เสียงสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นทำให้เด็กชายวัยทโมนทั้งหลายกรูกันออกจากห้องเรียน
“พวกเธอจะทำตัวให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง โต ๆ กันแล้วยังทำตัวเป็นลิงเป็นค่าง” เสียงบ่นของอาจารย์ปรีดาดูเหมือนว่าจะได้ผลทว่าก็แค่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
พอเขาหันหลังกลับเด็กนักเรียนชายพวกนี้ก็รีบวิ่งแข่งกันลงบันได ไม่ใช่ว่าครูวัยสามสิบกว่าคนนี้จะไม่รู้เพียงแต่เขามีเรื่องด่วนมากกว่านั่นเองต่างหาก สองเท้าจึงมุ่งไปยังห้องของนักเรียนที่จัดว่าบ๊วยที่สุดของระดับชั้น
“เด็กชายไท่หยุน หยุดก่อน” เท้าของเจ้าของชื่อหยุดลงทันทีทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวพยายามทำตัวลีบเล็กอีกทั้งยังก้มหน้าก้มตามองแต่พื้นไม้ของอาคาร
“ครับ” เขาจำต้องขานรับด้วยสีหน้าเหยเก
“ฉันไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร ทำหน้าให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ครูสูงวัยกว่าอดที่จะกล่าวตำหนิไม่ได้พูดพลางจับขาแว่นของตนยกขึ้น
“หน้าผมก็ปกตินะครับ แหะ ๆ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะแห้ง
“ช่างแก้ตัวเก่งเสียจริง เธอตามครูมาก่อน” ครูปรีดาคร้านจะใส่ใจเด็กชายจอมกะล่อนเอ่ยเสียงเรียบ
ห้องพยาบาล ป้ายไม้หน้าห้องทำให้ใช้หรือไท่หยุนมองแผ่นหลังของครูด้วยความงุนงง
“ครูครับ ผมสบายดี” คำพูดของเขาหาได้หยุดฝีเท้าของครูผู้เดินนำหน้าแต่อย่างใด
“ที่ครูพาเธอมาเป็นเรื่องของเด็กคนนั้นต่างหาก” ครูหนุ่มพยักปลายคางไปทางเด็กหญิงผู้มีใบหน้ากลมที่กำลังส่งยิ้มมาทางตน
“ป๊า!”
สองหนุ่มต่างวัยพากันหันซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยว่าเจ้าตัวเล็กเรียกใคร
“หนูน้อยป๊าของหนูอยู่ไหนลูก” ครูปรีดาถามอย่างเอ็นดูเมื่อเขาไม่พบบุคคลอื่น
สีหน้าของหลินก็หม่นลง เฮ้อ! ฉันควรทำยังไงดี เจ้าตัวคิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าอารมณ์เศร้าของตนนั้นทำให้น้ำตาเม็ดโตร่วงสู่ตักของตัวเองราวทำนบแตก
“เอ๊ะ! ครูปรีคะ เกิดอะไรขึ้นเจ้าตัวเล็กร้องไห้ทำไม” ครูผกาผู้เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยความตกใจพลางรีบสาวเท้าไปปลอบเด็กหญิงที่กำลังกอดเข่าซุกตัวเองเอาไว้แน่น
แม้ว่าเนื้อแท้ของหลินจะเป็นผู้ใหญ่ทว่าพอมาอยู่ในร่างของเด็กห้าขวบกับสถานที่อันแปลกประหลาดแห่งนี้ที่มองไปทางไหนก็ไม่รู้จักใครคนอื่น
อีกทั้งผู้ให้กำเนิดก็ยังเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบสี่ดังนั้นเธอจึงรู้สึกอ่อนแอ หวาดกลัว ความรู้สึกมากมายถาโถมปนเป ราวกับน้ำหลากจนทำให้เธอไม่อาจทนรับได้
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น จนทำให้คนทั้งสามเกิดความรู้สึกเวทนาระคนสงสาร
“ครูครับ ผมพาเธอกลับบ้านไปด้วยได้ไหมให้เธอมาเป็นน้องสาวของผมก็ได้” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ใช้กล่าวออกไปแบบนั้นทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของเขาเองก็ลำบากไม่น้อย
“เรื่องนี้เธอตัดสินใจเองไม่ได้หรอก จะต้องถามกับผู้ปกครองของเธอดูก่อน” ครูปรีดาพูดพลางถอนหายใจ
“ฉันจะเลี้ยงอาหนูน้อยคนนั้นเองจ้ะครู” น้ำเสียงฟังไม่ชัดนักของคนพูดทำให้ทุกคนหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
“ม๊า!/ม่า!” เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงหยุดลงพร้อมกับตะโกนเรียกผู้หญิงวัยสามสิบเศษพร้อมกันกับบิดาของตน
“เอ๋!” คำเรียกขานของเด็กหญิงนำพาความฉงนมาให้กับครูทั้งสองรวมถึงหนึ่งเด็กชายที่กำลังเกาศีรษะมองใบหน้าของแม่สลับกับใบหน้าเล็กจ้อยบนเตียง
“ม๊า รู้จักเด็กคนนี้เหรอ” เคี้ยงมองบุตรชายคนรองก่อนจะสาวเท้าเดินมาตรงหน้าของเด็กหญิงพร้อมรอยยิ้ม
“ลำบากลื้อแล้วนะอาหมวยของม่า” หล่อนพูดพร้อมกับดึงร่างเล็กที่ผกาได้ปล่อยมือที่กำลังโอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้ออกเข้ามากอดด้วยความรักพร้อมกันนั้นมือของเธอก็ลูบหัวเล็ก ๆ ของเด็กหญิงอย่างปลอบประโลม
แม้ว่าหลินจะยังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้างกระนั้นด้วยความที่เป็นสายเลือดเดียวกันมือเล็กก็กระชับอ้อมกอดร่างผอมบางของย่าที่ตนเคยเห็นใบหน้านี้ผ่านกรอบรูปขาวดำเอาไว้แน่น
หลินจำได้ว่าพอหลังจากเธอเกิดออกมาได้จนกระทั่งอายุหกขวบม่าเคี้ยงก็ป่วยหนักในช่วงสุดท้ายหญิงชรายังได้ช่วยชีวิตเล็ก ๆ ของตนจากการโดนไฟดูดด้วยความซน
ก่อนที่อีกสองวันต่อมาย่าจะขาดใจตายต่อหน้าของเธอ นี่คือคำบอกเล่าจากมารดาเพราะเธอจำช่วงเวลานั้นไม่ได้
“เอ่อ...ขอโทษเถอะครับ เรื่องนี้มันมีความเป็นมายังไงกันแน่” เสียงของครูปรีดาดังขึ้นขัดความซาบซึ้งระหว่างย่ากับหลาน
เคี้ยงจึงผละออกจากร่างกายนุ่มนิ่มของหลานสาวตัวน้อยผู้ซึ่งที่หล่อนเพิ่งรู้ความเป็นมาผ่านความฝันจากพี่สาวสายเลือดด้วยกันเมื่อคืนก่อน ในตอนนั้นหล่อนยังไม่เชื่อจนกระทั่งมีเด็กนักเรียนไปตามเธอมาที่นี่นั่นแหละ
และในระหว่างทางที่มาโรงเรียนหล่อนก็คิดหาเหตุผลอันน่าเชื่อถือเพื่อจะทำให้ทุกคนเห็นพ้องกับตน
“ฉันกำลังจะไปรับเธอจากจดหมายที่แจ้งมาจากน้องสาวเครือญาติกันจ้ะครู ทว่าฉันไปช้าก็เลยไม่เจอกับหลานพอรู้ข่าวจากนักเรียนที่ครูให้ไปบอกที่บ้านฉันก็รีบมาโรงเรียนนี่แหละ” หญิงสาวผู้มาจากแผ่นดินใหญ่กล่าวเนิบช้าแม้สำเนียงของเธอจะแปร่งไปบ้างกระนั้นคนในห้องก็ยังฟังพอเข้าใจ
“อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าแม่หนูคนนี้คือหลานของแม่นายใช้ ว่าแต่ทำไม” ครูปรีดาปรายตามองเด็กชายร่างผอมผิวขาวใบหน้าค่อนข้างตี๋อย่างกังขา
“ผมไม่เคยเห็นเธอ” ใช้โบกมือพลางเอ่ยปฏิเสธพัลวัน
เคี้ยงจึงต้องปั้นเรื่องออกมาอีกคำรบ “อาตี๋น้อย ไม่เคยเห็นจริงจ้ะครู” คำพูดของคนเป็นแม่ยืนยันได้เป็นอย่างดีจึงทำให้ครูในห้องพากันยินดีที่เด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูคนนี้ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าตามที่คิด
เมื่อเรื่องราวที่มาที่ไปของเด็กหญิงได้รับความกระจ่างดังนั้นหลังจากออกจากโรงเรียนครูปรีดาก็ขี่จักรยานไปยังโรงพักเพื่อแจ้งเรื่องของเด็กหญิงก่อนจะมุ่งตรงกลับบ้านของตน
ส่วนหลินในตอนนี้ก็ถูกมือใหญ่ของย่าจับจูงอย่างทะนุถนอมตั้งแต่เดินออกจากโรงเรียน
ดวงตาของหลินมองสิ่งรอบตัวด้วยความสนใจ ‘โรงเรียนแห่งนี้ไม่นับว่าเล็กแต่น่าเสียดายที่อีกไม่กี่ปีต่อมาต้องปิดตัว’ เด็กหญิงคิดขึ้นในใจโดยที่มือเล็กของเธอนั้นยังอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของคนเป็นย่าที่ดูยังไงก็ยังไม่แก่
ในขณะเดินผ่านร้านของชำห่างจากโรงเรียนมาไม่มากด้วยความที่เคี้ยงเอ็นดูหลานสาวผู้มาไกลจากคำบอกเล่าของพี่สาวถึงต้นสายปลายเหตุที่เด็กคนนี้ต้องมาอยู่ตรงนี้
“อาหมวย ลื้ออยากกินขนมไหมม่าจะซื้อให้” คนเป็นแม่ยังพูดไม่ทันจบประโยคเจ้าตัวก็ถูกเสียงของบุตรชายคนเล็กแทรกขึ้นทันควัน
“ม๊า มีเงิน” เพี๊ยะ! “โอ้ย! ม๊าตีอั๊วทำไม อั๊วพูดเรื่องจริงนี่ขนาดอั๊วยังได้มาโรงเรียนแค่สลึงเดียวเอง” เด็กชายยกมือกุมต้นแขนที่ถูกฝ่ามือของมารดาฟาด
“ลื้ออย่ามาสำออย อั๊วตีเบา ๆ เองร้องอย่างกับหมูถูกเชือด วันนี้อั๊วได้ยินมาว่าลื้อโดดเรียนแต่อาครูปรีไปตามเจอใช่ไหม ลื้อบอกมาตามตรงนะอาตี๋”
ใช้กำลังอ้าปากจะเถียงทว่าเจ้าตัวกลับหุบปากฉับเพราะหากว่าโกหกม๊าผลที่ได้รับย่อมไม่มีดีอีกทั้งยังจะเจ็บตัวเพิ่ม
“ม๊า หากอั๊วโดนเรียนจะกลับบ้านพร้อมลื้อได้ยังไงจริงไหม หากม๊าไม่เชื่อก็ถามเจ้าตัวเล็กนี่ดูสิ” ปลายคางของเด็กชายพยักพเยิดมาทางเด็กหญิงผู้มีดวงตากลมผิดจากบิดาผู้ให้กำเนิด
“หนูไม่อยากโกหกแต่ถ้าหนูไม่เจอป๊า ครูปรีดาก็คงตามป๊าไม่ทันแล้ว” คำพูดของคนตัวเล็กทำให้เคี้ยงหันขวับมามองบุตรชายทันที
“เฮ้ย! เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กเป็นเล็กลื้อกล้าโกหกได้ยังไง อีกอย่างอั๊วเพิ่งสิบสี่ยังไม่มีลูก” เด็กชายรู้สึกโมโหจึงได้ขึ้นเสียงใส่เด็กน้อย
หลินเบะปากน้ำตาคลอหน่วย “ฮือ ๆ ม่า ป๊าไม่รักหนู” เจ้าตัวเอ่ยตัดพ้อ
ร่างนี้อะไรหนักหนาวะ อะไรก็เอาแต่ร้องไห้ สมองทำจากน้ำหรือยังไง ภายในใจของหลินโอดครวญด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้เป็นเพราะเธอจำได้ว่าร้องไห้ครั้งสุดท้ายนั้นคือตอนแม่ตาย “โอ๋ อาหมวยลื้อไม่ต้องร้องนะ ป๊าไม่ได้ความแบบนี้ลื้อไม่ต้องไปให้ค่าหรอก” คำพูดของมารดาทำให้ใช้เบ้หน้า
“ม๊าก็เป็นไปกับเจ้าตัวเล็กนี่ด้วย ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นญาติทางไหนของเรากัน ไม่ใช่ม๊าบอกว่าตัวเองไม่มีญาติที่อื่นไม่ใช่เหรอ” จบคำพูดของเด็กชายเจ้าตัวก็โดนเท้าเล็ก ๆ ที่ใส่รองเท้าผ้าใบกระทืบลงมาบนรองเท้านักเรียนเต็มรัก
“ป๊าพูดไม่เพราะ พูดกับม่าต้องลงท้ายด้วยครับสิ” คนตัวเล็กอมลมจนแก้มป่องเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เจ้าเด็กแสบ แล้วทีลื้อล่ะเรียกอั๊วว่าป๊าแต่ทำกับอั๊วแบบนี้มันถูกเหรอ” เด็กชายชี้นิ้วกล่าวเสียงดัง
“เหอะ! หากแกเป็นพ่อคนก็คงไม่ได้เรื่อง อาหมวยลื้อทำดีแล้วพ่อไม่ได้เรื่องจำต้องสั่งสอน” เมื่อแม่ของเจ้าตัวให้ท้าย
ใช้จึงได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองแผ่นหลังของเด็กหญิงที่กำลังหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้กับตัวเอง
ถนนหนทางในยุคนี้ไม่ได้ดีเหมือนกับยุคสมัยหลัง อีกทั้งรถราก็ยังมีไม่มากผู้คนจึงสัญจรด้วยการเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่
หลินรู้สึกปวดเท้าของตนเป็นอย่างยิ่งกระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงอดทนเนื่องจากครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้ว่าเดินไกลมากขนาดนี้เป็นตอนสมัยมัธยมต้น
“ม่าคะ” เด็กหญิงอยากรู้ว่าเหตุใดหญิงสาวคนนี้ถึงรู้สึกสนิทสนมกับตนเป็นอย่างมากต่อให้เธอเป็นหลานตามสายเลือดก็ตามกระนั้นสำหรับในตอนนี้มันก็ยังคงดูแปลกอยู่ดี
หรือว่าม่าจะย้อนเวลามาเหมือนเรา
“ว่ายังไงอาหมวย” เสียงแปร่งหูเอ่ยสำเนียงไม่ชัดขัดความคิดเหลวไหลของหลิน
“ทำไมม่าถึง...” เจ้าตัวเว้นคำพูด
“ทำไมถึงบอกกับครูออกไปอย่างนั้นนะเหรอ” เคี้ยงต่อให้
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ายอมรับ “เฮ้อ! ลิขิตฟ้าลื้อไม่ต้องรู้หรอก ลื้อรู้แค่ว่าอั๊วเป็นม่าของลื้อก็พอ เราย่าหลานหากร่วมมือกันสิ่งที่ลื้อมุ่งหวังเอาไว้ย่อมสำเร็จ”
ดวงตาของหลินเบิกกว้างมองใบหน้าของหญิงสาวผู้สูงวัยกว่าตนเพื่อค้นหาร่องรอยบางอย่าง แต่อนิจจังเธอรู้ดีว่าอาม่าไม่ได้ย้อนเวลามาเฉกเช่นตนเอง
เอาเถอะ เรื่องบางอย่างก็ไม่ต้องไปคิดหาเหตุผลให้มากก็ดีเหมือนกัน เจ้าตัวคิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง