เช้าวันต่อมา...
Rrrrrrrrrrrr~ เชนไงคนที่หล่อจะตาย เดินผ่านหมาหมายังอาย เหยียบขี้กูไมงงจัง? “Shit -_-!” ฉันหลุดปากออกไปจนใครอีกคนที่กำลังร่วมโต๊ะอาหารถึงกับละสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์มาเหลือบตามอง เมื่อไหร่เชนกับไอ้แก๊งค์สามตัวบาทมันจะเลิกเอามือถือคนอื่นไปเปลี่ยนชื่อตัวเองยาวเหยียดแบบนี้สักทีฟะ แล้วฉันก็ไปบ้าตามมัน ทนอ่านจนจบก่อนกดรับเพื่อ =_=? “ห้ามเลท! ห้ามตาย!” เพราะรู้ว่าเชนมันจะเนียนไม่เข้าประชุมกับชมรมวารสารบ้าบออะไรนั่นแน่ๆ ฉันเลยกรอกเสียงแทนคำทักทายดักออกไป แต่มันสนที่ไหน -.- “งั้นไม่สบายได้ช้ะ อากาศมันเปลี่ยนว่ะ อยากไอ แค่กๆๆ” “สำออย ไม่มาเลิกคบ” ถึงจะพูดไปงั้น แต่คนอย่างมันลองได้คิดว่าวันนี้จะไม่มา ต่อให้ฉันอยู่ในชุดนักศึกษามันก็ยังนอนอืดอยู่ในกองผ้านวมหนาๆ นั่นอยู่ดี “เลิกคบไร ถ้าไม่มีกูมึงไม่มีใครละนะ แค่นี้แหละง่วง” ตู๊ดๆๆๆ เชนมันพล่ามออกมายาวเหยียดแล้วตัดสายไปดื้อๆ ให้ตาย! หาเรื่องให้แล้วเนียนหนีเอาตัวรอดคนเดียวแบบนี้ อย่าให้เจอจะตบสักที! จิ๊! ตึงงงง! “ไม่มีมารยาท” “บอกตัวเองรึไง?!” น้ำเสียงยียวนของคนตรงหน้าดังขึ้นมาทันทีที่ฉันโมโหโยนมือถือลงบนโต๊ะอาหารอย่างเซ็งๆ ฉันเลยสวนกลับไป แหม...พ่อคนดีเดินข้ามฟากจากตึกตัวเองมาฝากท้องที่นี่ มีมารยาทตาย! “กำหนดการอยู่ไหน?” นั่นไง..ว่าแล้วเชียว ใครมันจะลงทุนเดินกินลมชมวิวข้ามตึกคนละฝั่งมาโดยไม่หวังอะไร โดยเฉพาะไอ้บ้านี่ที่ไม่เคยสิงอยู่แถวนี้ถ้าไม่มีธุระสำคัญ “ไม่รู้ เพราะไม่ไป” ฉันตอบกวนๆ กลับไปแม้จะรู้ดีว่ากำหนดการที่ถูกพูดถึงเป็นข้อบังคับที่เราต่อรองไม่ได้ ใช่..ต่อรองไม่ได้ ด้วยสถานะที่ฉันบังเอิญเข้าไปเกี่ยวพันตั้งแต่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่ไง เอาจริงถ้าจะให้พูดถึง background ของตัวเองก็ไม่รู้จะให้ค่าความสวยงามกับทางเดินที่ถูกโปรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบนี้สักเท่าไหร่... เพราะเท่าที่จำความได้ ‘Dark Shadow Castle’ คือที่อยู่ที่เป็นทางการที่สุดของฉันไง หรือถ้าจะให้ใช้คำเรียกเท่ๆ แบบละครไทยมันคือ ศูนย์บัญชาการของแก๊งค์มาเฟีย Dark Shadow ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ให้ความสนใจ แต่สำหรับผู้ที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์มากมาย ไม่มีใครไม่รู้จักหรือกล้าก้าวล้ำเส้น แทรกแซงทุกอย่างที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น Member ของ ‘Dark Shadow’ เลยสักคน เพราะแบบนี้ Dark Shadow ถึงมีเครือข่ายขนาดใหญ่จากมือของคนในครอบครัวเดียวกันที่ร่วมกันสร้าง แต่ในขณะเดียวกันก็ร่วมกันทำลาย! อย่างว่าแหละนะ..ผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร และการทุจริต คอร์รัปชันมากมายก็เป็นเรื่องที่อธิบายยาก เพราะมันเกิดขึ้นภายใต้กฎที่ควบคุมเราไว้แบบไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ ซึ่งคนตรงหน้าฉันก็เข้าใจมันดี และถึงแม้ Dark Shadow จะเต็มไปด้วยสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสายเลือดเดียวกัน ....แต่ฉันไม่ใช่หนึ่งในนั้น! ด้วยความสัตย์จริง และขอย้ำอีกครั้ง..ว่าฉันไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับทุกคนในนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากไล่ลำดับความสัมพันธ์กันอีกที ฉันก็มีสิทธิ์เทียบเท่ากับ Member ของ Dark Shadow คนอื่นๆ เหมือนกัน หรืออาจจะต่างกันตรงที่ฉันมีสิทธิพิเศษที่มากกว่า เพราะฉัน... เป็นลูกสาวบุญธรรมของท่านผู้นำสูงสุดแห่ง Dark Shadow คนปัจจุบัน! และฉัน..เป็น 1 ใน 2 ของผู้มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะประจำการอยู่ที่นี่ โดยแบ่งพื้นที่คนละฟากตึกกับทายาทที่แท้จริงอีกคน ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตที่อัพเกรดความนิ่งไม่สนโลกของตัวเองขึ้นทุกปี ทั้งที่เมื่อก่อนยังง้องแง้งจนเกือบโดนฉันเตะอยู่หลายที... ‘ติณณ์..หรือ เตโช’ คือชื่อโหลๆ ของไอ้คนตรงหน้านี้ไงล่ะ! แต่ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกันทางความสัมพันธ์หรือลำดับญาติอะไรเทือกนั้น ฉันก็ไม่ได้ออกตัวว่าอยากจะรู้จักอะไรกับหมอนี่สักเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบความวุ่นวายที่พ่วงยาวมาเป็นขบวนรถไฟ และที่สำคัญ...หมอนี่เป็น 1 ในสมาชิก Nightshade ด้วยไง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ารำคาญที่สุดในมหาลัยตอนนี้เลยก็ว่าได้ อ้อ..แต่อย่าคิดว่าการจับพลัดจับผลูมาเป็นส่วนหนึ่งของ Dark Shadow แบบงงๆ นี้มันจะเป็นเรื่องดีนะ เพราะเท่าที่ลองลิสต์ดู ถ้าเอาเรื่องราววุ่นวายภายในแก๊งค์มาเขียนหนังสือ คงยาวได้ประมาณสิบเล่มเรียกว่าอ่านกันจนตาลาย =_= เพราะงั้น...ฉันที่เป็น Dark Shadow แค่ในนามจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือลงรายละเอียดอะไรที่เกี่ยวกับแก๊งค์มากจนเกินไป เพราะการทำตัวลึกลับ ไม่ซึมซับความวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้มันง่ายดี “อะแฮ่ม! เมื่อกี๊ป้าได้ยินน้า~ ไม่ไปไม่ได้นะคะ ห้ามสองคนนี้อยู่คุยกันนานๆ เชียวนะ เกิดจับมือกันประท้วงขึ้นมา คุณท่านลมจับแน่ๆ” ‘คุณป้ามาร์ธา’ คนสนิทของท่านผู้นำแห่ง Dark Shadow หนึ่งในผู้อุปการะเลี้ยงดูฉันพูดขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างเราจนหมดสิ้น พร้อมกับยื่นซองจดหมายสีน้ำเงินเข้ม ที่ยังคงความคลาสสิคตลอดกาลสองซองมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเราทั้งคู่ หึ..น้ำเงินเข้ม สีที่แสดงถึงความสันติ ความภาคภูมิใจ ความไว้วางใจ และความจงรักภักดี... แต่อีกนัยหนึ่ง...ก็แฝงไปด้วยความเศร้าไม่รู้ทำไมไม่เปลี่ยนสักที ‘ฟาริดา ภัทรเดชา’ จิ๊ -_-! นี่ก็เป็นอีกเรื่อง..ที่แจ้งไปกี่ที จดหมายที่ได้รับก็ยังจ่าหน้าซองแบบเดิมอยู่ดี ที่จริง..ถึงจะจดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรม แต่ฉันก็ยังใช้นามสกุลเดิมของตัวเองมาตั้งนานหลายปี ไว้ผ่านไปแถวนั้นจะลองถามคนส่งจดหมายดูสักที ว่าจะกดดันให้ใช้ ‘ภัทรเดชา’ ให้ได้เลยรึไง -.- อีกอย่างท่านผู้หญิง ภรรยาของท่านผู้นำก็เห็นดีเห็นงามว่าการไม่ใช้ ‘ภัทรเดชา’ มันปลอดภัยกับฉันที่มีศักดิ์เป็นลูกสาวคนเดียวของพวกท่านที่สุดไง แล้วก็นะ..เพราะเป็นลูกสาวที่อายุน้อยมากจนเหมือนจะเป็นหลานสาว ฉันเลยชอบกัดกับบรรดาหลานชายของพวกท่านทุกครั้งที่เจอ..ไม่ว่าจะคนไหน ฉันเปิดซองจดหมายในมือออกและคลี่กระดาษเพื่ออ่านรายละเอียดข้างใน แต่แค่เห็นตัวหนังสือหนาๆ คร่าวๆ ก็ทำเอากระตุกยิ้มมุมปากสะใจออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “There! There! (โอ๋ๆ) ” มองดูผิวเผินเนื้อหาในนี้ก็แค่คำสั่งเรียกตัว Member ทุกคนในรุ่นเดียวกันกลับ DS Castle Japan เพื่อประทับตรา มีการทดสอบทักษะและสมรรถภาพร่างกาย ความว่องไว กับสกิลทั่วไปในการป้องกันตัวที่สามารถทำได้ ซึ่งมันไม่ได้ยากอะไร แต่ไอ้ตัวหนังสือเล็กๆ หนาๆ ที่ต่อให้อ่านวนไปวนมา คนตรงหน้าฉันก็ดันมีเอี่ยวกับมันเต็มๆ นี่สิที่น่าสนใจยิ่งกว่า :) “ช่วยเก็บเป๋าได้” ฉันส่งเสียงยียวนออกไป แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาจากคนตรงหน้ากลับนิ่งเฉย แต่ก็แฝงไปด้วยความหนักใจอย่างไม่ปกปิดอะไร “เงียบ..คิดถึงน้องชาย?” ฉันแกล้งดัดเสียงล้อเลียนหมอนี่ออกไปใหม่ แม้จะรู้ว่าสถานการณ์มันไม่ได้เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ก็มั่นใจว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก “กินไป” เสียงเรียบตอบกลับมา พร้อมกับซองจดหมายที่ถูกวางลงบนโต๊ะ และแววตาที่บอกถึงความรู้สึกหลากหลาย ไอ้สีหน้าไม่สู้ดีแต่ไม่แสดงออกอะไรมันชวนอึดอัดมากนะให้ตาย แต่อย่างว่าอ่ะ..ใครมันจะอยากนั่งอธิบายให้คนอื่นฟังว่าตัวเองคิดอะไร ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถ้าไม่ได้สนิทก็คงจะนั่งเงียบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน “เจอบ้างมั้ย?” คำถามสั้นๆ ของคนที่ตีหน้าซื่อหยิบหนังสือพิมพ์ไปเปิดอ่านต่อแบบไม่รู้ไม่ชี้อะไรทำให้ฉันหลุดยิ้มมุมปากออกไป คงเพราะฉันเทียวไปเทียวมาสองศูนย์บัญชาการแทนท่านผู้นำบ่อยๆ ส่วนหมอนี่ก็เอาแต่ปลีกวิเวก วุ่นวายอยู่กับธุรกิจตัวเอง และพยายามตัดขาดจาก Dark Shadow มากสุดเท่าที่ทำได้เลยไม่มีโอกาสได้เจอใครอีกคนที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่เลยไง “ถามทำไม?” ฉันแกล้งแซวๆ ไป จะว่าเจอก็ใช่.. แต่ช่วงนี้ก็เจอไม่บ่อยเท่าไหร่ตั้งแต่ยุ่งๆ “เป็นพี่...ก็ดัดนิสัยมันซะบ้าง” น้ำเสียงเรียบเล็ดลอดออกมาจากข้างหลังหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ ยิ่งชวนให้ฉันยิ้มกว้างออกไปในความขี้เก๊กของคนสองคนที่เหมือนกันจะตายเวลาพูดถึงอีกฝ่าย “หรอ แล้วเราอ่ะเป็นไร?” ฉันพยายามกลั้นยิ้มและเลิกคิ้วถามออกไป แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าทำกลบเกลื่อน แกล้งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆต่อไป “.....” “ไม่ตอบ? เอ๊ะทำไมคุ้นๆ เหมือนเมื่อก่อน...” ฟรึ่บ! “ไม่ไปเรียนรึไง?” ระดับความสูงของหนังสือพิมพ์ถูกลดลงพร้อมกับน้ำเสียงที่เริ่มดุเหมือนจะขู่กันยกใหญ่ “ไปดิ...” ฉันตอบกลับไปหน้าตาย แล้วหมอนี่ก็ปรายตาเป็นเชิงไล่ให้รีบออกไป “แต่ก่อนไป..คิดถึงคินมันมั้ยถามจริง? ” ครืดดด! พูดจบฉันก็หลุดขำแล้วดันเก้าอี้แล้วลุกพรวดเพราะรู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร พรึ่บ! หมับ! แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเป๊ะ หนังสือพิมพ์ในมือติณณ์ถูกพับลวกๆ และปลิวตามแรงเขวี้ยงมาแบบไร้ซึ่งความเกรงใจ ดีที่ฉันรับมันไว้ได้ทันพอดี “แย่จริงๆ มาบ้านคนอื่นแล้วเขวี้ยงของพร่ำเพรื่อแบบนี้...ใช้ได้ที่ไหน” พรึ่บบบ! พูดจบฉันก็เขวี้ยงหนังสือพิมพ์กลับไปขำๆ แต่หมอนั่นก็หลบไวพอกันเลยกลายเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นตรงลิ่วไปปัดแก้วกาแฟหล่นลงพื้นจนแตกกระจาย ตามมาด้วยเสียงของป้ามาร์ธาที่กำลังยืนทำหน้ากลุ้มใจไม่ไกลจากพวกเราเท่าไหร่ เพล้งงง! “ว๊ายยย! โถ คุณๆ ข้ามฝั่งมาเจอกันทีไรก็มีเรื่องทุกที ถ้ามีคุณคิระอีกคนนี่ป้าไม่อยากจะคิดเลย เฮ่ออออ...”“คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ DS Member ทุกคนก็ดูสับสนพอกัน ถ้าเรียกตัวคืนสู่สังกัด แปลว่ามาโครอยู่สังกัดของเรา? แต่จะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อแม็ค...“ว่ากันว่า...ถ้าจะหลอกศัตรูให้ตายใจ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อน”คิระเดินตรงเข้ามาหาฉัน และมองลงไปที่กลางสนามประลอง เห็นแม็คกับเลย์ยืนอยู่ข้างล่างท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีใครพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นกับติณณ์และท่านพ่อ ก็ยังหันมาดูปฏิกิริยาของฉันด้วยซ้ำพรึ่บ! หมับ!ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ก้าวขาจะเดินลงไปข้างล่าง แต่คินมันดันมาคว้าแขนไว้ และกระชากกลับไปอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ติณณ์“ครั้งนี้ไม่เอาตัวแถม ถ้าพวกมันรักเธอ...พวกมันก็มีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”แล้วพอคินพูดจบ อยู่ๆติณณ์ก็โยนดาบคาตานะสองเล่มให้แม็คกับเลย์ที่ก็ยื่นมือไปรับมัน นั่นทำให้ฉันวิตกขึ้นมา เพราะแม็คน่ะ...ใช้ดาบคาตานะคล่องมากอยู่ละ แต่เลย์กับดาบคาตานะน่ะ...“ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เห็นต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น”“สำนักเดียวกัน?” ฉันหันไปหาคินด้วยสีหน้างงๆ“ก็ใครสอนไอ้แม็ค? ใครประทับตราให้มัน?”คิระตอบกลับคำถามขอ
สองวันต่อมา...@ Dark Shadow Castle (JAPAN)“โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O”เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง“หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า”“แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-”“อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ”“เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล”อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก“ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ”โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมดแล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้า
หลายวันต่อมา...@ Dark Shadow Castleหลังผ่านการพิพากษาคิระ ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี เพียงแต่...ไอ้สองพี่น้องขี้เก๊กนั่นมันก็ยังไม่ยอมเปิดใจคุยกันตรงๆสักทีก็...แล้วแต่นะ การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้วนี่อ้อ...ลืมบอกไปนิด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันนี่แหละ ที่เป็นคนประทับตรา Dark Shadow ให้โมเน่ต์ตามคำขอของติณณ์ ซึ่งเราก็ไม่เห็นหน้ากันตรงๆหรอกนะ ฉันเข้าไปประทับให้ตอนที่เธอหันหลัง เพราะยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และอย่างที่รู้... โมเน่ต์กับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันหรอกตั้งแต่ที่ชมรมละแต่ไม่รู้ไปประทับอะไรผิดพลาดรึเปล่า เพราะอยู่ๆโมเน่ต์ก็ขอให้ติณณ์พามาที่ Castle ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่นตลอด Nightshade เองก็แวะเวียนมาที่นี่แทบทุกวัน จนตอนนี้กลายเป็น Ztudio Nightshade นั่นแหละที่ร้าง ในขณะที่ Castle ฝั่งติณณ์...ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!เสียงลั่นไกในห้องซ้อมยิงปืนจาก CCTV ที่เคนชินมันต่อเข้ามานั่งดูในห้องโถงของ Castle ฝั่งฉัน ดังสนั่นแบบที่ไอ้หมอนี่ไม่เห็นหัวเจ้าของ Castle ที่นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่นี่เลยด้วยซ้ำ -_-แถมลูกน้องของฉันอีกหลายคนก็กำลังสุมหัว รอลุ้นวิถีกระสุนของโมเน่ต์
อีกด้านหนึ่งของ Dark Shadow Castleก๊อก ก๊อก ก๊อก...ฉันเคาะประตูห้องทำงานของติณณ์ที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ และถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในซึ่งก็มีติณณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาก็เป็นอย่างที่คาดไว้หมอนี่...กำลังเสียใจก่อนที่ฉันจะยื่นอัลบั้มรูปในมือที่ตอนไปค้นรูปคิระให้ลิซ บังเอิญไปเจออัลบั้มที่มีรูปติณณ์กับคินถ่ายด้วยกันสมัยเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่าหมอนี่อยากได้มั้ย...แต่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ ฉัน...อยากให้“ไม่ฆ่ามันก็บุญเท่าไหร่”พรึ่บ!ติณณ์พูดออกมาเสียงเรียบ แล้วเลย์ที่มาด้วยกันก็วางเอกสารทั้งหมดที่ฉันได้จากเคนชินเรื่องสภาค้ายาลงบนโต๊ะแบบไม่พูดอะไรแต่ความเป็น Nightshade มันบอกชัด ว่าเลย์ก็ไม่ได้สบายใจที่ติณณ์มันอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่...จุกแต่พูดอะไรไมได้“หลายอย่างน้องมันอาจตั้งใจ แต่บางการกระทำก็มีเหตุผลให้เป็นไป”ฉันพูดออกไป แล้วพอได้ฟังแบบนั้นติณณ์มันก็มองมานิ่งๆ และไม่มีทีท่าจะเปิดดูทั้งอัลบั้มรูปและเอกสารที่พวกฉันหอบมาให้สักนิด ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของหมอนี่อยู่แล้วแหละ ที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้“เข้าด้วยมั้ย?”คำถามคลุมเครือจากติณณ์ถูกส่งมา ด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังหาที่พึ่ง
หลายชั่วโมงต่อมา...“ยุติสถานการณ์บนเกาะพร้อมเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับนายหญิง”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของฉันมารายงานผลด้วยการกระซิบเบาๆเล่นเอาโล่งใจไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลิซที่กำลังนั่งดูรูปคิระที่หน้าบูดตั้งแต่เด็กอยู่คนเดียว“คิกๆๆ ตาลุงคนนี้นี่หน้าตาโกตั๊กจังเลยนะคะเนี่ย ^_^”“แล้วสองคนนั้น?”ฉันถามออกไปเบาๆ เพราะเท่าที่ดูเหมือนลิซไม่รู้ว่าคิระเป็นใครด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบโดนคนของสภาเอาตัวไป แต่ไม่รู้คินมันหลอกน้องหรือความไร้เดียงสาทำให้ลิซคิดว่าฉันรวยมากเลยจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่ -.-ส่วนเหตุผลที่มาที่นี่ก็พีคกว่าไง น้องมันโดนไอ้คินชวนมาล่าท้าผี เป่าหูลิซว่าที่นี่คือปราสาทร้อยปี แถมยังมีขนนกนำโชคที่จะทำให้พบรักแท้ซะด้วย หึหึ... เป็นประวัติ Castle ที่ช่าง...น่าสนใจ =_=^“คุณเตโชกับคุณคิระบาดเจ็บนิดหน่อย แต่โดยรวมปลอดภัยดีครับ Nightshade กับ Nightshade’s Lady ก็กลับมาที่นี่แล้ว อ้อ ส่วนคุณเลโอก็สบายมากหายห่วง ลูกพี่เคนชินขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วจะกลับมาทำหน้าที่ต่อครับ ^_^”น้ำเสียงกับสีหน้าระรื่นของลูกน้องที่มารายงานถูกส่งมาให้ฉันแบบสวมรอยเคนชินมาชัดๆ หึ... ไอ้ล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...“คนของเราวางบอมบ์ได้ 60% จากพื้นที่ทั้งหมดแล้วครับ พิกัดแรกเราจะระเบิดคลังยาที่…”“คุณโมเน่ต์อาการไม่ดีเลยครับนายหญิง”ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจสัญญาณที่คนของเราให้มาเป็นระยะว่าจะระเบิดคลังยานรกแต่ละที่ตอนไหน เคนชินที่หันไปเห็นโมเน่ต์จากภาพใน CCTV ที่เราเลิกสนใจตั้งแต่ติณณ์เดินออกไปก็พูดขึ้นมาได้ฟังแบบนั้นฉันเลยละความสนใจและหันไปดูโมเน่ต์ที่เดินวนไปวนมาโดยมีมือถือเครื่องหนึ่งแนบหู ซึ่งก็คงพยายามโทรหาติณณ์ที่ชิ่งออกไปแบบให้คำตอบคลุมเครือนั่นแหละนะถ้าให้ทาย“คนของเราอยู่ในนั้นแล้วใช่มั้ย?”“ครับ แฝงตัวเข้าไปตอนรายงานพิกัด”“งั้นก็ไม่มีไรต้องกังวลนี่”แล้วจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปดูพิกัดวางระเบิดหลังคุยเรื่องโมเน่ต์กับเคนชิน เสียงคนของเราที่ Castle ฝั่งติณณ์ก็ตะโกนเรียกออกมาดังลั่น‘นายหญิงครับ นายหญิง!!!’ “ว่า?”“คุณโมเน่ต์อยู่ๆก็หมดสติไปครับ”ตึงงงง!ได้ยินคำตอบจากเคนชินที่ตอบแทนลูกน้องที่อยู่ข้างใน ทำให้ฉันรีบผลักประตูและวิ่งข้ามทางเชื่อมตรงไปที่ Castle ฝั่งติณณ์ทันที“เคนชินเรียกรถพยาบาล! โมเน่ต์เป็นอะไร?”ฉันหันไปถามลูกน้องติณณ์ที่กำลังอุ้มร่างโมเน่ต์ที่ไร้ส