Treatise Univ.
@ ห้องชมรมวารสาร “ตัวเองๆ ถ้างั้นตัวแทนคณะนิเทศก็จะขาดคเชนทร์ไปคนนึงถูกมั้ยคะ” เสียงกระซิบกระซาบของสมาชิกชมรมที่สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่พูดกับฉัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องหน้าเสียขนาดนั้น “อื้ม (- -) (_ _) ขอโทษด้วยนะคะ” ถึงจะไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร แต่เพราะเชนมันทำเรื่องน่าอาย ฉันเลยเอ่ยปากขอโทษออกไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของสมาชิกคนนี้และคนอื่นๆ ที่ยืนรอลุ้นคำตอบอยู่ดูดีขึ้นเท่าไหร่ “เอ่อ ค่ะ แหะๆ T^T” แล้วสมาชิกชมรมคนที่คุยกับฉันก็เดินกลับไปซุบซิบกับอีกหลายคนที่ยืนรออยู่หมือนกำลังเกี่ยงกัน ก่อนจะมีตัวแทนคนหนึ่งเดินหน้าซีดๆ ตรงเข้าไปรายงานบางอย่างให้ใครบางคนที่นั่งหันหลังอยู่ที่หัวโต๊ะฟัง แต่นอกเรื่องแป๊บได้ป่ะ..ไอ้หมอนั่นที่นั่งหันหลังอ่ะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เอาจริงนึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วยังโมโหไม่หาย ไอ้การมีสาวๆ รุมล้อมแล้วหว่านเสน่ห์ไปทั่วจนคนอื่นต้องมาเจอเรื่องซังกะตายแบบนั้นคิดว่ามันเท่มากรึไง -.- แต่หันหลังให้ก็ดีเพราะถ้าหันหน้ามาคงได้เขวี้ยงปากกาไปทิ่มตาสักที! “Agenda ของวันนี้วางอยู่ตรงหน้าพวกคุณแล้วครับ” แล้วสักพักน้ำเสียงจริงจังของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานชมรมวารสารที่ฉันไม่เคยคิดอยากร่วมงานด้วยเลยสักครั้งก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณของการเริ่มประชุมหลังจากนั่งรอเวลามาตั้งนาน ฉันเลยหยิบ Agenda ที่เมื่อกี๊อ่านดูคร่าวๆ ไปแล้วบ้างขึ้นมา กะว่าจะทวนใหม่... “แต่ก่อนจะเริ่มประชุม...ตัวแทนคณะนิเทศที่หายไป เพื่อนอีกคนจะรับผิดชอบยังไง?” คำถามเชิงตำหนิดังขึ้นมา ทำให้ตัวแทนแต่ละคณะหันมองหน้ากัน ก่อนที่ทุกสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ฉันอย่างรู้งาน ฉันเลยถอนหายใจเซ็งๆ ตอบกลับไป “คเชนทร์ไม่ค่อยสบะ...” “ได้แจ้งทางคณะหรือแจ้งลาฉุกเฉินมาที่ชมรมก่อนมั้ย?” ฉันยังพูดไม่ทันจบน้ำเสียงเข้มก็ดังแทรกขึ้นมาใหม่ท่ามกลางความเงียบภายในห้องเพราะสมาชิกชมรมเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ส่วนตัวแทนคณะอื่นๆ ก็รับฟังเราโต้ตอบกันอย่างตั้งใจ “มะ...” “รู้มั้ยการไม่เข้า Meeting กับชมรมเราแต่ละครั้ง มีผลบังคับใช้กับการพิจารณาคำร้องต่างๆ ที่คณะคุณส่งคำขอกับทางมหาลัย?” อีกครั้งที่ฉันกำลังจะปริปากพูดออกไป ไอ้บ้านั่นก็ขัดขึ้นมาอย่างจงใจ ฉันเลยปล่อย Agenda ในมือและตวัดสายตาขึ้นไปเผชิญหน้ากับพนักพิงเก้าอี้สีดำของคนที่นั่งหันหลังเอาแต่พูดพร่ำออกมาแบบไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ “พิจารณาตัวเองหน่อยดีมั้ยครับ ว่าขาดความรับผิดชอบแบบนี้ เหมาะสมที่จะทำหน้าที่เพื่อคณะมั้ย?” “.....” “ผมถามหน่อย พวกคุณจะทำงานกับคนอื่นได้ยังไง ถ้าแค่วันแรกก็ไม่มีความเกรงใจให้เพื่อนร่วมงานจากคณะอื่นที่มาด้วยความตั้งใจ?” “.....” น้ำเสียงยียวนชวนให้หัวร้อนดังขึ้นซ้ำๆ โดยที่เจ้าตัวไม่มีทีท่าจะหันกลับมา แถมยังมีหน้าพูดจากระแทกแดกดันคนอื่นต่ออย่างได้ใจ เอาจริงหมอนี่ต้องตั้งสติหน่อยมั้ย? ที่จริง..คนฟังมันควรเป็นไอ้เชนมากกว่าฉันไม่ใช่รึไง?! แต่ไม่เป็นไร..ฉันจะพยายามข่มใจไม่ตอบโต้อะไรก็ได้ ถ้าหมอนี่ยอมหยุด ไม่ดราม่าเกินเรื่องไป ....แต่สุดท้ายก็ไม่หยุดไง! “เพื่อนคุณทำแบบนี้มันดูไม่ให้เกียรติกันไปหน่อยมั้ย? ใช่ว่าเรานัดกะทันหันเช้านี้ซะเมื่อไหร่ แล้วตามระเบียบการทำงานกับชมรมวารสาร ทางคณะเค้าไม่ได้แจ้งพวกคุณรึไงว่า....” “คำตอบนี่ยังจำเป็นมั้ย?!” เพราะยิ่งนานหมอนี่ยิ่งบ่นอะไรงุ้งงิ้งคนเดียวเหมือนเชนมันไปฆ่าใครตาย ฉันหนวกหูเลยโพล่งออกไปแล้วมันก็หยุดเสียงน่ารำคาญนั่นได้ในเสี้ยวนาที “......” “ถามรัวขนาดนี้มีญาติฝ่ายไหนเป็นปืนกลรึไง?” คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายตั้งคำถามยียวนกลับไปจนสมาชิกชมรมวารสารเลิ่กลั่ก ส่งซิกส์มาห้ามปรามกันใหญ่ ส่วนคนที่โดนฉันตอกกลับไปก็เงียบเป็นเป่าสาก นี่ไง...ไม่พูดมากก็ไม่เห็นตาย แล้วจะเล่นใหญ่ทำไมไม่เข้าใจ?! ครืดดดด! แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ฉันพูดจบไป เก้าอี้ตัวใหญ่ที่เคยหันหลังให้ก็หมุนตัวกลับมาอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับประกาศกร้าวเสียงดังอย่างไม่พอใจ “Attendee ไม่ครบ เลื่อน Meeting ไป! เราเตรียมงานสำคัญของมหาลัย ผมไม่อยากได้คนไร้วินัย นี่ไม่ใช่! .....สนาม...เด็กเล่น” น้ำเสียงฉุนเฉียวลดเลเวลลงทันทีที่หันมาเผชิญหน้ากับฉัน ก่อนที่แววตาในตอนแรกที่เหมือนกำลังโมโหกันจะเริ่มมีความยียวนกวนโอ๊ยปนมาในนั้นซึ่งมัน...น่ารำคาญฉิบ! “หน้าที่รับผิดชอบของตัวแทนคณะนิเทศอยู่วาระที่ 5 ง่ายกว่าการดราม่าก็แค่ใส่ in charge ลงไปซะ!” ฟรึ่บบบ! ยิ่งเห็นแววตาที่ดูน่าหงุดหงิดนั่น ฉันก็สวนกลับไปบ้างและใช้มือปัด Agenda หน้าที่เพิ่งใช้ Marker เน้นส่วนที่รับผิดชอบของตัวเองไว้ส่งไปให้หมอนั่น! แล้วการกระทำของฉันก็ทำให้สมาชิกชมรมวารสารฮือฮา ลุกขึ้นมาคว้าแขนฉันไว้อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย “ตัวเองใจเย็นๆนะคะ” “รุ่นพี่ใจเย็นก่อนนะคะ คือ...” ตึงงงงง! เฮือก O_O! จังหวะที่สมาชิกในชมรมกำลังห้ามฉันที่เริ่มจะหัวร้อนพร้อมไฟท์เหมือนกัน ไอ้ประธานชมรมบ้าอำนาจอะไรนั่นก็ออกแรงทุบโต๊ะแล้วลุกพรวด โพล่งขึ้นมาเสียงดังจนคนรอบข้างตกใจกันไปใหญ่ “บอกว่าเลื่อนประชุมไง! ทุกคนกลับได้! ยกเว้น....” แกร๊กกก! ฟรึ่บบบ! สิ้นสุดคำพูดนั้นไอ้บ้าเลโอก็หันมายักคิ้วและคว้าปากกาตรงหน้าปามาที่ฉัน ฉันเลยเอื้อมมือไปรับมันและง้างมือจะปากลับไป แต่สมาชิกชมรมก็เข้ามาคว้าแขนเอาไว้อย่างไว ไม่รู้จะกลัวอะไรกันนัก! แล้วสายตาที่ฉุนเฉียวของคนที่เอ่ยปากไล่ก็ทำให้ทุกคนเก็บข้าวของเดินลิ่วๆ ออกไปตามๆ กัน เหลือแค่ฉันที่จ้องเขม็งไปที่หมอนั่นอย่างไม่พอใจมากแล้วเหมือนกัน วันนี้มันจะมีคนปาของใส่ฉันทั้งวันเลยหรอฮะ คนป่ะวะไม่ใช่เป้านิ่ง เก่งนักไม่ไปปาโป่งงานวัดกันล่ะฮะ -.- “หึ...” หลังจากทุกคนเดินพ้นไป แว๊บนึงฉันเห็นใบหน้ากวนประสาทนั่นกระตุกยิ้มเยาะออกมาเหมือนพอใจอะไรอย่างไม่ปิดบัง แล้วสักพักก็ทำเป็นตีหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้ สงสัยสติไม่ดีมั้ง! “ข้องใจไรก็ว่ามา” ฉันเอ่ยปากถามไปอย่างท้าทาย แต่คำตอบและท่าทางที่ได้คือสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปเหมือนคนเป็นไบโพล่าร์รักษาไม่หายของหมอนี่แทน “ดุจัง เกรี้ยวกราดทุกวันคงเหนื่อยแย่เลยมั้ง” ไอ้เด็กบ้านั่นลอยหน้าลอยตาพูดออกมาขำๆ ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ ไอ้ความเกรี้ยวกราดทุบโต๊ะปึงปังคือหายไปพร้อมกันกับจำนวนคนในห้องนี้ซะงั้น แกร๊ก! “ไม่ขำ” ฉันตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับทิ้งปากกาที่หมอนั่นปามาลงบนโต๊ะแล้วโยนของที่จำเป็นใส่กระเป๋าลวกๆ กำลังจะลุกขึ้นเพราะขี้เกียจจะฟัง แต่น้ำเสียงยียวนนั่นก็ดังขึ้นลอยๆ เหมือนตั้งใจป่วนกัน “เฮ่อ สงสัยจัง..ว่าขนาดวันแรกยังไร้ความรับผิดชอบได้ ต่อไปผลงานที่ตัวแทนคณะนิเทศทำให้ชมรมวารสารมันก็คง...จะไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง” พูดไปหมอนั่นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวโต๊ะ เดินล้วงกระเป๋าชิลๆ ก้าวขาเข้ามาใกล้ฉันที่นั่งห่างกันพอประมาณ พรึ่บ! แล้วอยู่ๆ หมอนี่ก็โดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะประชุมตัวใหญ่ แถมยังเอียงคอมองมาทำตาปริบๆ เหมือนตัวเองน่ารักตาย! “เรื่องเยอะก็ไปหาคนใหม่” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่ และคิดว่าถ้าเดินพ้นจากห้องนี้จะไปถอนตัวให้อาจารย์หาคนใหม่ ก่อนจะเอื้อมมือกำลังจะคว้ากระเป๋าแต่ก็โดนหมอนี่ที่ไวกว่ามาเอามันไป แถมยังโน้มตัวลงมาใกล้ด้วยหน้าตาสะใจได้อีก “คนใหม่? ตัวเองเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ย :) ” “.....” คำพูดนั้นทำให้ฉันจ้องไปด้วยความหมั่นไส้ปนสงสัย ตัวเองเนี่ยนะ? เป็นสรรพนามปีนเกลียวที่น่าตบให้ตกโต๊ะสักที ติณณ์มันไม่เคยสั่งสอนเพื่อนมันเลยรึไง .....ส่วนที่ว่าเข้าใจผิดไป? “ชมรมวารสารเข้าแล้วออกไม่ได้...นอกจากจะโดนไล่ออกไปเท่านั้นนะครับ :) ” “ฝัน! ไม่มีเงื่อนไขนี้ในข้อตกลงด้วยซ้ำ” ได้ฟังแบบนั้นฉันก็สวนกลับไปทันควัน แต่พอฉันพูดจบ มือหนาของเลโอก็โยนบางอย่างในมือที่หน้าปกโชว์หราว่ามันคือระเบียบการของชมรมวารสารลงตรงหน้า ก่อนจะส่งสายตาเหมือนท้าให้ฉันเปิดอ่านมันดูก็ได้ ฉันเลยรับระเบียบการเล่มนั้นมาเปิดดูอย่างไม่เข้าใจเหมือนกันว่าถ้ามันจะมัดมือชกกันขนาดนั้น ทำไมอาจารย์ที่คณะถึงไม่บอกกันสักคำ “เอาล่ะ จะทำยังไงดีน้า~ แล้วปากกาที่เซ็นอนุมัติให้สมาชิกชมรมหลุดพ้นจากพันธนาการได้ ก็มีแค่ด้ามนี้ด้ามเดียวด้วย” พรึ่บ! หวืดดด! พูดจบไอ้บ้านั่นก็คว้าปากกาที่โยนมาผ่านหน้าฉันไป ฉันเองพอคิดได้ก็คว้ามันไว้ไม่ทันแล้วไง “อุ๊ย! รู้ได้ไงอ่ะ ใจหายหมดเลยเกือบเอาไปได้ ฟู่ววว” แล้วฉันก็ต้องถอนหายใจครั้งที่ร้อยเห็นจะได้ พอคนตรงหน้าทำท่าง้องแง้ง เหมือนกำลังปลอบใจตัวเองว่าขวัญเอ๊ยขวัญมาอะไรทำนองนั้น เฮ่อออ ใครก็ได้บอกที ไอ้เด็กนี่...โตแล้วถูกมั้ย -_-? “ปัญญาอ่อนชิบ!” ฉันส่งเสียงตำหนิออกไปแต่นั่นยิ่งทำให้หมอนี่ได้ใจส่งยิ้มออกมายกใหญ่ “โว้ว~ อารมณ์ร้ายเสมอต้นเสมอปลาย น่ารัก โดนใจเค้ามากเลยอ่ะรู้ตัวมั้ย ^_^” พูดจบหมอนี่ก็ทำท่ามินิฮาร์ทส่งมาให้ จิ๊! น่ารักโดนใจก็มา -.- ไม่เป็นไร เอาไว้ไปลงที่ติณณ์หรือไอ้เวย์ก็ได้ อย่าลงไม้ลงมือกับเด็กมันเลย เดี๋ยวร้องไห้แล้วจะปลอบยาก! “ยู้ฮูววว เค้าชมตัวเองอยู่นะได้ยินป๊าววว >.<” แล้วไอ้เด็กยักษ์ตัวใหญ่อย่างกับ....ก็ทำเป็นโบกไม้โบกมือผ่านหน้าฉันไป หมอนี่เป็นบ้าอะไรฟะ แล้วเหตุการณ์เมื่อกี้นี้อ่ะ ก็คือลืมไปละ...? “เฟรย่าใช่ป่ะ เค้าชื่อเลโอนะ” “.....” เสียงเจื้อยแจ้วยังคงดังขึ้นแบบสลับขั้วกับความเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้จนน่าขนลุก -.- แต่ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเพราะกำลังไล่ดูไอ้ข้อตกลงที่ออกจากชมรมนี้ไม่ได้อยู่ว่ามันจริงมั้ย ซึ่งไอ้ระเบียบการที่เล่มหนาเบ้อเร่อแบบนี้ ชาติไหนจะหาเจอเหอะ ตาลายไปสิ =_=! “โหลๆ เลโอ Nightshade เรียกเฟรย่าเด็กนิเทศ อยากออกจากชมรมเค้าขนาดนั้นเลยจริงป่ะ ทำไมต้องเครียดขนาดนี้ด้วยอ่ะ” “เคยรำคาญตัวเองมั่งป่ะ?” ฉันพูดลอยๆ ออกไปเพราะ...จะพูดไง? หนวกหูอ่ะเคยเป็นมั้ย?! ได้ยินแบบนั้นคนตรงหน้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนฟังคำพูดของฉันแล้วดี๊ด๊าเข้าไปใหญ่ “ก็ไม่นะ คงเป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่ทำอะไรใครๆ ก็ส่งยิ้มหวานให้ ยกเว้น...อุ๊ย ไม่มีไร ไม่พูดดีกว่า ^_^” ...ฮะ? เอาใหม่ โทรตามโดเรม่อน ขอไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปไฟท์กันใหม่ -_- ฉันทำหน้าเอือมๆ กับความติงต๊องของหมอนี่ตอบกลับไป ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาหาข้อตกลงบ้าๆ นั่นต่ออย่างไม่สนใจ แล้วสักพักเลโอก็มีท่าทางที่เคร่งขรึมดูจริงจังขึ้นมาใหม่ ปรับโหมดอารมณ์ให้ดูนิ่งไปกว่าเดิมเยอะอยู่ “ขอโทษที่หัวร้อนใส่” “......” ฉันละสายตาจากระเบียบการมองไป อ่ะให้ทาย หมอนี่จะมาไม้ไหนอีก? คือถ้าติดตลกมาตีมึนใส่นี่จะให้ติณณ์มันยกพวกกระทืบไปละนะ คนอะไรฟะท่าทางเหมือนป่วยจิต -.- “ผมแค่อยากรู้ว่าตัวแทนคณะนิเทศจะรับผิดชอบการกระทำของเพื่อนร่วมงานยังไง มันเป็นสกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สมาชิกชมรมทุกคนควรมี” น้ำเสียงที่ดูเอาการเอางานพูดออกมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมาพูดทำไม มีใครถามไปตอนไหนรึไง ไอ้ที่เป็นอยู่นี่รู้สึกผิดหรืออะไร? แต่ฉันก็ฟังสิ่งที่หมอนี่พูดเงียบๆ ไม่ได้ออกความเห็นแต่อย่างใด แล้วหมอนี่ก็พูดต่อ “ว่ากันตามจริง นี่คือเหตุผลที่เราต้องขอตัวแทนสองคนจากทุกคณะเพราะถ้าคนนึงไม่อยู่อีกคนจะได้รับผิดชอบแทนได้” “ก็เลยดราม่า ถูกละ ดีมาก ต้องปรบมือให้ป่ะ?” ไม่รู้ทำไม..ก็ไม่สนิทอะไรแต่หมอนี่น่าหมั่นไส้จนฉันหลุดปากพูดจากวนๆ ออกไป “แต่เอ๊ะ หรือว่าคณะนิเทศเค้าไม่ได้สอนเรื่องความรับผิดชอบกับการทำงานเป็นทีมให้” “จะพาดพิงคณะทำไม -.-” พอฉันเล่นด้วยเข้าหน่อย เด็กนี่ก็เริ่มจะง้องแง้งลามปามไปทั่วจนต้องกัดฟันส่งเสียงเบรคไป เหอะ! ทำใจ..คนมันไม่สบาย แล้วร่างสูงที่นั่งอยู่บนโต๊ะก็อมยิ้มขำๆ แล้วใช้มือเท้าโต๊ะจากข้างหลังแถมยังแกว่งขาไปมาอย่างสบายๆ ก็คือจะเตะหน้าเลยมั้ย? พิเรนทร์อะไรขึ้นไปนั่งบนนั้น -.- “ถ้าจะวัดกันที่สกิล ก็วัดด้วยไอ้นี่มั้ย” ฟังจากที่หมอนี่พูดแล้ว ฉันเลยชี้นิ้วไปที่กระเป๋ากล้องของตัวเองที่วางอยู่อย่างยื่นข้อเสนอให้ สกิลแก้ปัญหาจากการกระทำของเชน ถ้าจะวัดก็ต้องวัดจากตัวตนของเราไง เพราะตัวแทนคณะนิเทศมาเพื่อสิ่งนี้ จะให้ไปหาคำตอบ 20 คำถามที่ร่ายมาเหมือนเมื่อ 15 นาทีที่แล้วก็ดูจะไม่เป็นเราเท่าไหร่ แล้วร่างสูงบนโต๊ะก็มองมาอย่างเข้าใจความหมาย “มั่นใจดี แบบนี้สินะทางคณะถึงกล้ารับข้อเสนอจากมหาลัย :) ” “ความผิดคเชนทร์จะไม่มีผลต่อคำร้องที่คณะขอไป” ฉันบอกความต้องการออกไปอย่างตรงไปตรงมา คนตรงหน้าก็กระตุกยิ้มมุมปากส่งมาให้ “แต่ถ้าทำไม่ได้ข้อตกลงที่มีกับมหาลัย...” “ว่าเงื่อนไขของนายมา” เพราะรู้ว่าหมอนี่จะพูดอะไร ฉันเลยตัดบทไปอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลา อีกอย่างวันนี้เป็นวันฟรีสไตล์ เพราะชมรมวารสารทำเรื่องลาให้ทั้งวันเลยไง ฉันเลยว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร “โอ๊ะ! เค้าคิดก่อนนะ” เลโอทำหน้าตื่นตัวอย่างใช้ความคิด แค่ท่าโอ๊ะนี่ก็รู้สึกอยากถีบให้ตกโต๊ะไปไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ก่อนที่หมอนี่จะค่อยๆ พูดในสิ่งที่คิดออกมาอย่างตั้งใจ “อืม.. งั้น Deadline คือเปิดเทอม ตัวเองจะถ่ายมากี่รูปก็ได้” “ไอ้คำว่า ‘ตัวเอง’ ควรเลิกใช้” ฉันพูดขัดออกไป แล้วหมอนี่ก็ทำหน้าทะเล้นใส่ แถมยังเอามือปิดปากตัวเองไว้แล้วทำตาโตออกมายกใหญ่ จิ๊! “ต่อดิ๊” ว่าก็ว่าเหอะ..สิ่งเดียวที่ฉันเรียนรู้จากการใช้เวลากับหมอนี่ร่วม 30 นาที คือเรื่องบางเรื่องไม่ควรพูดด้วยให้เปลืองน้ำลาย และไม่ควรเสวนาด้วยมากไปถ้าไม่อยากโดนจับข้อหาฆ่าคนตาย =_= “ก็...ตัวเองจะถ่ายมากี่รูปก็ได้ แต่เงื่อนไขข้อเดียวที่ต้องทำให้ได้ คือ Love point ที่สูงที่สุดของรูปที่มีจะต้องไม่น้อยกว่า Love point จากรูปล่าสุดที่ Nightshade ทุกคนได้” งานยาก... คือคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ พอเห็นท่าทางของฉันที่นิ่งไป ไอ้เด็กนี่ก็เอียงคอทำตาปริบๆ พูดออกมาเหมือนสะใจนำไปก่อนแล้วยังไงอย่างงั้น “อีกตั้งสองอาทิตย์นานจะตาย ถึงตอนนั้น...หวังว่าจะไม่ถอดใจไปซะก่อนนะฮะ” พรึ่บบบ! ฉันรับฟังแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร แล้วลุกขึ้นคว้ากระเป๋ารวมถึงไอ้ระเบียบการที่ถืออยู่ในมือแล้วพูดออกไป “ยืม” “ได้ครับตามสบาย” สีหน้ากวนโอ๊ยโดยไม่ต้องพยายามอะไรถูกส่งมาให้ ก่อนที่ฉันจะก้าวขาเดินออกจากห้องชมรมมาแบบเบลอๆ นึกไม่ออกว่าไอ้รูปที่จะทำลายทุกสถิติของ Nightshade ได้มันควรจะเริ่มจากตรงไหน ครืดดดด! แต่พอก้าวขาพ้นประตูมาได้ไม่เท่าไหร่ หน้าต่างบานกระจกของห้องชมรมก็ถูกเลื่อนให้เปิดออกจากคนข้างใน พร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วตามสไตล์ที่ฟังยังไงก็หนวกหูไม่หายเลย “เอ้อ โทษฮะลืมบอกไป ไอ้นั่นอ่ะหายากใช่มั้ย?” นิ้วเรียวยาวถูกชี้มาที่ระเบียบการเล่มใหญ่ หมายถึงไอ้ข้อตกลงบ้าๆ นั่นงั้นใช่มั้ย “.....” ฉันหยุดฟังเงียบๆ ไม่ตอบอะไร ผิดกับหมอนั่นที่ยิ่งเห็นฉันนิ่งก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่ “คือ... พอดีมันถูกเขียนไว้...” เลโอ Nightshade ยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนจะหลุดขำอยู่รอมร่อก่อนจะตะโกนกลับมาใหม่ ซึ่งไอ้ประโยคสุดท้ายทำให้ระเบียบการเล่มใหญ่ในมือฉันถูกเขวี้ยงออกไปในจังหวะเดียวกันกับที่หน้าต่างบานเลื่อนถูกเลื่อนปิดจากข้างใน พร้อมกับสีหน้าที่ดูสะใจของหมอนั่นจนฉันกัดฟันกรอด เกิดอยากฆ่าคนขึ้นมาเลยเหอะ ให้ตาย! “พอดีมันถูกเขียนไว้... .....ด้วยหมึกล่องหนน่ะครับ ^_^”“คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ DS Member ทุกคนก็ดูสับสนพอกัน ถ้าเรียกตัวคืนสู่สังกัด แปลว่ามาโครอยู่สังกัดของเรา? แต่จะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อแม็ค...“ว่ากันว่า...ถ้าจะหลอกศัตรูให้ตายใจ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อน”คิระเดินตรงเข้ามาหาฉัน และมองลงไปที่กลางสนามประลอง เห็นแม็คกับเลย์ยืนอยู่ข้างล่างท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีใครพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นกับติณณ์และท่านพ่อ ก็ยังหันมาดูปฏิกิริยาของฉันด้วยซ้ำพรึ่บ! หมับ!ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ก้าวขาจะเดินลงไปข้างล่าง แต่คินมันดันมาคว้าแขนไว้ และกระชากกลับไปอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ติณณ์“ครั้งนี้ไม่เอาตัวแถม ถ้าพวกมันรักเธอ...พวกมันก็มีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”แล้วพอคินพูดจบ อยู่ๆติณณ์ก็โยนดาบคาตานะสองเล่มให้แม็คกับเลย์ที่ก็ยื่นมือไปรับมัน นั่นทำให้ฉันวิตกขึ้นมา เพราะแม็คน่ะ...ใช้ดาบคาตานะคล่องมากอยู่ละ แต่เลย์กับดาบคาตานะน่ะ...“ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เห็นต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น”“สำนักเดียวกัน?” ฉันหันไปหาคินด้วยสีหน้างงๆ“ก็ใครสอนไอ้แม็ค? ใครประทับตราให้มัน?”คิระตอบกลับคำถามขอ
สองวันต่อมา...@ Dark Shadow Castle (JAPAN)“โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O”เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง“หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า”“แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-”“อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ”“เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล”อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก“ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ”โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมดแล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้า
หลายวันต่อมา...@ Dark Shadow Castleหลังผ่านการพิพากษาคิระ ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี เพียงแต่...ไอ้สองพี่น้องขี้เก๊กนั่นมันก็ยังไม่ยอมเปิดใจคุยกันตรงๆสักทีก็...แล้วแต่นะ การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้วนี่อ้อ...ลืมบอกไปนิด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันนี่แหละ ที่เป็นคนประทับตรา Dark Shadow ให้โมเน่ต์ตามคำขอของติณณ์ ซึ่งเราก็ไม่เห็นหน้ากันตรงๆหรอกนะ ฉันเข้าไปประทับให้ตอนที่เธอหันหลัง เพราะยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และอย่างที่รู้... โมเน่ต์กับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันหรอกตั้งแต่ที่ชมรมละแต่ไม่รู้ไปประทับอะไรผิดพลาดรึเปล่า เพราะอยู่ๆโมเน่ต์ก็ขอให้ติณณ์พามาที่ Castle ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่นตลอด Nightshade เองก็แวะเวียนมาที่นี่แทบทุกวัน จนตอนนี้กลายเป็น Ztudio Nightshade นั่นแหละที่ร้าง ในขณะที่ Castle ฝั่งติณณ์...ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!เสียงลั่นไกในห้องซ้อมยิงปืนจาก CCTV ที่เคนชินมันต่อเข้ามานั่งดูในห้องโถงของ Castle ฝั่งฉัน ดังสนั่นแบบที่ไอ้หมอนี่ไม่เห็นหัวเจ้าของ Castle ที่นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่นี่เลยด้วยซ้ำ -_-แถมลูกน้องของฉันอีกหลายคนก็กำลังสุมหัว รอลุ้นวิถีกระสุนของโมเน่ต์
อีกด้านหนึ่งของ Dark Shadow Castleก๊อก ก๊อก ก๊อก...ฉันเคาะประตูห้องทำงานของติณณ์ที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ และถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในซึ่งก็มีติณณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาก็เป็นอย่างที่คาดไว้หมอนี่...กำลังเสียใจก่อนที่ฉันจะยื่นอัลบั้มรูปในมือที่ตอนไปค้นรูปคิระให้ลิซ บังเอิญไปเจออัลบั้มที่มีรูปติณณ์กับคินถ่ายด้วยกันสมัยเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่าหมอนี่อยากได้มั้ย...แต่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ ฉัน...อยากให้“ไม่ฆ่ามันก็บุญเท่าไหร่”พรึ่บ!ติณณ์พูดออกมาเสียงเรียบ แล้วเลย์ที่มาด้วยกันก็วางเอกสารทั้งหมดที่ฉันได้จากเคนชินเรื่องสภาค้ายาลงบนโต๊ะแบบไม่พูดอะไรแต่ความเป็น Nightshade มันบอกชัด ว่าเลย์ก็ไม่ได้สบายใจที่ติณณ์มันอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่...จุกแต่พูดอะไรไมได้“หลายอย่างน้องมันอาจตั้งใจ แต่บางการกระทำก็มีเหตุผลให้เป็นไป”ฉันพูดออกไป แล้วพอได้ฟังแบบนั้นติณณ์มันก็มองมานิ่งๆ และไม่มีทีท่าจะเปิดดูทั้งอัลบั้มรูปและเอกสารที่พวกฉันหอบมาให้สักนิด ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของหมอนี่อยู่แล้วแหละ ที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้“เข้าด้วยมั้ย?”คำถามคลุมเครือจากติณณ์ถูกส่งมา ด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังหาที่พึ่ง
หลายชั่วโมงต่อมา...“ยุติสถานการณ์บนเกาะพร้อมเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับนายหญิง”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของฉันมารายงานผลด้วยการกระซิบเบาๆเล่นเอาโล่งใจไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลิซที่กำลังนั่งดูรูปคิระที่หน้าบูดตั้งแต่เด็กอยู่คนเดียว“คิกๆๆ ตาลุงคนนี้นี่หน้าตาโกตั๊กจังเลยนะคะเนี่ย ^_^”“แล้วสองคนนั้น?”ฉันถามออกไปเบาๆ เพราะเท่าที่ดูเหมือนลิซไม่รู้ว่าคิระเป็นใครด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบโดนคนของสภาเอาตัวไป แต่ไม่รู้คินมันหลอกน้องหรือความไร้เดียงสาทำให้ลิซคิดว่าฉันรวยมากเลยจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่ -.-ส่วนเหตุผลที่มาที่นี่ก็พีคกว่าไง น้องมันโดนไอ้คินชวนมาล่าท้าผี เป่าหูลิซว่าที่นี่คือปราสาทร้อยปี แถมยังมีขนนกนำโชคที่จะทำให้พบรักแท้ซะด้วย หึหึ... เป็นประวัติ Castle ที่ช่าง...น่าสนใจ =_=^“คุณเตโชกับคุณคิระบาดเจ็บนิดหน่อย แต่โดยรวมปลอดภัยดีครับ Nightshade กับ Nightshade’s Lady ก็กลับมาที่นี่แล้ว อ้อ ส่วนคุณเลโอก็สบายมากหายห่วง ลูกพี่เคนชินขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วจะกลับมาทำหน้าที่ต่อครับ ^_^”น้ำเสียงกับสีหน้าระรื่นของลูกน้องที่มารายงานถูกส่งมาให้ฉันแบบสวมรอยเคนชินมาชัดๆ หึ... ไอ้ล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...“คนของเราวางบอมบ์ได้ 60% จากพื้นที่ทั้งหมดแล้วครับ พิกัดแรกเราจะระเบิดคลังยาที่…”“คุณโมเน่ต์อาการไม่ดีเลยครับนายหญิง”ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจสัญญาณที่คนของเราให้มาเป็นระยะว่าจะระเบิดคลังยานรกแต่ละที่ตอนไหน เคนชินที่หันไปเห็นโมเน่ต์จากภาพใน CCTV ที่เราเลิกสนใจตั้งแต่ติณณ์เดินออกไปก็พูดขึ้นมาได้ฟังแบบนั้นฉันเลยละความสนใจและหันไปดูโมเน่ต์ที่เดินวนไปวนมาโดยมีมือถือเครื่องหนึ่งแนบหู ซึ่งก็คงพยายามโทรหาติณณ์ที่ชิ่งออกไปแบบให้คำตอบคลุมเครือนั่นแหละนะถ้าให้ทาย“คนของเราอยู่ในนั้นแล้วใช่มั้ย?”“ครับ แฝงตัวเข้าไปตอนรายงานพิกัด”“งั้นก็ไม่มีไรต้องกังวลนี่”แล้วจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปดูพิกัดวางระเบิดหลังคุยเรื่องโมเน่ต์กับเคนชิน เสียงคนของเราที่ Castle ฝั่งติณณ์ก็ตะโกนเรียกออกมาดังลั่น‘นายหญิงครับ นายหญิง!!!’ “ว่า?”“คุณโมเน่ต์อยู่ๆก็หมดสติไปครับ”ตึงงงง!ได้ยินคำตอบจากเคนชินที่ตอบแทนลูกน้องที่อยู่ข้างใน ทำให้ฉันรีบผลักประตูและวิ่งข้ามทางเชื่อมตรงไปที่ Castle ฝั่งติณณ์ทันที“เคนชินเรียกรถพยาบาล! โมเน่ต์เป็นอะไร?”ฉันหันไปถามลูกน้องติณณ์ที่กำลังอุ้มร่างโมเน่ต์ที่ไร้ส