหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ในรถเมื่อคืน ทำเอาเหงื่อผุดเต็มฝ่ามือเล็กที่กำแน่นอยู่ในตอนนี้
“…ลี่ไม่กล้าคิดและไม่อาจเอื้อมค่ะ”
“คลื่นลูกชายฉันน่ะ อายุอานามก็ไม่ได้มากไปกว่าหนูเท่าไร”
“พี่คลื่นกับลี่ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยค่ะ”
“เฮ้อ! ฉันเสียดายจริงๆ ถ้าหนูต้องไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น”
“ลี่ต้องไปทำความสะอาดเพนท์เฮ้าส์เฮียวันนี้หรือเปล่าคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก แต่ว่าคำถามที่หลุดออกไปโดยไม่ทันคิดนั้น ไม่ต่างอะไรกับการทำให้ตัวเองหนักใจมากขึ้นกว่าเดิม
“อืม ใช่”
“เฮีย…อยู่หรือเปล่าคะ”
“วันนี้ที่บริษัทมีประชุม”
ได้ยินอย่างนั้นร่างเล็กก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และหากไม่ใช่คำขอของคุณท่าน เธอคงไม่ยอมรับปาก
@เพนท์เฮ้าส์
ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ ทั้งที่เธอเพิ่งมาทำความสะอาดไปเมื่อสองวันก่อน แต่ห้องกลับเต็มไปด้วยข้าวของที่วางกระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง ราวกับไม่ได้ถูกเก็บนานนับอาทิตย์
“จงใจหรือเปล่านะ” เสียงพึมพำเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความสงสัยหลุดรอดออกมา ระหว่างที่เธอกำลังเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด
วันนี้หมวยลี่ค่อนข้างสบายใจที่เจ้าของห้องออกไปทำงาน ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้า เพราะหากต้องเจอกันขึ้นมา เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าแบบไหน กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เขาคงหัวเราะเยาะกับสิ่งที่เธอรู้สึก และคิดว่าเป็นเพียงเรื่องสนุก
ร่างเล็กถอนหายใจออกมา สลัดความคิดที่ถาโถมออกจากหัว ก่อนจะเริ่มลงมือปัดกวาดเช็ดถูไปตามซอกมุมต่างๆ อย่างตั้งใจ กระทั่งเข้าไปทำในห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนอน
ขณะใช้ไม้ขนไก่ปัดไปตามมุมโต๊ะและชั้นหนังสือ สายตาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ถูกวางคว่ำหน้าเอาไว้อย่างไม่ใยดีเท่าไร เพราะครั้งก่อนเธอไม่ทันได้สังเกตจึงไม่เห็นมัน
หมวยลี่พยายามปรามความอยากรู้ของตัวเอง แต่ว่าไม่สามารถหักห้ามได้ และคิดว่าแค่หยิบมาดูแล้ววางเอาไว้ที่เดิมคงไม่เป็นอะไร
แต่มันคือความคิดที่ผิด เพราะกรอบรูปในมือของเธอ คือภาพถ่ายของค่ายและอดีตคนรัก ผู้หญิงที่ยังถูกฝังไว้ในใจของเขา
หมวยลี่กำลังรู้สึกไม่ชอบ เธอไม่ชอบความรู้สึกหน่วงๆ ที่ตีตื้นขึ้นมากลางอกเอาซะเลย หลายครั้งที่พยายามตัดใจ ทั้งที่ไม่เคยผูกพันกันแท้ๆ
เมื่อก่อน แม้แต่การพูดคุยยังแทบนับครั้งได้ เธอได้แต่เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ทำไมการตัดใจจากคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงยากเย็นขนาดนี้กัน
“ทำอะไร”
พรึบ!! กรอบรูปในมือถูกซ่อนไว้ทางด้านหลังในเสี้ยววินาทีที่ร่างเล็กหมุนตัวกลับมาตามเสียงท้วง พบกับเจ้าของเพนท์เฮ้าส์ที่ยืนกอดอกพิงอยู่กับขอบประตู แววตาคมจ้องมองมาด้วยแววที่อ่านไม่ออก
“ทะ…ทำความสะอาดค่ะ”
“รูปที่ซ่อนเอาไว้มันคงสกปรกมากสินะ เธอถึงได้ใช้เวลาทำความสะอาดนานขนาดนั้น”
“……..” หัวใจเต้นถี่รัวเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้น หมวยลี่ก็รู้แบบไม่ต้องเดา ว่าเขาคงยืนมองเธออยู่นานแล้ว
“วางลงสิ ของที่อยู่ในมือ”
หมวยลี่กำลังกลั้นหายใจ ขณะมองร่างสูงที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว อย่างเชื่องช้า ร่างกายพลันสั่นเทาไปด้วยความกลัว ที่เธอเผลอยุ่งกับของชิ้นสำคัญของเขา
ในเมื่อถูกจับได้แล้ว หมวยลี่จึงรีบยื่นกรอบรูปคืนให้เขาด้วยท่าทีประหม่า ทว่าค่ายทำเพียงแค่ก้มลงมอง ก่อนจะตวัดสายตาคมขึ้นมาจ้องใบหน้าของเธออย่างเดิม
เขาทำเหมือนว่าเธอน่าสนใจมากกว่าของชิ้นนั้น
“เธอคิดว่าฉันควรทิ้งลงถังขยะไปซะ หรือเก็บมันเอาไว้ที่เดิม”
“มันคือของของเฮีย จะถามลี่ทำไมคะ”
“ถ้าเกิดว่า…คนที่ชอบยังเก็บภาพแบบนั้นเอาไว้ เธอจะรู้สึกยังไง” ขณะพูด สายตาคู่คมไม่ได้โฟกัสใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ทว่ากลับจ้องรอยแดงจากฝีมือตัวเองที่เด่นชัดอยู่บริเวณลำขอขาว ร่องรอยที่เขาเป็นคนฝากเอาไว้เองอย่างตั้งใจ
ไม่ผิดไปจากที่คิดเลย เพราะนับตั้งแต่ค่ายเริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ เขาก็จงใจเล่นกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าลี่บอกให้ทิ้ง เฮียก็จะทำหรอคะ”
ร่างสูงเดินมาใกล้โดยไม่ยอมตอบคำถาม ขณะที่หมวยลี่ถดถอยจนแผ่นหลังชิดกับชั้นวางหนังสือ เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะเบี่ยงตัวหนี เมื่อเขายกแขนขึ้นมากั้นไว้
“หนีไม่ได้แล้ว” ค่ายก้มมองร่างเล็กที่ถูกขังเอาไว้ระหว่างกลางท่อนแขนทั้งสองข้างของตัวเอง
คำที่เอ่ยราวเสียงกระซิบใกล้หู พร้อมลมหายใจร้อนเป่ากระทบลงมา ทำให้หมวยลี่สะดุ้งเฮือก เธอเอาแต่ก้มหน้าลงไม่ยอมเงยขึ้นไปสบตากับคนที่เอาแต่จับจ้องในระยะใกล้
“ที่เมื่อคืนบอกว่าจะทำโทษ เธอจะทำยังไง?”
หมวยลี่กำลังต่อว่าตัวเองอยู่ในใจ ว่าทำไม ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงขนาดนี้แค่เพียงเขาเข้ามาใกล้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ปะปนกับไอเย็นของบุหรี่ในลมหายใจ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกวาบหวิวทุกครั้งที่สูดเข้าไป
มันทำให้…ปั่นป่วนมวลท้องไปหมด
“…ทำโทษฉันสิ”